มาถึงหัวข้อสุดท้าย สำหรับใครที่วางแผนอยากไปเที่ยว CPH มากกว่า 5 วัน จนมีเวลาสงสัยว่า เอ๊….นอกเมืองไปอีกมันมีอะไรน่าเที่ยวน้าาาา หรือเมืองอะไรที่น่าสนใจข้างๆ CPH อีก นั่งรถไฟหนีความวุ่นวายไปสักสองวัน สามวัน เรามีสองเมืองนี้มาเสนอ เมืองนึงคือ Malmo นั่งรถไฟข้ามเกาะไปไม่ถึง 45 นาทีเราก็ต้องควักพาสปอร์ตออกมาวให้เค้าตรวจ เพราะ Malmo อยู่ในสวีเดน!! นั่งรถไฟสองสายก็ย้ายประเทศแล้ว เก๋ไปอีก และอีกเมืองคือ Aarhus เมืองรองอีกเมืองหนึ่งของประเทศเดนมาร์ค เป็นเมืองที่มีอายุประชากรเฉลี่ยอยู่ที่ 35 !!! เมืองวัยรุ่นสุดๆมีอะไรใหม่ๆให้ทำเย๊อะ!!! ขนาดเราไปเหยียบแค่สองวันยังคิดเลยว่า น่าจะอยู่นานกว่านี้เนอะ
มาเริ่มกันที่เมืองน่ารักๆ อย่าง Malmo เมืองที่เคค้าบอกว่าเป็นเมืองน้องของ CPH ที่ไม่ได้รับความสนใจ (น่าฉงฉาาาาน) เพราะว่าเป็นเมืองที่ใกล้ม๊ากกก และกำลังจะพัฒนาให้ใหญ่ขึ้น แต่ยังไงคนก็ยังแห่แหนไปกระจุกกันอยู่ที่ CPH อยู่ดี แต่สำหรับใครที่กำลังมองหารความสงบ ความชิวและอาหารสวีเดนอร่อย นั่งรถไฟมาไม่ถึง 45 นาที ก็จะได้มาเหยียบแผนดินสวีเดนแล้ว
ไม่ว่าจะไปที่ไหน ที่นี่สะดวกสบายด้วยรถไฟ วิธีการจองรถไฟก็ง่ายๆกดได้ที่ตู้ แต่คนไทยอาจจะไม่ชินอย่างหนึ่งคือ ที่ยุโรปเนี่ยเค้าเริ่มจะไม่ใช้เงินสดกันแล้ว ในการกดตู้ ในการจอง หรือใช้จ่ายใดๆก็ตาม เพราะฉะนั้นตู้กดบางตู้ก็ไม่มีช่องให้ใส่เหรียญเลย ต้องใช้บัตรเครดิตล้วนๆ หรือถ้าสะดวกจริงๆคือเราสามารถจองได้ออนไลน์ โหลดเเอป DBS ดูเวลาจ่ายตังในแอปได้ตั้งแต่ที่เมืองไทย มาถึงก็ไปรอที่ชานชาลา แล้วโชว์มือถือให้คนตรวจตั๋วดู ง่ายสุดๆ
ทริคหนึ่งที่เราได้มา ตอนที่เข้าไปถาม Office ซื้อตั๋ว คือเค้าบอกว่าถ้าใครที่มากับเพื่อนไม่เกิน 4 คน ให้กดเลือกเป็น Family ได้เลยเค้าไม่ตรวจว่าจะเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่หรือไม่ ถ้าเดินทางมาด้วยกันก็กดเป็น Family ได้เลยตั๋วถูกกว่าไม่ต้องซื้อแยกเป็นคนๆนะ
ก่อนออกประเทศ รถไฟจะไปเปลี่ยนคันที่สนามบินเพื่อผ่าน ตม.กันก่อน แต่ไม่ต้องห่วงเลยถ้ามีเชงเก้นแล้ว ผ่านฉลุยจ้า
เมื่อมาถึงก็มืดซะแล้ว เพราะช่วงที่เราไปเป็นหน้าหนาวด้วย นี่แค่เวลาประมาณสี่โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว พอห้าโมงก็ไม่ต้องพูดถึง ดำสนิท…วันนี้ก็ต้องเข้าโรงแรมก่อนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ Malmo
Sankt Petri Church
โบสถ์สวยๆที่ให้เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้ฟรีๆ โบสถ์จะสูงเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ พอดีหาง่ายมากๆ สถานีรถไฟที่เราลงกับฝั่งเมืองจะมีคลองกั้นให้ข้ามคลองไปเลย
เดินๆมุ่งหน้าเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไปของเราก็คือปราสาท Malmo เราจะผ่านสวนใหญ่ๆที่สามารถเดินเล่นผ่อนคลายได้สบายใจเฉิบ เราก็จะเห็นคนสวีเดนมาเดิน มาวิ่งมาพักผ่อนกัน และถ้าเราเดินมาถึงกังหันเราจะมองเห็นกังหัน โดยมีวิวเป็น Turning torso ตึกรูปร่างบิดเบี้ยวที่เป็นไฮไลท์ของเมือง
Malmo Castle
เดินมาจนเจอคลองขุดรอบๆ นั่นแหละแสดงว่าเราได้เข้าสู่เขตของวัง Malmo แล้วซึ่งวังนี้เป็นป้อมปราการที่สำคัญมากในสมัยก่อนเพราะว่า เมื่อสมัยที่สวีเดนและเดนมาร์คยังไม่ค่อยเป็นเพื่อนกัน เมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญที่เอาไว้ส่อง ป้องกันและเป็นด่านหน้าป้องกันประเทศ
ตอนนี้ไม่มีการรบไม่มีอะไรแล้วปราสาทก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตมโหฬาร ที่เล่าทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ และมีนิทรรศการหมุนเวียนใหม่ๆมาให้ดู
หน้าหนาวนี่ไม่ทันได้ทำอะไรก็มืดอีกแล้ว 555 โชคดีที่เราไปใกล้คริสมาสในตัวเมืองก็มีการจัดแสงสีน่ารักๆให้ถ่ายรูปเล่นได้ ในตัวเมืองเก่าก็จะมีคาเฟ่ ให้นั่งเยอะ แต่สำหรับคาเฟ่ที่เราไปชื่อว่า Agnes Cafe เป็นคาเฟ่สำหรับใครที่ทานอาหาร Vegan หรือ ไม่กินเนื้อเลยนั่นเอง เห็นจากในรูปเป็นร้านเล็กๆที่ให้บริการในบ้าน ตักอาหารเสร็จก็ลงไปนั่งกินใต้ดินเหมือนกินที่บ้านน่ารักสุดๆ
ในเรื่องของที่พัก สำหรับใครที่สงสัยว่าจะไปพักที่ไหนดีใน Malmo จริงๆโรงแรมหาได้ง่ายมากๆ จองได้ตามจองเว็ปโรงแรมต่างๆ ซึ่งเราก็ทำแบบนั้น แต่เราถือว่าโชตดีหน่อยสุ่มที่ได้โรงแรมดี ถ้าใครขี้เกียจหาต่อจะก๊อปเราไปเลยก็ได้ไม่หวง เพราะโรงแรมนี้ติดสถานีรถไฟสุดๆ และทีเด็ดก็คือห้องอาหารใต้ดินที่เราจะต้องมากินอาหารเช้าเป็นคุกใต้ดินเก่า!! ขลังมาก เด็ดมาก และห้องก็ไม่เลวเลยทีเดียว เราไปที่ Mayfair Hotel เสิช ชื่อโรงแรมตามเว็ปจองได้ง่ายๆ ขึ้นเลย
พอหอมปากหอมคอ ชิวๆ Slowlife กันไปแล้ว ที่ Malmo วันถัดมาเราก็นั่งรถไฟกลับผ่าน Copenhagen แล้วนั่งต่อไปที่เมืองต่อไปคือ Aarhus เมืองเฟี้ยวๆ ที่มีอายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 35 ปี วัยรุ่นสุดๆ! เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใกล้ๆ จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ซึ่งพอบอกใครๆว่าไป Aarhus มาก็พากันถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เห้ยย…เป็นไงเธอชอบมั้ย ชั้นชอบม๊ากกกก เราก็พยักหน้าตอบไปแบบไม่คิดเพราะว่าไปมาแล้วก็ชอบจริงๆ
เรารีเสิชเจอ Aarhus เพราะเจอรูปแบบนี้ในกูเกิ้ล ซึ่งอ่านไปอ่านมามันเรียกว่า Your rainbow panorama เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Aros ซึ่งพอเห็นแล้วก็กาดาวบนเเผนที่ บอกกับตัวเองว่าต้องไปเห็นเองให้ได้
Aros เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่เราว่าดีที่สุดอันหนึ่งที่เคยไปมา จะมีทั้งหมด 8 ชั้น โดยชั้นบนสุดก็คือ My Rainbow Panorama ที่เค้าแนะนำว่าให้ขึ้นไปดูเป็นอย่างแรก แล้วค่อยๆเดินม้วนลงมาชมแต่ละห้อง ทีละชั้นๆ ไล่ลงมา
เดินหมุนๆชม Aarhus แบบ 360 องศา พร้อมย้อมสีแบบแบบครบ spectrum เพลิดเพลินสุดๆ เป็นอีกรายการที่เช็คออกจากลิสที่ต้องทำแบบดีใจสุดๆ เพราะว่ามันสนุกจริงๆ
งานแสดงอื่นๆที่มาจัดแสดงที่ Aarhus ช่วงนี้ก็สนุกสุดๆ จะให้ไล่เรียงก็อาจจะยางวไปนิดนึง เลยเก็บภาพมาให้เห็นคร่าวละกันนะ แต่สำหรับใครที่อยู่ยุโรป หรือจะไปเดนมาร์ค ขอย้ำว่าห้ามพลาดจริงๆ
แล้วส่วนอื่นๆนอกจาก Aros แล้วใน Aarhus มีอะไรบ้าง
1. Gallery เล็กๆที่เเฝงตัวอยู่ตามท้องถนนเต็มไปหมด ถ้ามีโอกาสได้หยิบ Aros Artmap มา ก็ควรเดินไล่เก็บเยี่ยมชมให้ครบทุกจุดก็จะเป็นกิจกรรมที่ทำได้ฟรีๆ พร้อมสำรวจความเป็นไปของเมืองเล็กๆแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
2. Ost for Paradise เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญแบบม๊ากกกก โดยได้มาจากถามทางคนบนรถเมล์ซึ่งเป็นสาวเปรี้ยวๆวัยรุ่นๆหน่อย หลังจากถามทางเสร็จก็ถามต่อว่าเธอแนะนำไปที่ไหนมั้ย แล้วเธอก็แนะนำที่นี่มาเป็นที่ๆเธอชอบมาก เป็นคาเฟ่ที่มีโรงหนังเล็กๆ ฉายหนังใต้ดินอินดี้ ที่หาได้ยากตามโรงหนังใหญ่ๆ ส่วนด้านนอกก็เป็นร้านกาแฟ ซึ่งถ้าตอนกลางเป็นก็จะเป็นที่สิงสถิตย์ของวัยรุ่นมหาลัยแถวๆนั้น
ตอนเราไปถึงก็ดึกแล้ว เหลือแต่พี่คนสวยคนนี้ที่เป็นคนยืนแจกตั๋วที่ยืนคุยกับเราและให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ จนเราเอามาโม้ได้นี่แหละ แล้วเราก็เล่นเกมส์ต่อจุดอีกทีโดยถามเธอว่า แล้วแถวนี้เนี้ยเราควรไปนั่งดื่มที่ไหนกันต่อดีหละ แล้วเธอก็แนะนำที่ต่อไปมาให้เรา
3. Englan Cafe ร้านนั่งดื่มที่เธอบอกว่าเก่าแก่ที่สุดร้านหนึ่งในย่านนี้ (ย่านที่ว่านี้เรียกว่า Latin street เป็นย่านเปิดดึกของเมือง Aarhus) ภายในร้าน Englan ตกแต่งด้วยงานศิลปะเยอะมากจนแน่นกำแพงไปหมด บรรยากาศอบอุ่นตามที่ว่าไว้ ทีเด็ดที่สุดคงเป็นโซนด้านนอกที่สามารถไปนั่งได้
เราเลือกดื่ม Glogg ไวน์อุ่นๆ ที่เป็นเครื่องดื่มสำหรับหน้าหนาว และช่วงคริสมาส ซึ่งบอกเลยว่ารสชาติ ไม่น่าจะเป็นที่พึงพอใจได้ง่ายสำหรับทุกคน 5555 เพราะมันทั้งเผ็ดทั้งขมทั้งแรง แต่ที่เราชอบคือจะมีลูกเกดลอยอยู่ด้านล่างพอให้เคี้ยวด้วย
4. European capital of culture และความสนุกสุดท้ายที่เรามองว่าปี 2017 นี้เป็นปีที่ต้องไป Aarhus สุดๆเพราะว่าที่นั่นกำลังจะเป็นเจ้าภาพงาน European capital of culture เมืองทั้งเมืองน่าจะมีการจัดแสดงทั่วเมือง รวมเอาศิลปินจากทั่วทั้ง ยุโรปมาจัดแสดงงาน
ข้อมูลที่ได้รู้ว่าจะมีการจัดงานนี้ ก็เกิดจากความบังเอิญอีกแล้วเพราะว่าได้สองสามี ภรรยาชาวเดนมาร์คที่น่ารักสองคนนี้ชวนคุยด้วย เริ่มมาจากการที่เราขอให้เค้าถ่ายรูปให้ แล้วก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยจนเค้าชวนให้มาในปี หน้าอีกสิ (เราไปปี 2016 ซึ่ง ก็หมายถึง2017 ปีนี้นั่นแหละ) กำลังจะมีงานนี้นะ แล้วมันก็ทำให้เรานึกถึงฟุตบาทที่เดินๆมาในเมืองมันมีการแกะสลักแปลกๆอยู่ ซึ่งสุดท้ายก็คืองานนี้นี่เอง….ออออออออ ซึ่งน่าไปสุดๆ ลองดู http://www.aarhus2017.dk/en/
ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทั้งโชคและความลงตัวของเมืองทำให้เราชอบ Aarhus แบบสุดๆ จนอยากกลับไปอีก (ชอบมีคนถามว่าจะ ชอบไปไหนมากที่สุด ถ้าให้กลับไปอีก ต่อไปนี้จะตอบ Aarhus ละ 555) อ่ะ…สนุกมั้ยยย พาไปเที่ยวมาทีเดียวหลายที่เลย ทุกที่สนุกจริงแบบมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ใครไปแล้วก็ลองเอามาเล่าให้กันฟังด้วยนะว่าไปเจออะไรมาบ้าง และการเที่ยวเดนมาร์คครั้งนี้ก็ทำให้เราชอบคุยกับคนแปลกหน้าระหว่างเดินทางขึนไปอีกเพราะมันทำให้เรารู้อะไรเยอะมากกว่าก้มหน้าเสิร์ชกูเกิ้ลหลายเท่าจริงๆ
ใครที่พรวดพราดเข้ามากลับไปอ่านคอนเท้นท์ก่อนหน้านี้ได้นะ ตั้งแต่
Denmark Guggig guide: https://www.wheredowego.in.th/2017/02/14/denmark-guggig-guide/
Must see in Copenhagen : https://www.wheredowego.in.th/2017/02/15/must-see-in-copenhagen/