มีคนบอกว่าถ้าอยากเที่ยวยุโรปตะวันออกให้เริ่มต้นที่เมืองแห่งเสียงดนตรีอย่าง “เวียนนา” เพราะที่นี่คือประตูสู่ยุโรปตะวันออกที่ค่าครองชีพนั้นบอกได้เลยว่าไม่แพงอย่างที่คิด สถานที่สวยงาม และปลอดภัย แถมความคิวท์ของเมืองนั้นเกินบรรยาย เวลาคนมาเที่ยวยุโรปแน่นอนว่าไม่ได้มาเที่ยวแค่เมืองเดียวแน่ๆ แต่จะต้อง Roadtrip ไปประเทศใกล้เคียงที่ใกล้ชนิดที่ว่าเหมือนขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาก็ย้ายไปประเทศใหม่แล้ว แต่ทริปนี้เราขอเน้นเฉพาะออสเตรีย กับเส้นทางยอดฮิตอย่าง Vienna เมืองแห่งมิวเซียม, Hallstatt หมู่บ้านในเทพนิยาย และ Salzburg เมืองแห่งเสียงดนตรีสามเมืองยอดฮิตของคนมาเที่ยวออสเตรียที่จะพลาดไม่ได้! ทริปนี้เราเดินทางกันมาจริงๆ 6 วันเน้นชิลอยู่แต่ในออสเตรียอย่างเดียว แต่ถ้าเพื่อนๆ อยากมาตามรอยเรามั่นใจว่า เมืองละคืนก็เหลือเฟือแล้วจริงๆ สำหรับออสเตรีย เพราะฉะนั้นรีวิวนี้ขอพาทุกคนเที่ยวแบบเช็คลิสต์ตามสถานที่ต่างๆ ให้ใจกระชุ่มกระชวยและเลือกตามรอยได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
*** วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note9
และภายในเครื่องเท่านั้น ภาพนิ่งที่ไม่ได้ขึ้น Credit ใต้ภาพว่า ‘ถ่ายด้วย Galaxy Note9’
และภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ภายในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น***
ทริปนี้เราออกเดินทางพร้อมเพื่อนเก่าแต่โฉมใหม่อย่างเจ้า Galaxy Note9 เหมือนเดิมที่มาพร้อมกับปากกา S Pen ให้ขีดเขียนได้สนุกและกล้องที่ถ่ายได้ฉลาดขึ้นกับ Feature ที่ทำให้เรารู้สึกได้จริงๆ ว่า “เฮ้ยยย มันเจ๋งขึ้นจริงๆ ?”
Searching the new sky
ทริปนี้เราเริ่มกันที่เมืองหลวงของออสเตรีย อย่างเวียนนาก่อนเป็นที่แรกเพราะเป็นเมืองเดียวในทริปนี้ที่เราสามารถบินตรงจากกรุงเทพได้ทันทีโดยไม่ต้องแวะพัก การบินไทยมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพสู่เวียนนา 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทำให้เราสามารถแพลนทริปเที่ยวได้ง่ายขึ้น เดินทางได้สะดวกขึ้นเพราะเที่ยวบินของการบินไทยนั้นออกจากกรุงเทพช่วงดึกถึงเวียนนาเช้าตรู่สามารถฝากกระเป๋าแล้วเที่ยวได้ทันที ส่วนขากลับก็ออกช่วงบ่ายๆ ทำให้เหลือเวลาช๊อปปิ้งของฝากช่วงเช้าก่อนบินกลับช่วงบ่ายของเวียนนาเพื่อมาถึงกรุงเทพเช้า ซึ่งเป็นเวลาในการเดินทางที่ดีที่สุดทั้งขาเข้าและขาออกจากยุโรป
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่เป็นสายช๊อปและกลัวน้ำหนักกระเป๋าไม่พอ สามารถซื้อเพิ่มได้ทันทีก่อนเดินทางด้วย! ไม่ใช่แค่น้ำหนักกระเป๋า และยังสามารถจองที่พักออนไลน์และรถเช่า พร้อมบริการจองอาหารล่วงหน้า เราอยากแนะนำให้จองก่อน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และสามารถเช็คอินออนไลน์ได้ก่อนเดินทาง 24 ชั่วโมง
อ้อออ! และการบินไทยยังบินตรงด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 787 Dreamliner ซึ่งมีบริการ Live Onboard ฟรีบนเครื่อง ทำให้เราไม่พลาดข่าวสารบ้านเมืองแม้กำลังเดินทางอยู่บนฟ้า ที่สำคัญบริการนี้ฟรีทุกชั้นโดยสารเลยนะ
AUSTRIA / VIENNA.
ออสเตรียได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งเสียงดนตรี ต้นกำเนิดของดนตรีคลาสสิคเพราะๆ ที่ฟังแล้วลื่นหูตั้งแต่เด็กจนโต ความดีงามของที่นี่คือเที่ยวง่าย สถานที่แต่ละแห่งไม่ไกลกัน แถมยังขึ้นชื่อเรื่องเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์ เหมาะสำหรับคนอย่างเราๆ ที่ดูมีความรู้มากเป็นพิเศษ 555 ทริปนี้เราขอแนะนำเฉพาะพาร์ทการเที่ยวออสเตรีย เผื่อเวลาให้ประเทศนี้ซัก 4 วัน แบ่งเป็นเวียนนาซัก 2 วัน / ฮอลสตัทท์ 1 วัน และ ซัลเบิร์กอีก 1 วัน บอกเลยว่าเธอจะหลงรัก ประเทศเล็กๆ นี้เพราะมันโรแมนติก ครบรสและกลมกล่อมมากที่สุดจริงๆ ?
Stephanplats
ไม่รู้จะเปรียบเทียบย่านนี้กับส่วนไหนของกรุงเทพดี เพราะมันมีทั้งแลนด์มาร์กของเมืองและย่านช๊อปปิ้งที่ดีที่สุดของเมืองเหมือนมีทั้งวัดพระแก้วและพารากอน พร้อมด้วยจตุจักรอยู่ละแวกเดียวกันหมดเลยงี้ละกัน 5555 Stephanplats เป็นย่านช๊อปปิ้งแสนเก๋ที่มีตั้งแต่ของทั่วไป ยันแบรนด์เนมระดับโลกก็รวมกันอยู่ย่านนี้ มาถึงแล้วต้องมาเดินเพราะยังไง๊ยังไงก็ได้ของติดไม้ติดมือกลับไปแน่ๆ อย่างน้อยก็คงได้แม่เหล็กติดตู้เย็นหรือ ช็อคโกแลตรูปอะไรซักอย่างประจำเมืองกลับไป แต่ที่ดีงามคือคริสตัล swarovski สวยงามและถูกมากเลยจ้า
St. Stephens Catheral วิหารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ละแวกเดียวกัน เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่ศักดิ์สิทธิ์และชาวออสเตรียให้ความเคารพนับถือ ข้างในยังเปิดให้เข้าชมฟรีด้วยนะ แต่อยากขอแนะนำให้เพื่อนๆ สำรวมกันนิดนึงเพราะในขณะที่เรามองว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อีกหลายๆ คนรักและนับถือ เราจะเห็นผู้คนนั่งอธิษฐานและทำพิธีกันภายในวิหาร เพราะฉะนั้นเข้าไปแล้วต้องเงียบเสียงและชื่นชมความงามของมันทางสายตาให้อย่างเต็มอิ่มไปเลย
ส่วนภายนอกนั้นก็ยอดสูงแหลมของวิหารก็เป็นอีกจุดนึงที่ดึงดูดสายตาเราดีเหลือเดิน เพราะมันสง่างามและสวยมากกกก
Zollamtssteg Bridge
ถ้าใครเป็นแฟนหนัง Before Sunrise อาจจะคุ้นเคยและอยากมาเยือนสะพานแห่งนี้ซักครั้ง นี่คือสะพานคนเดินที่ชื่อเรียกยากมาก จนต้องหยิบ Note9 ออกมาถามทางคนท้องถิ่นซักหน่อยว่าสรุปแล้วมันเรียกว่าอะไรกันแน่! เอ้า ขอขายของซักหน่อย มีNote9 ก็เหมือนมีเพื่อนที่โคตรฉลาดอีกคนนึง ในขณะที่อีกคนกำลังหาปากกากับกระดาษจะจดชื่อสถานที่ สิ่งที่ Note9ทำได้ทันทีคือ Screen off memo หยิบ S Pen ขึ้นมาแล้วเขียนลงบนหน้าจอได้ทันทีทั้งๆ ที่ยังไม่ต้องกดเปิด
สำหรับเราสะพานนี้เล็กกว่าที่คิด และก็ไม่ใช่จุดที่นักท่องเที่ยวแห่กันมาเยอะๆ เท่าไหร่ ถ้ามีเวลาก็ควรแวะมาดู และอินกับหนังซักหน่อย มันก็จะเงียบๆ เหงาๆ เหมือนที่ดูในหนังตอนที่เจสซี่กับเซลีนเดินคุยกันนั่นแหละเนอะ
Need to Know
“การเดินทางเที่ยวในเวียนนานั้นสะดวกสบายมาก เน้นเดินและขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หรือถ้าขี้เกียจจะเรียก Uber ก็มีถมเถไป แต่ระบบรถไฟและรถรางของเวียนนานั้นดีมากๆ สมกับเป็นเมืองหลวงของยุโรปตะวันออก ที่นั่นใช้ระบบซื่อสัตย์ คือซื้อตั๋วแล้วไป Validate ตั๋วด้วยตัวเอง และสามารถเดินขึ้นรถไฟได้เลย ไม่มีที่กั้นใดๆ ทั้งนั้น สำหรับเราเราว่าเป็นระบบที่ดี และสะดวกมากๆ สำหรับคนที่พร้อมจ่ายและซื่อสัตย์กับสังคม ไม่ต้องรอคิวยาวๆ ตี๊ดบัตรเลย”
เราแนะนำให้ซื้อบัตรแบบเหมาวันซึ่งมีทั้งแบบ 24 ชม. / 48 ชม. / 72 ชม. การซื้อแบบนี้จะคุ้มค่ากว่ามากๆ เพราะจ่ายต่อเที่ยวต้องจ่ายครั้งละประมาณ 2.40 ยูโร แต่บัตรแบบเหมาวันเริ่มต้นแค่ 24 ชม. 8 ยูโรเท่านั้นเองแก๊ ขึ้นได้ทั้งรถไฟและบัสรวมไปถึงรถรางด้วยนะ แล้วยังมีบัตรแบบ Vienna City Card ที่มาพร้อมส่วนลดอื่นๆ สำหรับนักท่องเที่ยวและรวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์บางแห่งไว้แล้วอีกด้วย บัตรต่างๆ พวกนี้ถ้าไม่มั่นใจ ติดต่อเคาท์เตอร์ Information ได้เลยจ้ะ
Albertina Museum
อย่างที่บอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งมิวเซียม ถ้าจะให้เข้าทุกที่อาจจะต้องมาอยู่เวียนนาซักเดือนนึง เราเลยเลือกเข้าเฉพาะบางที่เท่านั้น และที่นี่คือหนึ่งเดียวที่อยากแนะนำ (เรารู้ว่าพวกเธอไม่ค่อยเข้ากันหรอก :P) เพราะมันคือมิวเซียมที่แสดงภาพที่ใหญ่ที่สุดแห่งนึงของโลก ในมิวเซียมนี้มีทั้งภาพวาด ภาพพิมพ์ และงานกราฟฟิกต่างๆ รวมกันมากกว่า 1 ล้านชิ้นและยังมีนิทรรศการหมุนเวียนตลอดปี อย่างช่วงที่เราไปจนถึงเดือนมกราคม 19 จะเป็นการจัดแสดงงานของ ปิกัสโซ่ และโมเน่ต์ เล่าตั้งแต่ภาพแรกที่วาดยังภาพสุดท้ายก่อนตายกันเลยทีเดียว
ถ้ามีเวลาหรือชื่นชอบงานศิลปะที่นี่เป็นอีกที่นึงเลยมีควรแบ่งเวลามาเดินดูมากๆ มันซาบซึ้งและอินจริงๆ ค่ะคุ๊ณณณณณ
ความพีคของ Albertina ยังไม่จบแค่นี้เพราะมิวเซียมนี้ชั้นสองตรงทางเข้ายังมีระเบียงกว้างๆ ยื่นออกไปด้านหน้า พร้อมที่นั่งให้เรานั่งพักขาหลังจากที่เดินกันมาทั้งวันด้วยนะ ด้านหน้าของ Albertina คือด้านหลังของโรงละครเวที Opera House เพราะฉะนั้นเธอควรแวะมาดู Sunset ที่นี่! มันจะเป็นวิวท้องฟ้าสีส้มตัดกับวิวของเมืองจนมืดและกลายเป็นสีสันสวยงามในที่สุด เราชอบความโรแมนติกของยุโรปตรงนี้ มันทำให้เรารู้สึกอินและเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันทุกวันเลย
***แอบบอกว่า Albertina ใกล้กับย่านช๊อปปิ้งอย่าง Stephanplats ชนิดว่าห่างกันประมาณ 2 บล็อคเท่านั้น ดูวิวเสร็จปุ๊ป ออกไปช๊อปปิ้งต่อได้ทันที แต่บอกก่อนว่าร้านต่างๆ ในยุโรปจะปิดกันเร็วมาก บางร้านสองทุ่มก็เริ่มปิดกันเลย เผื่อเวลาดีๆ
AUSTRIA / SALZBURG.
Salzburg เป็นอีกเมืองนึงที่เราแวะมารอบนี้ เพราะนั่งรถไฟออกจากเวียนนาไม่นาน เราก็จะถึงบ้านเกิดของนักดนตรีคลาสสิคอย่าง Mozart สารภาพตามตรงว่ารู้จักแค่ชื่อแหละค่ะ! ตอนมาถึงวันแรกยังสะกิดและกระซิบเพื่อนเบาๆ อยู่เลยว่า “มึงๆ โมสาร์ทเค้าร้องเพลงอะไรหรอ?” 55555 เพื่อนเลยตอบว่าเค้าเล่นดนตรีคลาสสิคย่ะ! พร้อมฮัมเพลงให้เราฟังอีก นี่แหละ ที่นี่.. คือบ้านเกิด Mozart เมืองเล็กๆ ที่จะฟูลฟีลทริปออสเตรียได้อย่างดี
Schloss Mirabell
ด้วยความที่เรามีเวลาที่เมืองนี้แค่ 1 วัน เลยจำเป็นต้อง Pick up สถานที่ๆ อยากไปขึ้นมาแล้วทำเวลาให้ทัน เมืองนี้เราไม่เน้นหลายที่ แต่เน้นให้เวลาแต่ละที่กับมันซักหน่อย นั่งเอ็นจอยกับดอกไม้และฝูงผีเสื้อ กินลม ชมวิวกันไปเพลินๆ ที่แรกที่เราไปคือ Schloss Mirabell ที่นี่คือวังเก่าที่เจ้าชายเมื่อ 400 กว่าปีสร้างให้แก่คนรักของพระองค์ ทำให้ที่นี่มีสนามหญ้าใหญ่โต และปลูกต้นไม้แต่ละชนิดสลับกันไปตามฤดูอย่างสวยงาม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงมากันเยอะ เพราะสวยและต้นไม้ก็ถูกจัดไว้อย่างดี มีสีสันสดใส แถมที่นี่เข้าชมฟรีกันด้วยนะ
เราเคยแนะนำไปแล้วว่า Note9 พร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Scene Optimizer เป็นระบบ AI ที่จะทำให้ภาพของเรานั้นคมชัดขึ้น เพราะมันสามารถจับภาพวัตถุที่เรากำลังถ่ายได้ว่าเรากำลังถ่ายอะไรอยู่ จากนั้นมันจะเลือกโหมดให้เราอัตโนมัติทันที เช่นหันกล้องมาหาเรา มันก็จะขึ้นว่าเธอกำลังถ่ายคนสวยอยู่! อิอิ หรือย่อลงนิดนึงเพื่อถ่ายดอกไม้ในสวน Scene Optimizer ก็จะเด้งขึ้นมาทันทีเป็นไอคอนเล็กๆ รูปดอกไม้น่ารักทันทีเหมือนบอกเราว่า “เอ้า! เอาไปเลย ถ่ายดอกไม้ชั้นเลือกให้เธอใช้โหมดนี้” เรามีหน้าที่กด Capture ส่วนคนถ่ายรูปสวยจริงๆ ต้องยกให้ Note9
จากนั้นเราก็เดินข้าม Salzach River และ Love Locks Bridge สัญลักษณ์ของเมือง Salzburg ไปยังฝั่งเมืองเก่าอีกด้าน ซึ่งเราจะข้ามไปเที่ยวฝั่งนั้นกันทั้งวัน เพราะมีทั้งจุดชมวิว ปราสาทและย่านช๊อปปิ้ง ย่านเดียวครบ จบทั้งเมือง Salzburg
Getreidegasse
Getreidegasse คือย่านช๊อปปิ้งหลักของเมือง Salzburg ความคึกคักของถนนเส้นนี้มีอยู่ทั้งวัน แถมยังมีร้านแบรนด์เนมมากมายให้เลือกดูกันด้วย ย่านนี้ยังมีบ้านเกิดของ Mozart ด้วยนะ เป็นมิวเซียมไปด้วยในตัวชื่อว่า Mozart’s Birthplace Mozart เกิดที่บ้านหลังสีเหลืองๆ นี้และอยู่ที่บ้านหลังนี้ 17 ปีก่อนย้ายไปอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำในเมืองเดียวกันนี่แหละ เสียดายว่าด้านในห้ามถ่ายรูป งั้น..พวกแกต้องมาดูด้วยตัวเองกันแล้วหละ
ช่วงที่เราไปในเมืองกำลังมีงานพอดีเหมือนกำลังเฉลิมฉลองช่วงที่หมดฤดูร้อนของปี วันที่เราไปคือเมื่อต้นกันยายนที่ผ่านมาเป็นวันสุดท้ายของการสิ้นสุดฤดูร้อนพอดี เลยเจอทั้งแดด ทั้งฝน ทั้งลูกเห็บ สภาพอากาศคาดเดาไม่ได้เลย เดี๋ยวฟ้า เดี๋ยวฝน เราแนะนำให้แพลนดีๆ ถ้าอย่ามาช่วงคาบเกี่ยวฤดูแบบนี้ ถ้าร้อนก็ควรร้อนไปเลย หรือหนาวก็ควรหนาวไปเลยจ้ะ เราจะเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่มากขึ้น และนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็เอ็นจอยกับเทศกาลแบบนี้เหมือนกัน
Museum of Modern Art Salzburg
เราให้คะแนนที่นี่ 10 เต็มไปเลยสำหรับการดูวิว Museum of Modern Art Salzburg เป็นทั้งมิวเซียมและจุดชมวิวพร้อมคาเฟ่เล็กๆ ด้านบนที่นั่งได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้านบนของที่นี่เราสามารถเห็นวิวแม่น้ำ Salzach และเมือง Salzburg ทั้งสองฝั่งแม่น้ำวันไหนแดดดีๆ มีลมโชยอ่อนๆ ก็นั่งกันได้ทั้งวัน เราชอบเพราะคนมันไม่เยอะด้วยนี่แหละ ส่วนมิวเซียมนั้นเราไม่ได้เข้าไปดูเพราะเวลาไม่พอ สำหรับค่าชมวิวเฉยๆ อยู่ที่คนละ 8 ยูโร ถ้าดูมิวเซียมเพิ่มด้วยก็เป็นคนละ 12 ยูโรไปเลย
ความตลกอย่างนึงของเมือง Salzburg เมื่อมันเป็นบ้านเกิดของ Mozart ทุกอย่างเลยถูกทำให้กลายเป็นสินค้าแบบ Mozart ไปหมดเลย ทั้งน้ำหอมเอย ขนมเอย ช็อคโกแลต เหล้า เสื้อ ทุกอย่างเป็นแบรนด์ Mozart ทั้งหมด จนหันหน้าไปคุยกับเพื่อนว่าถ้า Mozart ยังอยู่จะดีใจมั้ยวะเนี่ยว่าหน้านางนี่ไปติดอยู่บนทุกผลิตภัณฑ์ของเมืองนี้เลย 555
ในย่านเมืองเก่าจะมีอยู่ร้านนึงขาย Langos อร่อยมาก! อยากให้ลองไปชิมเลย Langos คืออาหารพื้นบ้านของฮังการี เป็นแป้งแผ่นกลมๆ เอาไปทอดข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มและหอม ทาด้วยเนยกระเทียมที่มีรสเผ็ดที่ปลายลิ้น กินตอนอากาศหนาวๆ โอ้โห.. ทดแทนกระเพราได้ชั่วคราวเลยจ้ะ อย่าลืมไปลองชิมกันนะ!
จุดสุดท้ายของเมืองที่เราไปกันคือ Festung Hohensalzburg ป้อมปราการประจำเมืองที่อยู่บนเขานั่นเอง
ด้านบนของที่นี่เหมือนเป็นเมืองอีกเมืองนึงเลย Festung Hohensalzburg มีอายุมากกว่า 500 ปี ตัวป้อมปราการนั้นแบ่งออกเป็นหลายห้องทั้งโชว์ของเก่า เป็นมิวเซียมบอกเล่าเรื่องราว อุปกรณ์เครื่องใช้และการใช้ชีวิตของคนที่นี่สมัยก่อน ด้านบนเหมือนเป็นอีกเมืองหนึ่งเลยนะ มีทุกอย่างแยกตัวออกจาก Salzburg ด้านล่าง ทุกอย่างในที่นี่รวมถึงคาเฟ่เก๋ๆ ด้วย
คนส่วนใหญ่นิยมขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกด้านบนนี้ แต่สำหรับเรา เราว่ามันสูงไปหน่อย เลยอยากแนะนำให้ไปดูที่ Museum of Modern Art Salzburg แทนมากว่า แต่ถ้าชอบภาพมุมกว้างเห็นทุกอย่างเป็นจิ๋วๆ ส่งท้ายวันดีๆ ก็ต้องที่นี่เท่านั้นแหละ Salzburg เป็นเมืองที่เที่ยวง่ายและน่ารัก เพราะเดินถึงกันได้ทั่วเมืองโดยไม่จำเป็นต้องนั่งรถ ถ้าแพลนมาเส้นทางนี้แล้ว ควรมากๆ ที่จะแวะซักวัน เธอจะรักในความไม่วุ่นวายแต่สนุกของที่นี่ มาจดจำภาพวิวเมือง Salzburg ให้กลับบ้านไปก็นั่งคิดถึงอยู่ทุกวัน มาที่นี่
AUSTRIA / HALLSTATT.
Hallstatt เมืองริมทะเลสาบที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ สำหรับเราก่อนมารู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรมาก งั้นๆ เหมือนแม่ฮ่องสอน แต่เอาเข้าจริงกลับชอบมาก โดยเฉพาะตอนเช้าๆ มันดูน่ารักไปหมดทุกที่ เหมาะแก่การมาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ จาก Salzburg นั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ก็ถึง Hallstatt แล้ว สำหรับเราข้อไม่พูดอะไรมากถึงเมืองนี้ เพราะมันเหมาะแก่การมาชิว นอนเล่น กินข้าว เดินไปถ่ายรูป ทำหัวให้โล่งๆ แล้วจะรักที่นี่
ข้อแนะนำสำหรับการมาเที่ยว Hallstatt
1. ที่นั่นคือบ้านคน ไม่ใช่มิวเซียมหรือสวนสนุก
เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยว ให้ระลึกไว้เสมอว่าเรากำลังเดินในบ้าน และหมู่บ้านคนอื่น อย่าส่งเสียงดังและให้เกียรติคนในพื้นที่ พร้อมสำรวมมารยาทตลอดเวลา
2. จองโรงแรมก่อนไปเสมอ
ที่พักใน Hallstatt ถ้าโรงแรมฮิตๆ จะเต็มค่อนข้างเร็ว คนไทยส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวมักจองผ่านเว็บไซต์ OTA จองตั๋วต่างๆ อยากบอกทริคง่ายๆ ว่า หากเว็บจองนั้นเต็ม ให้เปิด Google Map แล้วหาชื่อโรงแรมที่ใกล้บริเวณริมน้ำ แล้วจองผ่านโรงแรมโดยตรง เราค้นพบว่าบางทีในเว็บไซต์จองตั๋วเต็ม แต่ถ้าจองตรงกับโรงแรมยังมีอยู่และบางทีถูกกว่าด้วยสำหรับที่นี่
3. ดูรอบรถไฟและตารางเรือให้ดี
หากเดินทางโดยรถไฟ ทุกๆ คนจะต้องต่อเรืออีกต่อนึงเพื่อมายังหมู่บ้านโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที คนละ 2.50 ยูโร เช็ควันเดินทาง รอบรถไฟ และดูรอบวิ่งเรือได้ที่ท่าน้ำ เพื่อไปให้ทันรถไฟด้วยจ้า
นี่คือ 3 ข้อที่เราอยากแนะนำเวลามาเที่ยว Hallstatt โดยเฉพาะข้อ 1 อย่าห่าม อย่าห้าว แต่ต้องมีมารยาทต้องเวลานะ อย่างที่บอกว่าสำหรับเมืองนี้ขอไม่พูดอะไรมาก ให้ภาพเล่าเรื่องดีกว่าว่ามันชิวแค่ไหน 10 ภาพจาก Hallstat ต่อจากนี้ ส่วนใหญ่ถ่ายด้วย Samsung Galaxy Note9 ทั้งหมดเลยนะ
AUSTRIA / VIENNA.
จาก Hallstatt เรากลับมาเวียยนาด้วยรถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น นั่งๆ นอนๆ เดินไปตู้เสบียงแปปเดียวเท่านั้นก็ถึงแล้วอะ เร็วและดีมากๆ เลย *เผื่อเวลามารอรถไฟที่สถานี Hallstatt อย่างน้อยก่อนรถไฟออก 15 นาทีด้วยนะ* จริงๆ เรากลับมาจาก Hallstatt ช่วงเย็นของวันก่อนหน้าอยู่เวียยนาอีก 2 คืน แต่ถ้าใครเวลาน้อยสามารถกลับมาตอนเช้าเที่ยว Vienna อีกครึ่งวันก่อนย้ายไปประเทศอื่นต่อก็ได้เช่นกัน
Schönbrunn Palace
Schönbrunn Palace อยู่ในกรุงเวียนนาเลย สมัยก่อนใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ปัจจุบันด้านในใช้เป็น่ที่จัดแสดงงานทางศิลปะมากมาย และยังเคยเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของโลกด้วยนะ ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเวียนาและถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
ที่นี่มีทั้งส่วนที่สามารถเข้าชมได้ฟรี และต้องเสียเงินเข้าไปด้านในก็มีผลงานศิลปะมากมาย แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่สามารถถ่ายรูปได้ เราเลยเก็บภาพด้านนอกมาให้ชมกันนะ และด้านนอกก็เป็นส่วนที่เราชอบมากที่สุดแล้ว สุดทางของปราสาทเป็นเนินสูงๆ ที่เราสามารถขึ้นไปนั่ง วิ่ง นอนที่หญ้าบนเนินนั้นได้ด้วย
เราอยากให้เผื่อเวลามาที่นี่ซัก 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หยิบผ้าผืนเล็กๆ มาปู กับหนังสือดีๆซักเล่มหรือ Netflix ซักเรื่อง แล้วนอนอยู่บนหญ้าแบบอากาศดีๆ คือฟินมากกก เหมือนเป็นเจ้าหญิงน้อยกำลังชื่นชมความงามของสวยหลังวังตัวเอง
ความดีงามของ Note9 ที่มีเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้นคือ S Pen มี Bluetooth ที่สามารถสั่งงานระยะไกลได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่นางถ่ายรูปไม่ถูกใจ หรือไปเที่ยวคนเดียวก็แค่เดินไปตั้งมือถือ แล้วกดสั่งชัตเตอร์ระยะไกลจาก S pen เจ้า S Pen ด้ามเดียวกับกล้องหน้าของ Note9 ก็เก็บภาพเพื่อนๆ ได้ทุกคน ไม่มีใครน้อยหน้าใครเลย
Café Sperl
Café Sperl เป็นร้านดังของกรุงเวียนนาเพราะเป็น คาเฟ่แบบ traditional Viennese café ขายกาแฟสดหอมๆ และขนมท้องถิ่นอย่าง Sacher เค้กหน้าช็อกโกแลตสอดไส้แยมแอปริคอทนั่นเอง ความเก๋าของร้านคือบรรยายกาศแบบละมุนๆ ดูเป็นคนแก่แต่มีสไตล์ เข้าไปนั่งแล้วรู้สึกได้ถึงการเป็นผู้ดีเวียนนามากค่ะคุณ ร้านนี้ถูกขึ้นทะเบียนว่าเป็นหนึ่งในร้านประวัติศาสตร์เป็น Austrian Register of Historic Places ด้วยนะ แถมยังเป็นฉากในหนังเรื่อง Before Sunrise
MuseumQuartier
นี่คือมิวเซียมที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์รวมของมิวเซียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนเวียนนาเรียกที่นี่ว่า MQ ละแวกนั้นมิวเซียมมากถึง 3-4 มิวเซียมเลยแหละ เช่น Mumok หรือ Museum of Modern Art / Leopold Museum ที่นี่เป็นแหล่งใหญ่อีกที่ ที่คนเวียยนาชอบมาแฮงค์เอาท์นั่งคุยกันชิวๆ เพราะเก้าอี้นั่งตรงลานกลางแจ้งของที่นี่เรียกว่า MQ Seating เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นดังของที่นี่เลยแหละ เพราะมันเป็นเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้พอดีตัว นั่งก็ได้ หรือเหนื่อยๆ เอนกายนอนก็ได้เช่นกัน ลองมาสิ
จากตรง MuseumQuartier นั้นเดินข้ามฝั่งถนนไปก็จะเจอกับย่านมิวเซียมเหมือนเดิม งงใจมากว่าทำไมมันเยอะขนาดนี้ ที่นี่เค้าให้ความสำคัญกับความรู้และการศึกษาดีมากๆ เลยเนอะ แตกต่างจากบ้านเราเลยจริงๆ 55555 พอเดินข้ามถนนไปให้นึกภาพว่าเรายืนกลาง 4 แยก แล้วทุกๆ มุมมีมิวเซียมขนาดใหญ่รายล้อมอยู่ เราชอบความอลังการด้านนอกของที่นี่มากให้ฟีลเหมือนรัสเซีย เล็กกว่านิดหน่อยแต่ประณีตกว่ามาก อย่าง Hofburg Palace ที่เคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์มากกว่า 600 ปี และมีห้องภายในวังมากกว่า 2,000 ห้อง และ Museum of Natural History of Vienna ที่เล่าประวัติของเมือง
PHIL
ถ้าชอบกินเบียร์ จิบไวน์แล้วนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ ซักเล่ม ที่นี่เหมาะกับเธอมาก เพราะ Phil เป็นทั้งคาเฟ่บาร์และร้านหนังสือไปด้วยในตัวที่นี่อยู่ใกล้ๆ กับ Naschmarkt ความอบอุ่นของที่นี่คือแต่ละคนก็จะนั่งพูดถึงหนังสือที่ตัวเองอ่าน ถ้ามาคนเดียวอาจจะได้เพื่อนที่นี่ได้ง่ายๆ เลย บรรยากาศน่ารักมากเลยแหละ ชอบที่นี่ที่สุดเลย
Mariahilfer street
ที่นี่คือถนนช๊อปปิ้งที่ยาวที่สุดในกรุงเวียนนาและจำนวนร้านค้าก็เยอะกว่าย่าน Stephanplats ด้วยซ้ำ ถนนเส้นอยู่ในเขต 6 และ เขต 7 ของเมืองมีทั้งร้านแบรนด์เนม ร้านท้องถิ่นและร้านอาหารจำนวนมาก มีคนบอกว่าถนนเส้นนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนได้มากถึง 70,000 คนต่อวันเลยนะ สำหรับเราที่นี่เพลินมากเดินเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ไม่มีเบื่อเลย
ส่วนแฟนหนัง Before Sunrise ที่นี่มีร้าน Alt and Neu ร้านแผ่นเสียงที่พระเอกและนางเอกเข้ามาเดินเลือกเพลงฟังกันทุกอย่างเหมือนในหนัง สวย คลาสสิค และเป็นตัวของตัวเอง
Smooth As Silk Back HOME :)
การบินไทยใช้เครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง 787 Dreamliner และ Boeing 777-300ER รุ่นใหม่สลับการบินในเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรุ่นไหนก็สบายต่างกัน เพราะที่นั่งกว้างกว่าชั้นประหยัดบนสายการบินอื่นๆ และการบริการแบบไทยที่เราประทับใจทุกครั้งเวลาเที่ยวต่างประเทศเสร็จเหนื่อยๆ ขึ้นเครื่องไปเจอพี่ๆ ลูกเรือคนไทย มันอบอุ่น เหมือนคุยกับคนบ้านเดียวกัน รอบนี้เราเดินทางกลับด้วยชั้นธุรกิจ Royal Silk Class จัดที่นั่งแบบ 1 -2- 1 ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง จะมาคู่หรือมาคี่ก็เลือกนั่งได้ตามสบาย แถมบนเครื่องยังมีอาหารไทยที่เรียกว่า ‘สำรับไทย’ ให้บริการด้วยนะ
(ภาพบนเครื่องบินและการบินไทยทั้งหมดถ่ายด้วย Samsung Galaxy S9 และ Note9)
จากเวียนนาสู่กรุงเทพใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง เป็นเวลาที่ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะเบาะสามารถปรับเอนได้ 180 องศา กว้างกว่า เหยียดขาได้มากกว่าและบริการอาหารได้ถูกปากคนไทยห่างบ้านมานานแบบเรา สำหรับเราการบินไทยไม่ใช่สายการบินที่ดีที่สุด แต่เป็นสายการบินที่เราขึ้นแล้วอุ่นใจมากที่สุดเวลาเดินทางจริงๆ
เพื่อนๆ สามารถอ่านรีวิวเต็มๆ การเดินทางกลับบ้านจากเวียนนาถึงกรุงเทพกับการบินไทยได้โดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่าง
หลายคนบอกว่าออสเตรียเป็นเมืองที่ไม่มีอะไร ข้ามไปก็ได้! แต่เรามาแล้วกลับรู้สึกว่า เพราะความไม่มีอะไรของมันนี่แหละ ทำให้เราได้อะไรดีๆ กลับไปเสมอ เวียนนาคือเมืองปลอดภัยที่น่าเที่ยว ไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปีนี้ เพราะมันคือความกลมกล่อมและพอดีของสถานที่ ผู้คน และสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ใครมาเวียยนาก็ต้องหลงรัก ถ้ากำลังแพลนทริปมาเที่ยวยุโรปตะวันออก อย่าลืม! เลือกเวียนนาเป็นจุดเริ่มต้นก่อนจะไปประเทศอื่นต่อ ขอเวลาให้ที่ซัก 4-5 วัน แล้วมันจะเป็นอีกหนึ่ง Destinations ที่ลืมไม่ลงและอยากหาเวลากลับมาซ้ำอีกแน่นอน ?