จะมีซักกี่ประเทศที่คนไทยหลงรักกันมากๆ ทั้งรักในความละเอียดอ่อน รักในความใจดีและอ่อนโยน แถมรักในบ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านและสวยงามจนรู้สึกรักมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ‘ ญี่ปุ่น ‘ ถึงกลายเป็น Dream Destination ของคนไทยมานานหลายปีอย่างที่ไม่สามารถหาคู่แข่งมาแทนได้ง่ายๆ ทริปนี้ก็เหมือนกัน เรากลับมาญี่ปุ่นอีกครั้ง บางคนอาจจะถามในใจว่าไม่เบื่อบ้างหรอ? แหมมมม คุณ ถ้าเรารู้สึกเลือกสถานที่เที่ยวใหม่ๆ ญี่ปุ่นก็เป็นอีกประเทศที่กลับมาพูดได้ทุกครั้งว่าได้อะไรใหม่ๆ กลับมาทุกครั้ง
ทริปนี้ก็เหมือนกัน! เป็นการเปิดโลกการเที่ยวในเส้นทางที่คุ้นเคยให้กว้างกว่าเดิม เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถไฟเที่ยวกัน! กับ Pass ใหม่ล่าสุดจาก Odakyu – Hakone Kamakura Pass พาสที่จะเชื่อมโตเกียวและเมืองรอบๆ ให้ทุกคนเดินทางได้สะดวกมากกว่าเดิม ทริปนี้เลยเป็นทริปหนึ่งอาทิตย์แนะนำสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจให้ทุกคนเลือกเที่ยวได้ง่ายขึ้นผ่าน Hakone Kamakura Pass ใบนี้ บอกทั้งหมดว่าเที่ยวตรงไหนพีค และนอนตรงไหนดี ช่วยให้เธอแพลนทริปนี้ได้ง่ายขึ้นแบบหมูๆ พร้อมไปดูวิวที่อลังการและสวยเหมือนฝัน
FLY AWESOME!
ทริปนี้เราออกเดินทางกับ NokScoot นี่คือสายการบินราคาประหยัดที่บินระยะไกลได้สะดวกสบายมากที่สุด เราชอบเดินทางกับ NokScoot เพราะที่นั่งที่กว้างกว่า เบาะที่กว้างขึ้น และพื้นที่วางขาด้านหน้าเข่าไม่ชนเบาะ มีพื้นที่ให้เยอะมาก เพราะบินตรงด้วยเครื่องบินแบบ 777-200 ลำใหญ่ขนาด 415 ที่นั่ง แต่ไม่แออัดเลยซักนิด เพราะมีการจัดที่นั่งให้เหมาะแก่การบินระยะไกลได้สบาย แถมจำนวนที่นั่งเยอะทำให้สามารถทำโปรโมชั่นตั๋วถูกให้เราได้ซื้อเสมอๆ
NokScoot มีโซนด้านหน้าสำหรับผู้โดยสารที่ชอบความเป็นส่วนตัวมากขึ้นชื่อว่า Scoot in Silence ทำให้หลับพักผ่อนได้สบาย เพียงพอต่อการเที่ยว ตื่นมาปุ๊ปเครื่องแลนด์ก็พร้อมเที่ยวได้ทันที และที่นั่งของ NokScoot ทั้งหมดเป็น Extra Wide คือทุกที่นั่งกว้างทั้งหมด! พื้นที่วางขาเยอะขึ้น ปรับเอนเบาะได้มากกว่าใคร บอกเลยว่าเหมาะแก่การเดินทางไปพักผ่อนเพราะ เงียบสงบ พื้นที่กว้างขวางและราคาประหยัดอีกด้วย
NokScoot กำลังขยายเส้นทางบินใหม่เรื่อยๆ ปัจจุบันบินจากดอนเมือง 2 เที่ยวบินต่อวันเลือกได้ตามสะดวก เอ้ออ..สำคัญที่สุดคืออย่าลืมสั่งจองอาหารล่วงหน้าด้วยนะ! เพราะยังไงบินไปญี่ปุ่นกว่า 6 ชั่วโมงต้องหิวแน่นอน เราชอบข้าวปลากะพงซอสมะขาม มากเป็นพิเศษ ส่วนเพื่อนๆ ที่เดินทางด้วยกันนางเป็นแฟนพันธุ์แท้อาหารอินเดีย ถึงกับเอ่ยปากชมว่า “อร่อยจริงหวะ!”
DAY 1 : Enjoy Shopping in Shinjuku.
วันแรกไฟลท์ของ NokScoot ออกช่วงเช้ามืดมาถึงโตเกียวช่วงสายใกล้เที่ยง เราแพลนวันนี้ให้เป็นวันพักผ่อนชิวๆ ก่อนที่จะเริ่มเที่ยวรอบๆ โตเกียวด้วย Hakone Kamakura Pass เรานั่งบัส Airport Limousine จากนาริตะไปถึงย่านใจกลางเมืองอย่าง Shinjuku โดยเดินเที่ยวรอบๆ ที่พัก (รีวิวที่พักแยกอีกรีวิวนึงนะ) วันแรกคือวันแห่งการพักผ่อนที่แท้จริง คือเดินเล่นดูเมือง ท่ามกลางอากาศดีๆ ไปเรื่อย แวะร้านนั้น ออกห้างนี้ เราเดินวนๆ อยู่ใน Mosaic Street, HALC, Odakyu Department Store มาชินจูกุก็บ่อยพึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในห้างพวกนี้เหมือนกัน
ถ้ามาช่วงหน้าหนาวบริเวณหน้า Mosaic Street มีประดับไฟด้วยนะ รอไปถ่ายรูปตอนเย็นๆ แสงสีเปลี่ยนผีให้เป็นคนจริงๆ 5555 แล้วมีร้านขนมปังร้านนึงชื่อว่า HOKUO อร่อยใช้ได้เลย อย่าลืมไปกินกันด้วยยยย! วันแรกก่อนเดินทางให้พักผ่อนเดินดูไฟในเมืองสวยๆ และนอนพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่
สำหรับรีวิวห้องพักเราแยกไว้ให้เพื่อนๆ ดูภาพเพิ่มเติมอีกรีวิวที่ https://www.wheredowego.in.th/travel/muststayodakyutrip/
DAY 2 : Gotokuji Temple / Fujiko F. Fujio Museum and Shimokitazawa
เช้าวันที่ 2 ของทริปเราตื่นกันตั้งแต่เช้ารีบบึ่งไปที่ Odakyu Sightseeing Center,Shinjuku West เพื่อนำVoucher ตัวจริงของ Hakone Kamakura Pass ที่ซื้อจาก Quality Express ในเมืองไทยไปแลกเป็นตั๋วจริงสำหรับใช้เดินทาง ต้องอธิบายก่อนว่าตั๋ว Hakone Kamakura Pass ราคา 1,920 บาท สามารถใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายใน 3 วันสามารถเดินทางได้ตลอดเส้นทางโดยไม่ต้องเสียเพิ่มทั้งรถไฟ บัส หรือเรือก็ตาม มันค่อนข้างสะดวกมากๆ
ทริปนี้เราเที่ยวให้ดูเป็นตัวอย่างทั้งหมด 6 วัน เพราะฉะนั้นต้องซื้อบัตร Hakone Kamakura Pass 2 รอบถือว่ามาดูแทนเพื่อนๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการตามรอยนะ
ที่สำคัญ! ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 Odakyu ขึ้นราคา Pass ชนิดนี้จาก 6,500 เยน เป็น 7,000 เยน แต่หากซื้อกับ Quality Express ยังขายราคาเดิมปกติไม่ขึ้นราคาแม้แต่บาทเดียว
จากสถานี Shinjuku ของ Odakyu เรานั่งรถไฟออกมาประมาณ 20 นาทีมาลงที่สถานี Gotokuji แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีมาวัดแมวกวัดยอดฮิต Gotokuji Temple วัดแมวกวักที่โด่งดังและน่ารักมาก อยากให้ทุกคนมาดูกัน วัดแมวกวักนี้มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ คนญี่ปุ่นเลยนับถือและเคารพกันมาก เดินเข้ามาในวัดจะรู้สึกสงบและร่มรื่นมาก แถมมีตุ๊กตาแมวน่ารักอีกเป็นพันๆ ตัวเลยนะ อยากแนะนำให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทุกอย่างกำลังสวยเลย
จากสถานี Gotokuji เรานั่งต่อไปยังสถานี Noborito เพื่อไปดูพิพิธภัณฑ์ที่อยากดูมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสซักทีอย่าง Fujiko F. Fujio Museum มิวเซียมที่เล่าเรื่องของอาจารย์ฟูจิโกะ ผู้ให้กำเนิดโดราเอมอน โดยในมิวเซียมเล่าตั้งแต่การวางโครงเรื่อง การวาดเส้นและมีอนุสาวรีย์ตัวการ์ตูนให้ถ่ายรูปเยอะแยะ รวมถึงจำหน่ายของที่ระลึกด้วย รอบนี้เราตั้งใจกินอาหารกลางวันในมิวเซียมเลย บอกตรงๆ ว่าตอนแรกที่จะกินเพราะมันน่ารัก ไม่ได้คาดหวังเลยว่ามันจะอร่อย แต่ดีงามกว่าที่คิดโดยเฉพาะแกงกระหรี่ โอ้โห.. เหมือนฝัน 555 มาที่นี่แนะนำให้เผื่อเวลาไว้ทั้งบ่ายเลยสำหรับคนที่อินๆ เพราะมันดีมากๆ ดูแล้วรู้สึกประทับใจ และดีใจมากที่โดราเอมอนเป็นการ์ตูนที่อยู่ในใจของทุกคนเสมอ
จากมิวเซียมเรานั่งรถไฟของ Odakyu จาก Noborito – Shimokitazawa ย่านฮิปๆ ของวัยเรา ที่มีของขายเยอะมากก แนะนำว่าให้มาเดินเล่นถ้าคิดว่าซักชั่วโมงเดียวพอ ให้เผื่อไปเลยสามชั่วโมง ที่นี่มีของน่ารักๆ และเก๋เยอะมาก แต่ต้องมีเวลาค่อยๆ เดินดูและให้เวลาตัวเองตัดสินใจเพราะแต่ละอย่างนั้นไม่ถูกเลยเพราะเป็นงานแฮนด์เมดและดีไซน์ อยากให้มาดูร้าน Flamingo ของเก๋ๆ เพียบ!
สองวันแรกของเราเป็นการเดินทางที่ดูคิขุมากๆ น่ารักตามที่เราตั้งใจไว้ จริงๆ ยังมี Sanrio Puroland ด้วยนะที่น่าไป แต่เวลาเราไม่พอเลยไม่มีโอกาสได้เดินทางไปฝั่งนั้น แน่นอนว่ากลับมารอบหน้าต้องไม่พลาด!
DAY 3 – HAKONE
ถ้าพูดถึงเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบใกล้โตเกียว ดังเรื่องออนเซ็น บ่อน้ำพุร้อนและเจ้าไข่ดำแสนอร่อย เรามั่นใจว่าทุกคนต้องคิดถึงและเคยได้ยินชื่อ Hakone แน่นอน ที่นี่เป็นอีกเมืองที่สามารถใช้ Hakone Kamakura Pass เที่ยวได้รอบๆ หรือถ้าเวลาน้อยก็สามารถมาเที่ยวที่นี่แบบไปเช้าเย็นกลับได้เหมือนกัน รอบนี้เราค้างกันที่ Hakone เลยคืนนึงเพราะต้องเดินทางไปเมืองอื่นต่อ และเที่ยว Hakone รอบนี้จะเน้นเที่ยวแลนด์มาร์กที่สวยงามสำหรับการถ่ายรูป!
เราใช้เวลาเที่ยว Hakone ทั้งหมด 2 วัน 1 คืน เก็บตามแลนด์มาร์คที่มั่นใจว่าถ่ายรูปสวยแน่ๆ และเพื่อนบางคนในทริปมาครั้งแรกก็ต้องไปในจุดที่เป็น A must ด้วย บอกเลยว่าทริปนี้ครบครันมากค่ะคุณขา เราออกจากสถานี Shinjuku ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เพราะอยากนั่งรถไฟรุ่นใหม่ของOdakyu อย่าง Romancecar รถที่ขบวนด้านหน้าสุดเป็นกระจกกว้างแบบ 180 องศาทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศ แถมวันไหนอากาศดีๆ ช่วงใกล้ถึง Hakone จะเห็นคุณฟูจิซังออกมาทักทายด้านขวามือด้วยนะ “สวัสดีจ้า! คุณฟูจิซัง”
ความน่ารักของคนญี่ปุ่นอย่างนึงคือมารยาทที่ดีในการเดินทางทุกคนจะสุภาพและสำรวมมากๆ ทำให้เราเอ็นจอยกับวิวได้อย่างเต็มที่ หน้าต่างบานใหญ่ ที่นั่งที่กว้างขวางกว่าทำให้เยียดขาได้สบายเข่าไม่ชนเบาะ และความน่ารักคูณสองสำหรับรถไฟขบวน Romancecar คือข้าวกล่องที่เป็น Signature หน้าตาน่ารักแถมเก็บกล่องข้าวกลับไปได้ด้วยนะ แล้วถ้ามาเป็นแก๊งค์เพื่อน 4 คนก็สามารถปรับเก้าอี้หันหน้าเข้าหากันแล้วนั่งทานข้าวแบบพร้อมหน้าพร้อมตาได้จ้า
พอถึงสถานี Hakone-Yumoto ปุ๊ป! สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้ทำมากเวลามาเที่ยวญี่ปุ่นคือบริการฝากกระเป๋า Hakone Carry Service Counter จากสถานีไปส่งให้เราที่โรงแรมได้เลย โดยไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ฝากปุ๊ป เที่ยวปั๊ป รับกระเป๋าอีกทีตอนถึงโรงแรม เป็นบริการที่สะดวกและควรใช้เวลามาเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยการจัดการที่ดีมากของคนที่นี่ทำให้มั่นใจได้แน่ๆ ว่ากระเป๋าเราจะปลอดภัย และเดินตัวปลิวชิวๆ เที่ยวใน Hakone ได้ทั้งวัน
จากสถานี Hakone-Yumoto เราจะเปลี่ยนมาใช้บริการรถไฟและการเดินทางอื่นๆ ที่วิ่งในท้องถิ่น จุดแรกที่เราจะไปกันคือ Owakudani โดยเลือกเดินทางแบบหวานเย็นนิดนึงแต่วิวสองข้างทางนั้นบอกได้คำเดียวว่า “นานกว่านี้เป็นวันก็นั่งได้!” เราเริ่มนั่ง Hakone Tozan Train – Hakone Tozan Cable Car – Hakone Ropeway เพื่อไป Owakudani นั่นเอง ใช้เวลาเดินทางรวมกันทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เป็นหนึ่งชั่วโมงที่คุ้มค่าและไม่นานเลยแม้ต้องเปลี่ยนจุดขึ้นลง 3 รอบ เราแนะนำว่าแต่ละขบวนที่ขึ้นนั้นให้นั่งด้านหน้าสุดของขบวน แล้วเธอจะเอ็นจอยกับวิวสองข้างทางที่อลังการไม่มีหมด โดยเฉพาะ Hakone Tozan Cable Car ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเหมือนกำลังนั่งผ่านอุโมงค์ใบไม้แดงสะท้อนสวยงามที่สุด
ในที่สุดเราก็มาถึง Owakudani ด้านบนนี้คือหุบเขาที่มา Hakone ต้องห้ามพลาดและต้องมาชิมไข่ดำจากบ่อน้ำพุร้อนกำมะถัน ที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้ามากินไข่ดำที่นี่หนึ่งฟอง อายุจะยืนขึ้น 7 ปี ที่นี่เป็นภูเขาไฟที่ยังคงมีชีวิตอยู่ โดยบ่อน้ำร้อนจะพวยพุ่งพ่นไอน้ำออกมาตลอดเวลา โดยไอน้ำนี้เกิดจากน้ำที่อยู่ข้างใต้ผสมกับแร่กำมะถัน แถมถ้าวันไหนฟ้าสดใสเราสามารถเห็นยอดภูเขาไฟฟูจิได้จากตรงนี้ด้วยนะ!
สำหรับเราด้านบนเป็นอีกแลนด์มาร์คนึงที่ควรมามาก เพราะภูมิประเทศที่ดูแปลกตาผสมกับไอน้ำพวยพุ่งออกจากภูเขาไฟก็สวยไปอีก ถ้ามาช่วงต้นปีหรือปลายปี ควรเตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ มาด้วยเพราะด้านบนลมเย็นมากกกกกกกกกก แต่วิวด้านบนและ Ropeway นั้นคุ้มค่าแก่การไปยืนถ่ายรูปหนาวๆ นะ
จากนั้นเรากลับลงมาจากOwakudani ด้วยเส้นทางเดิมที่เดินทางขึ้นไป ไปยัง Hakone Museum of Art กันต่อ จริงๆ ด้านในคือที่จัดแสดงงานศิลปะเซรามิกของญี่ปุ่น ทางเข้าด้านหน้านั้นน่าสนใจกว่าเพราะเต็มไปด้วยสวนหินประดับมอส และใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังแย่งกันเปลี่ยนสีเป็นเหลืองและแดงอมส้ม ความน่ารักและมารยาทงามของคนญี่ปุ่นคือไม่แย่งกันถ่ายรูป และไม่เหยียบมอส ทำให้บรรยากาศรอบๆ นั้นเงียบสงบ ได้ยินเสียงนกร้องและลมที่พัดพริ้วมาเป็นระยะ เป็นโมเมนท์ที่มีความสุขจนอยากให้พาแฟนมาเที่ยวที่นี่กัน
เราแวะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีต่ออีกนิดที่ Choanji Temple ที่นี่เป็นวัดของศาสนาพุทธนิกายเซน ที่มีรูปปั้นมากกว่า 200 รูป ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปปั้นนักบวช สัตว์ต่างๆ ผสมกันไป เอาตรงๆ ว่ามากลางคืนก็แอบหลอนอยู่ แต่ที่นี่เป็น A Must อีกจุดนึงสำหรับคนที่ต้องการมาดูใบไม้เปลี่ยนสีช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ห้ามพลาดที่นี่ถ้ามาเที่ยว Hakone
Susuki Grass Sengokuhara คือจุดไฮไลท์ที่เราอยากแนะนำมากถ้ามาเที่ยว Hakone เพราะต้นซุซุกิจะต้องแสงแดดยามเย็นสะท้อนเป็นประกายสวยงามและเหมาะแก่การถ่ายรูป คุ้มค่ากับการเดินทางมาที่นี่จริงๆ วิธีการไปคือ จากสถานี Hakone-Yumoto ขึ้นรถบัสHakone Tozan สาย Togendai ลงที่ป้าย Sengoku Kogen ประมาณ 20นาทีก็ถึงแล้ว แนะนำให้ไปช่วงเย็นประมาณ 3 โมงเย็นเพราะหน้าหนาวฟ้ามืดเร็วจะได้ถ่ายรูปสวยๆ และยืนดูความงามนานๆ
สำหรับรีวิวห้องพักเราแยกไว้ให้เพื่อนๆ ดูภาพเพิ่มเติมอีกรีวิวที่ https://www.wheredowego.in.th/travel/muststayodakyutrip/
DAY 4 – HAKONE/2
เช้าวันที่ 4 ของทริปเรายังอยู่กันที่ Hakone เพราะเมื่อคืนเรานอนที่นี่ ( เพื่อนๆ สามารถตามรอยรีวิวที่พักทริปนี้ของเราได้ที่นี่) เราจะเที่ยวแลนด์มาร์คที่สวยงามจัดเต็มที่ Hakone ก่อนอีก 1 วันเต็มๆ และคืนนี้จะไปนอนกันที่ Sagami-Ono ต่อ เริ่มวันใหม่ที่สดใสด้วยการล่องจากฝั่ง Togendai ไปยัง Hakonemachi จะบอกว่าเรือนำเที่ยวลำนี้ใช้เวลาวิ่งประมาณ30 นาที และที่สำคัญสามารถใช้ Hakone Kamakura Pass ได้ด้วยโดยไม่ต้องเสียเพิ่มแม้แต่บาทเดียว เรือนำเที่ยวโจรสลัดลำนี้เป็นสถานที่มุมฮิตของคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเที่ยว Hakone เพราะวิวทะเลสาบที่สวยงามและกว้างจนสุดลูกหูลูกตามันทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูดีไปหมด แถมเห็นวิวคุณฟูจิซังด้วย! นี่แหละคือข้อดีของการเที่ยวแถบนี้และอากาศดีๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิเธอจะเจออากาศดีและเห็นฟูจิซังทุกวันเลย!
จากนั้นเราขึ้นรถบัสจากท่าเรือเป็นรถบัส Tokai Bus Orange Shuttle Hakonemachi – Mishima Skywalk ใช้เวลาประมาณ 15 นาที Mishima Skywalk เป็นสะพานลอยฟ้าแขวนสูงที่ให้เราเดินดูวิวคุณฟูจิซังได้สบายๆ ที่นี่เป็นสะพานแขวนยาวที่สุดในญี่ปุ่นทอดข้ามหุบเขากว่า 400 เมตร จริงๆ แล้วสะพานแห่งนี้อยู่ในจังหวัด Shizuoka ซึ่งใกล้ๆ กับ Hakone นั่นแหละทำให้มันเห็นวิวส่วนนึงของเมือง Hakone ด้วย ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็นหรือตามสภาพอากาศต้องเช็คดีๆ ก่อนเดินทางมา อ้อ! และถ้าโชว์ตั๋ว Hakone Kamakura Pass จะได้รับส่วนลดค่าเข้าชมด้วยนะ
จาก Mishima Skywalk เราไปต่อกันที่ Hakone Shrine เป็นศาลเจ้าที่มีเอกลักษณ์เพราะมีเสาโทโรอิ อยู่ในทะเลสาบหน้าวัด ตัววัดที่นี่เข้าฟรีและร่มรื่นมาก เอาจริงๆ อากาศแบบนี้มันน่านอนมากกว่าน่าเที่ยวอีกนะเนี่ย อยากย้ายมาอยู่เลยแหละ เค้าว่ากันว่าศาลเจ้าที่นี่แม่นมากในเรื่องการให้โชคให้ลาภให้พรเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางให้แคล้วคลาดปลอดภัย ส่วนเสาโทโรอิด้านหน้าที่อยู่ในน้ำก็อลังการถ่ายรูปสวยมาก
สำหรับคนที่ชอบ Trekking จริงๆ Hakone มีเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติที่น่าสนใจอยู่ที่นึง เราอยากแนะนำ Old Tokaido Path สวยงามและร่มรื่นมากๆ ใกล้กันยังมีร้านน้ำชาที่เปิดมาแล้วเป็นร้อยปีแบบญี่ปุ่นแท้ๆ อย่าง Amazake Chaya Tea House มีน้ำชาและขนมอร่อยมากๆ แถมน้องสาวเจ้าของร้านเคยไปอยู่อเมริกามาหลายปีทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ยิ่งทำให้ร้านนี้น่ารักและควรค่าแก่การมาเยือนมากขึ้นไปอีก!
DAY 5 – Kamakura
ความน่ารักของญี่ปุ่นแต่เหนื่อยคนเที่ยวอย่างพวกเราคือเป็นประเทศที่มีไฮไลท์ให้เที่ยวกันได้ทุกวัน! จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นข้อดีที่บ้านเราควรจะนำมาปรับใช้นะ เพราะแต่ละจังหวัดหรือตำบลจะหาจุดเด่นหรือจุดขายของตัวเองออกมาเพื่อนำเสนอให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและสร้างรายได้กลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ แถมนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็เที่ยวได้ไม่มีเบื่อ เค้าถึงว่ากันไงหละว่าเที่ยวญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ เพราะมีอะไรใหม่ออกมาเรื่อยๆ เลย วันที่ 5 ของทริปเราพาทุกคนมายัง Kamakura เมืองที่มีรถไฟท้องถิ่นน่ารักที่สุดในโลกอย่าง Enoden
จริงๆ รถไฟสาย Enoden (เอโนะเด็น) มีชื่อเต็มๆ ว่า รถไฟฟ้าสายเอโนะชิมะ (Enoshima Dentetsu Line) เป็นรถไฟท่องเที่ยวที่ผ่านทั้งทางเลียบทะเลสวยงามจนกลายเป็นฉากๆ หนึ่งในการ์ตูนยอดฮิตอย่าง Slam Dunk และผ่านย่านที่พักอาศัยทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตและบ้านหลังกระทัดรัดที่น่ารักของชาวญี่ปุ่น รถไฟสายนี้ช่วยทำให้การเดินทางเที่ยวใน Kamakura และเกาะ Enoshima นั้นสะดวกขึ้น! เพราะฉะนั้น 2 วันสุดท้ายเราจะใช้ Hakone Kamakura Pass เดินทางใน Kamakura และ Enoshima กันอย่างเต็มที่ไปเลย!
เราเริ่มเที่ยวที่แรกกันที่ Kotokuin Temple หรือ The Great Buddha วิธีมานั้นง่ายมากคือนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Hase Kamakura Daibutsu เป็นพระพุทธรูปกลางแจ้งที่มีมานานหลายร้อยปี เค้าเชื่อว่าสมัยก่อนเพราะพุทธรูปองค์นี้อยู่ในโบสถ์ปกตินี่แหละ แต่มีสึนามิพัดมาทำให้โบสถ์พังทลายลงไป แต่องค์พระพุทธรูปยังคงอยู่มาถึงปัจจุบันและได้รับการบำรุงรักษาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาเคารพได้เสมอๆ
ใกล้ๆ กันยังมี Hasedara Temple เป็นวัดที่ออกจะกึ่งๆ สวนดอกไม้และจุดชมวิวอยู่ซักหน่อยค่อนข้างสวยเลยหละด้านใน แถมยังเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมไม้ 11 หน้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ ถ้าเวลาเหลือควรแวะไปดู
จากสถานี Hase เรานั่งกันมาต่อที่สถานี Kamukura ที่นี่เป็นแหล่งช๊อปปิ้งที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดใน Kamakura เพราะทุกคนต่างมุ่งหน้ามาเยือน Komachi-dori Street นักท่องเที่ยวจะเต็มแน่นพื้นที่แต่ไม่วุ่นวาย มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ชวนให้เสียเงินเป็นร้อยร้านให้เดินกินๆ ได้อย่างเพลิดเพลินและสนุกสนาน! ควรเผื่อเวลาเดินเล่นเฉพาะ ถนน Komachi-dori Street อย่างน้อย 1 ชั่วโมงเต็มๆ เอ๊ะ! หรือบางทีอาจจะไม่พอก็ได้นะ ใกล้ๆ กันก็มีศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมืองและหลายๆ คนก็นิยมมาขอพรเรื่องเรียนเอย ความรักเอยอย่างไม่ขาดสายเลยหละ
เราไปจบวันก่อนเข้าโรงแรมกันที่สถานี Inamuragasaki สถานีเป็นสถานีริมทะเล ที่วันไหนอากาศดีๆ อยากแนะนำให้เดินไปที่สวนสาธารณะริมทะเลดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนั้น แต่วันที่เราไปตอนเย็นฝนตกปรอยๆ เลยไม่มีโอกาสได้ไปดูวิวสวยๆ จากสวน Inamuragasaki ทำได้แค่ยืนดูวิวริมทะเลใกล้ๆ สถานีเผื่อฝนตกจะได้วิ่งไปหลบกันทัน 5555
เชื่อแล้วที่เค้าบอกกันว่า Kamakura เป็นเมืองชายทะเลชิวๆ ค่อยๆ ใช้ชีวิตนั่งรถไฟเอโนะเด็นที่ค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ เป็นชีวิตที่ไม่เร่งรีบแต่มีความสุข พรุ่งนี้วันสุดท้ายที่อยากแนะนำในการใช้ Hakone Kamukura Pass เราจะพาไปดูความน่ารักของโลกใต้น้ำใน Enoshima กัน!
สำหรับรีวิวห้องพักเราแยกไว้ให้เพื่อนๆ ดูภาพเพิ่มเติมอีกรีวิวที่ https://www.wheredowego.in.th/travel/muststayodakyutrip/
DAY 6 – Enoshima
วันท้ายๆ ของทริปก็จะชิวหน่อยเลยชวนกันมาทำอะไรที่น่ารักสมวัยอย่างการเข้าไปดูอควาเรียมที่ Enoshima Aquarium เราเองเป็นคนชอบเที่ยวแบบเด็กๆ เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว พวกสวนสนุก สวนน้ำ หรืออควาเรียมนี่แหละชอบมากจริงๆ! เพราะมันเป็นอีกที่นึงที่ทำให้เรารู้สึกกลับไปเป็นเด็ก ได้เห็นความน่ารักของสัตว์ที่เสียสละตัวเองมาให้เราได้เรียนรู้ ยิ่งเห็นเด็กๆ ในอควาเรียมทำให้รู้ว่า สัตว์เหล่านี้แหละที่จะเป็นครูหล่อหลอมให้เหล่าเด็กน้อยที่เข้ามาดูกลายเป็นคนที่รักสัตว์มากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วันที่โตขึ้น
สิ่งที่เราอยากแนะนำมากที่สุดสำหรับที่นี่คือการไปดูโชว์แมวน้ำ สิงโตทะเลและเจ้าปลาโลมาแสนรู้ มันจะทำให้เธอยิ้มกว้างไปกับความน่ารักตลอดทั้งวัน บวกกับเสียงของเจ้าหน้าที่ที่คิขุอาโนเนะเหมือนเป็นปลาโลมาในฝูงที่มาพูดกับคนแทนตัวที่เหลือ โอ้โห… หลงรักไปเลยจริงจริ๊ง
ช่วงบ่ายเราข้ามกันไปเกาะ Enoshima Island เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของเมือง Fujisawa ตีคู่สูสีมากับ Enoden เลย ด้านบนมีศาลเจ้าที่คนนิยมมาขอพรความรักกัน มีถนนคนเดิน Nakamise-dori Street ที่ของกินเพียบและอยากให้ลองข้าวเกรียบกุ้งหรือข้าวเกรียบปลาหมึกที่ทำจากเนื้อแท้ๆ เอามาบีบจนแห้งผสมแป้งนิดหน่อยและอบกันกรอบๆ ให้เห็นกับตารสชาติดีและอร่อยมากๆ ไม่เคยกินข้าวเกรียบที่ไหนอร่อยกว่านี้อีกแล้ว!
จุดสุดท้ายก่อนกลับเข้าโตเกียวเราอยู่กันจนถึงดึกเพราะมี Mission ในการดู Enoshima illumination นั่นเอง ถัดจากศาลเจ้าและช๊อปปิ้ง สตรีท ด้านบนสุดของเกาะเป็นที่ตั้งของ Enoshima Sea Candle ประภาคารสูงที่สามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ง่ายๆ เธอควรมาจบทริปด้วยการดูพระอาทิตย์ตกดิน โดยมีวิวของฟูจิซังอยู่ไกลๆ และเห็นวิวทะเลโชนันไกลแบบสุดลูกหูลูกตา เป็นภาพวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพได้น่าประทับใจมาก แถมยังมี Enoshima illumination ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลย ต้นปีแบบนี้ก็ยังมีอยู่บนเกาะจะเปิดไฟสวยงามควรค่าแก่การเดินไปถ่ายรูปเล่นมากๆ
DAY 7 – Prepare to back HOME!
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพเราใช้บริการ Airport Limousine เหมือนเดิมโดยรถสามารถแวะรับหน้าโรงแรมได้เลยตามป้ายจอดรถที่แจ้งและระบุไว้เรียบร้อยแล้วตามโรงแรมต่างๆ สามารถเช็คได้อีกทีที่เคาเตอร์ของ Airport Limousine เราเดินทางกลับกรุงเทพ-ดอนเมืองกับ NokScoot คนดีคนเดิม ไฟลท์ของ NokScoot จะออกจากโตเกียว-นาริตะช่วงบ่ายไม่ต้องรีบตื่นเช้ามาสนามบิน สามารถหลับได้เต็มตื่น เอ้อ! นั่งเครื่องกลับให้เลือกด้านขวานะ ถ้าโชคดีจะเห็นคุณฟูจิซัง
ทริปนี้เป็นอีกทริปนึงที่ประทับใจมากเพราะได้เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูที่ใครต่อใครก็เอ่ยปากชมว่าสวยที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเส้นทาง Hakone Kamakura และ Enoshima ทำให้การเดินทางนั้นยิ่งคุ้มค่ามากขึ้นไปอีก เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ตามรอยเราอีกซักครั้งสำหรับทริปหน้า จากรีวิว 6 วันเพื่อนๆ สามารถไปตามได้ทุกที่ หรือสามารถเลือกและปรับได้ตามความต้องการสำหรับการใช้ Hakone Kamakura Pass 3 วันเพียง 1,920 บาท สามารถขึ้นได้ทั้งรถบัส เรือ และรถไฟอย่าง Romancecar ก็สามารถขึ้นได้เช่นกันโดยทำการจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของ Odakyu และจ่ายเพิ่มเพียงเที่ยวละ 1,090 เยนเท่านั้นถือว่าคุ้มมากถ้าแลกกับวิวสวยๆ ระหว่างเดินทาง
โดย Pass นี้สามารถใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น คนญี่ปุ่นจะไม่สามารถซื้อ Pass ชนิดนี้ได้ เราอยากแนะนำเพื่อลดปัญหาความยุ่งยากหรือต่อคิวนานตอนไปซื้อที่โตเกียว ควรซื้อ Hakone Kamakura Pass ก่อนเดินทางจะดีที่สุด ขอแนะนำให้ใช้บริการ Quality Express บริษัททัวร์อันดับต้นๆ ของประเทศ และตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารของ Odakyu อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทำให้อุ่นใจได้ว่าตั๋วทุกๆ อย่างที่เราซื้อไปนั้นจะสามารถใช้ได้จริงๆ และมีเจ้าหน้าที่จาก Quality Express ที่เชี่ยวชาญคอยแนะนำ เพื่อนๆ สามารถศึกษาและซื้อบัตรราคาพิเศษ คลิกได้ที่นี่เลย!
หวังว่าทุกคนจะได้แพลนทริปเที่ยวญี่ปุ่นรอบใหม่กันแล้ว! อย่าลืมเพิ่มความสะดวกและประหยัดเงินในกระเป๋ามากขึ้นด้วย Hakone Kamakura Pass เที่ยวญี่ปุ่นรอบหน้า อยู่โตเกียวซักคืน แล้วออกไปสูดอากาศสดชื่นกันที่ Hakone Kamakura และ Enoshima ด้วยกันเถอะ เจอกันใหม่เร็วๆ นี้