กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บางคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมโลกโซเชียลถึงลงรูปงานเท่ๆ งานนึงกันโครมๆ แต่งตัวมีสไตล์ จัดจ้าน พร้อมพร็อบจัดเต็มกับงานที่ดูยังไง๊ ยังไงก็เหมือนจัดที่ต่างประเทศ เราเองก็เป็นคนนึงที่พึ่งไปเที่ยวงานนี้มาเหมือนกัน อย่างที่บอกว่างานนี้คือวิธีที่จะได้เจอฝรั่งแซ่บๆ แบบไม่ต้องไปนอกแต่ไปแค่พัทยา 55555 เอาเป็นว่าวันนี้ไม่ได้มารีวิวแต่อยากเมาท์ความประทับใจเกี่ยวกับวันเดอร์ฟรุ๊ตเฟสติวัลให้ฟังกันว่ามันดีงามแค่ไหน เราพยายามหาที่มาที่ไปของทุกๆ อย่างมาเล่าให้ฟัง ทุกคนจะได้อินไปพร้อมกันเพราะนี่ไม่ใช่มิวสิคเฟสติวัลธรรมดาๆ ที่ไปเต้นๆ จนเหงื่อแตกแล้วกลับบ้าน แต่มันมีมากกว่านั้นจริงๆ จะได้ตัดสินใจได้ว่ามีอีกเมื่อไหร่ก็ไม่ควรพลาด
วันเดอร์ฟรุ๊ตเฟสติวัลไม่ใช่เทศกาลดนตรี แต่รวมไปถึงศิลปะ อาหาร เวิร์คช็อป การพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจ และกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆ เอาเป็นว่าเราไปอยู่ที่งานนี้มา 4 วันเต็ม ไม่มีวันไหนที่รู้สึกเบื่อเลย! เพราะกิจกรรมอัดแน่นทุกวัน เรียกได้ว่าเห็น Line Up และตารางกิจกรรมก็ต้องทำใจว่า “เอ๊ะ! กูจะตัดอันไหนดีเพื่อให้ตัวเองได้กลับไปพักผ่อน 5555”
อย่างแรกที่ชอบมากคือเวที Solar Stage คอนเซ็ปต์ของมันคือสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเก๋ๆ และส่งพระอาทิตย์ลับของฟ้ายามเย็น ถ้าเวทีนี้คือการ์ตูนก็เหมือนเด็กหน้าพระอาทิตย์ในเทเลทับบี้นั่นแหละ 55555 ได้ยินมาว่าศิลปินที่สร้างเวทีนี้มาจาก Burning Man เทศกาลชื่อดังของอเมริกากันเลยทีเดียว
คนที่มางานก็จะออกมาสนุกกันที่เวทีนี้พร้อมดีเจเซตมันส์ๆ ในช่วงเย็นและช่วงเช้าของแต่ละวัน ความพีคคือเวทีนี้มันปีนขึ้นไปถ่ายรูปสวยๆ ด้านบนได้ด้วย
Farm Stage เวทีนี้เหมือนปราสาทข้าว! เพราะข้าวทุกรวงที่ถูกประดับบนเวที วันเดอร์ฟรุ๊ตให้เกษตรกรปลูกเองจริงๆ เก็บเกี่ยวเอง เพื่อสร้างเป็นเวที และหลังจากงานก็จะนำข้าวนี้ไปสีเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านต่อ เราชอบแนวคิดและการมีที่มาที่ไปของการสร้างแต่ละอย่างของที่นี่ มันไม่ใช่แค่ เออ เอามาสร้าง เสร็จงาน จบ เก็บทิ้ง แต่วันเดอร์ฟรุ๊ตนางทำทุกอย่างให้ดูมีเรื่องราว อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนคือธีมหลักสำคัญของงาน และสร้างอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจพร้อมเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุก ก็มั่นใจได้ว่าทุกอย่างที่เห็นจบงานมันไม่ใช่ขยะ แต่มันคือรวงข้าวที่นำไปกินต่อได้จริงๆ น่ารักเชียว
แถมยังมีเวิร์คช็อปที่หาไม่ได้จากที่ไหน เช่น โยคะกับ Danny Paradise ปรมาจารย์ครูที่เคยสอนโยคะระดับโลก หรือต่อยมวยจนต้นกล้วยหักกับบัวขาว แชมป์มวยไทย และเวิร์คช็อปเท่ๆ อย่างเช่น Power Nap จะมีครูสอนคนนึงคอยลูบฆ้องใหญ่ๆ แล้วทุกคนก็จะหลับไป … ตอนแรกก็ตลกหรอก แต่พี่เราไปลองมันบอกว่าหลับสบายจริงจริ๊ง!
และงานนี้มันจัด 24 ชม. มีกิจกรรมตามช่วงเวลาต่างๆ และพื้นที่ชิวๆ ที่เปิดตลอด อย่าง The Sharing Neighbourhood ที่สร้างคอมมูนิตี้ย่อมๆ ขึ้นมาในวันเดอร์ฟรุ๊ตกับเวิร์คช็อปที่น่าสนใจเช่น แกะสลักไม้ ทำอาหารไทย แถมยังมีอาหารเช้าอร่อยๆ เสิร์ฟให้กินกันทุกเช้าด้วยนะ
เราเชื่ออย่างนึงว่าคนเราถ้าปลดปล่อยตัวเองไปกับธรรมชาติและทำในสิ่งที่อยากทำมากที่สุด มันจะทำให้เรามีความคิดที่สร้างสรรค์ บวกกับมิตรภาพที่ดีก็จะเกิดขึ้นง่ายๆ วันเดอร์ฟรุ๊ตเป็นอีกงานที่เอาเวิร์คช็อปและกิจกรรมต่างๆ มาเชื่อมคนไว้กับคน ทำให้ไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม บางคนก็ยิ้มแบบเยิ้มๆ เต้นคนเดียวก็ได้ และพร้อมเป็นเพื่อนกันตลอด บ่ายมาทำเวิร์คช็อปชิคๆ ตกดึกมากอดคอกันไปเต้นหน้าเวที เอ้า สนิทกันเร็วจังค่ะพี่ … ก็นั่นแหละ งานมันเชื่อมคน
เวทีที่โคตรคูล ใครเห็นแล้วไม่รักก็แปลกแล้วคือ Molam Bus วันเดอร์ฟรุ๊ตนางยกเอารถบัสทั้งคันมาไว้ในงาน แล้วเปิดเป็นเวทีหมอลำบัส คือเป่าแคน ตีโป่งกันสนั่นหวั่นไหวกับเวทีเล็กๆ ข้างๆ เซิ้งกันจนอยากเดินไปซื้อข้าวเหนียวกับไก่ย่างมานั่งดูหมอลำ 55555
แล้วรถบัสนี่ก็ฮิตเหลือเกิน เพราะมันมีบันไดไม้เล็กๆ พร้อมเก้าอี้นั่งบนหลังคาให้ปีนขึ้นไปชิวหรือหย่อนขาแบบสบายอารมณ์ก็ได้เช่นกัน เท่าที่ดูด้วยตาในวันเดอร์ฟรุ๊ตไม่น่าจะเบาะ จะหมอน จะธง ส่วนใหญ่จะทำจากผ้าไหมอย่างดี เพราะได้รับการสนับสนุนจากจิม ทอมป์สัน ทำให้งานนี้ดูแกรนด์มากขึ้นกว่าเดิมไปอีก
Molam Bus เป็นอะไรที่เดินผ่านเมื่อไหร่ก็จะเห็นฝรั่งนั่งชิว เซลฟี่ หรือยืนเต้นกันตลอดเวลา ไม่ใช่แค่คนไทยที่ชอบเพลงหมอลำ แต่ฝรั่งก็ใช่ย่อยยืนเซิ้งกันผิดๆ ถูกๆ 5555 เห็นแล้วก็น่ารักดี ดีใจที่เค้าชอบวัฒนธรรมบ้านเรา นี่แหละค่ะ ชะนี โอกาศเหมาะมากๆ ที่จะเข้าไปเป็นทูตวัฒนธรรมร่วมเซิ้งด้วยเบาๆ จบด้วยการขอไลน์ไอดีงี้ (และจบจริงๆด้วยการที่เค้าไม่เล่น พร้อมเต้นกับเมีย อิอิ)
ภายในงานยังมีโซนให้แปลงโฉมแบบเด็ดที่สุด ยกแฟชั่นนิสต้ามาเปลี่ยนชุดให้กันแบบสดๆ จะซื้อชุดเด็ดหรือแต่งหน้าแซ่บที่ Taste of wonder และ Wonder Salon จะเอากากเพชร กากพลอยมาติดหน้า ขนนกติดตา ขนแมวแยงจมูกอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นในวันเดอร์ฟรุ๊ต!
เราชอบดูคนที่มางานแต่งตัวกันแบบจัดเต็ม เอาตรงๆ ถ้าใส่ข้างนอกอาจจะรู้สึกได้ว่า “มึงแต่งอะไรของมึง” แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับเป็นเรื่องปกติ ทุกคนมาเพื่อสนุกและปลดปล่อยตัวเอง ใครอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวจะโดนใครแซะนินทา เพราะทุกคนมาสนุกอะ ใครจะอยากเอาเวลามันส์ๆ ของตัวเองในวันเดอร์ฟรุ๊ตมาเมาท์เรื่องชุดชาวบ้าน มีแต่จะชมกันทั้งนั้นแหละว่าเลิศที่สุด สวยจังค่ะพี่
ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกว่าเด็กจะมางานนี้ได้ แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเอง โหววววววว อยากได้ผู้ในงานนี้เลยแกจะได้ทันอุ้มมาวันเดอร์ฟรุ๊ตครั้งหน้า ถ้าลูกเต้าฝรั่งจะน่ารักกันขนาดนี้ 55555 เล่นฟางเล่นหญ้ากินดินกันสนั่นหวั่นไหว สร้างภูมิคุ้มกันแบบเอเชียกันใหญ่ 55555 ปีนนู่นปีนนี่จับแต่งตัวกันไม้แพ้ผู้ใหญ่ นี่พูดถึงเด็กเล็กๆ นะ ไม่รวมถึงเด็กที่กำลังโตแบบ ม.ปลายนมแตกพาน จนอยากเดินเข้าไปสะกิด “พี่แต่งกลอนภาษาไทยเก่งมากค่ะ เผื่อน้องอยากเอาไว้ส่งอาจารย์ เห็นว่าไม่ถนัดภาษาไทย”
วันเดอร์ฟรุ๊ตเป็นงานที่มาได้ทั้งครอบครัวจริงๆ ตามที่เคลมไว้นั่นแหละ เพราะทุกอย่างที่นี่เหมาะสำหรับเด็กให้เรียนรู้ แถมถ้าพ่อแม่ยังเมาค้าง หรืออยากไปมันส์กัน 2 คนซักพัก ก็มีที่ฝากเด็กไว้กับพี่เลี้ยงด้วยหวะ อะไรจะครบวงจร..
ส่วนเวที Main Stage ที่มีศิลปินดังๆ จากทั่วโลกสลับกันขึ้นเวทีตลอด 4 คืน จนใครๆ คิดว่าเป็นมิวสิคเฟสติวัล แต่ละวงถ้าใครรู้จักก็จะบอกกันว่า เออหาดูยาก แพงมาก ถ้าจัดคอนเสิร์ตที่ไทยที่ละวงรวมๆ แล้วอาจจะแพงกว่าค่าบัตรเข้างานที่นี่ซะอีก
ส่วนเราก็นั่งงงๆ มันส์ไปกับเพลงที่สนุกชิบหายแต่ไม่รู้จักซักวง 55555 ยังไงดนตรีก็ทำให้คนสนุกได้ถึงไม่รู้จักก็เถอะ
งานนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเช่น งานศิลปะอินสตอลเลชั่นเจ๋งๆ ที่สร้างจากขยะใต้ท้องทะเล หรือขยะรีไซเคิล การพูดคุยกับนักคิด นัดพูดชื่อดังจากทั่วโลก การนำเงินส่วนหนึ่งของงานไปลงทุนเพื่อปลูกป่าสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นที่ประเทศอินโดนีเซีย
หรือการนำเงินจากการซื้อเครื่องดื่มของผู้เข้าร่วมงานไปปลูกต้นโกงกางในป่าชายเลนที่สมบูรณ์ในประเทศพม่า แถมงานนี้สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดเลยคือการนำพลาสติกเข้าไปในงาน แบบจริงจัง!
การไปสนุกมาเต็มๆ ตลอด 4 วันทำให้เรารู้เลยว่านี่ไม่ใช่เทศกาลดนตรีแบบกิ๊กก๊อกธรรมดา แต่นี่คือไลฟ์สไตล์เฟสติวัลน้ำดี(ทั้งงานและผู้ชายในงาน) ที่ต้องการสร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน โดยอาศัยกิจกรรมที่เข้าถึงทุกคนได้ง่ายและสนุกอย่าง ดนตรี อาหาร ศิลปะ เวิร์คช็อป กิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ลึกซึมลงไปอย่างง่ายๆ แต่กลมกล่อมที่สุด เราเชื่อว่าถ้าใครมาร่วมงานจะรู้เลยว่าทุกอย่างดูเตรียมกันมาอย่างดีเป็นปีๆ นี่เป็นเฟสติวัลที่ฉลาด ฉลาดในการสร้าง Movement ดีๆ ให้กับสังคมแบบแปลกใหม่และสร้างสรรค์ ทำให้เรรู้สึกว่าเรื่องยากๆ ที่ต้องปลูกฝังกันเป็นปีๆ กลายเป็นเรื่องที่ง่ายผ่านการถ่ายทอดที่ไม่ธรรมดาแต่เข้าถึง ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ใครมาแล้วก็อยากจะมาอีกและรักที่นี่ เพราะมันคืองานที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยวิธีการที่สนุกและไม่ธรรมดาอยู่ตลอดเวลา
Good To Know
งานนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 บริเวณสยามคันทรีคลับ พัทยา ค่าบัตรเข้างานปีล่าสุด (2016) เริ่มต้นที่ Early Bird 4,000 บาทสำหรับ 4 วัน จนขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ถึง 6,000 บาทเมื่อซื้อหน้างาน ถ้ามองเผินๆ เงินเป็นก้อนก็ถือว่าราคาสูงพอสมควร ไม่สิ สูงมากเลยแหละ! แต่ถ้านับกิจกรรม ศิลปิน เวิร์คช็อปที่มีในงานตลอด 4 วันเต็ม 24 ชม. เฉลี่ยตกเป็นวันแล้วค่าบัตรเข้างานก็ยังคุ้มและไม่ได้แพงอย่างที่คิด :)