‘เดี๋ยวจะกลับมาอีกให้ได้เลย’ นั่นคือสิ่งที่คิดตอนที่ไปอิหร่านครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะไปแบบสั้นๆ ไม่ทันได้อิ่มเอมก็ต้องกลับบ้านซะแล้ว เราบอกกับตัวเองและคนรอบข้างเสมอว่าอิหร่านมันดีงามแค่ไหน และถ้ามีโอกาสก็ควรไปเที่ยว อย่างน้อยๆ ที่เราจะรับจากที่นี่แน่ๆ คือมิตรภาพของคนอิหร่านที่เห็นคนไทยแทบจะวิ่งเข้ามากอดแล้วชวนกันไปกินข้าว ผ่านมา 2 ปี ในที่สุดเราก็กลับมาอิหร่านอีกครั้งแบบเต็มอิ่มนานถึง 6 วันเต็ม จากประเทศที่กล้าๆ กลัวๆ ที่จะมา ประเทศที่ไม่รู้จะขอพ่อขอแม่มาเที่ยวยังไงดี กลายเป็นความรู้สึกแบบรักอะ รักมากกกกก และอยากมาอีกเรื่อยๆเลย
อิหร่านเป็นประเทศที่คนไทยสามารถเดินทางเข้าได้ด้วยการทำ Visa On Arrival คือทำที่ปลายทางได้เลย ไม่ต้องเตรียมเอกสารอะไรให้ยุ่งยาก แค่มีใบจองโรงแรมต่างๆ และรูปถ่ายก็สามารถทำได้ทันที ส่วนเรื่องประกันชีวิตนั้นไม่ต้องห่วง เพราะอิหร่านมีบริษัทของตัวเองที่บังคับทุกคนทำที่สนามบินพร้อมกับทำ Visa เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยจ้าว่าปลอดภัย
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงกลางคืนใช้เวลาบินประมาณ 7 ชั่วโมงก็จะถึงกรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน ทริปนี้เราเที่ยวเป็นวงกลมโดยเริ่มจากนอกเมืองก่อน ก่อนจะบินกลับเข้ามาเที่ยวเตหะรานวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ ข้อดีของวิธีนี้คือมันจะไม่เหนื่อยขาไปนั่งรถเที่ยวไปเรื่อยๆ เราจะตื่นเต้นกับทุกอย่างรอบตัว ส่วนขากลับนั่งเครื่องชิวๆ เลย
จากเตหะรานเราก็นั่งรถมาประมาณ 3 ชั่วโมงหลับๆ ตื่นๆ ตลอดเวลา เอาจริงเราว่าถนนมันไม่ได้เลวร้ายแต่คนขับต่างหากที่ขับรถน่าปวดหัว 5555 เมืองแรกที่เราแวะเที่ยวกันคือ Kashan ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีให้เห็นภาพ เอาเป็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองรอง เหมือนแคมเปญชวนเที่ยวเมืองไม่ดังมากของบ้านเรา เช่น จะผ่านไปเชียงใหม่ ลองแวะเที่ยวลำปางมั้ยจ๊ะ ไรงี้ 55 นั่นแหละคือ Kashan เมืองรองต้องห้ามพลาดของอิหร่านเค้า ฮ่าๆ เราแวะเที่ยวที่นี่แค่ครึ่งวันไปประมาณ 2 -3 ที่คือมัสยิดประจำเมือง Aqa Bozorg Mosque สวยงามแต่ยังไม่สุดเพราะเราเชื่อว่ามีสวยกว่านี้เยอะมาก แถมฝุ่นเยอะต้องระวังเลย
ขับรถไปอีกนิดเราก็แวะ Sultan amir ahmad bathhouse ที่นี่เป็นโรงอาบน้ำสมัยโบร่ำโบราณที่คนอิหร่านใช้กันจริงๆ ทริปนี้จะมีโรงอาบน้ำให้ดูหลายโรงมากค่ะ 555 แต่ที่ชอบที่นี่มากที่สุดคือหลังคาด้านบนดาดฟ้าของโรงอาบน้ำ เป็นเนินเล็กๆ ที่เดินถ่ายรูปได้เก๋ดี เลยชวนกันมาดูซะหน่อย เออไม่เลวนะ ด้านในก็สวยด้วยไม่อับไม่ชื้น
Note to Girls : อ้อ! ลืมบอกไปอย่างนึงที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้หญิงทุกคนที่จะมาเที่ยวอิหร่านคือ “ต้องคลุมผม” คลุมทันทีตั้งแต่ออกจากเครื่องบินและจะถอดได้เฉพาะในที่ส่วนตัวหรือขากลับบนเครื่องบินเท่านั้น ผ้าคลุมผมจะเรียกว่า ฮิญาบ เตรียมผ้าพันคอสีสันสดใสไปได้เองเลยจ้ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นสีดำหรือสีเรียบ ขอแค่คลุมผมได้มิดชิดก็พอ รวมถึงการวางตัวด้วย เรามั่นใจว่าหากเดินทางเป็นกลุ่มหลายๆ คน อิหร่านคือประเทศที่ปลอดภัยมากประเทศนึงในการท่องเที่ยว แต่ถ้าเดินทางคนเดียวแน่นอนว่าต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเป็นพิเศษ อย่าไปในที่เปลี่ยว อย่าอยู่สองต่อสองกับเพศตรงข้ามที่เป็นคนท้องถิ่น รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสกันและกันในที่สาธารณะ
ที่สุดท้ายที่แวะเที่ยวในเมืองนี้คือ Tabataeiha House เป็นคฤหาสน์ของพ่อค้าพรมสมัยก่อน โอ้โห! ใหญ่แบบอยากรู้ว่ามีแม่บ้านกี่คนคอยทำความสะอาดให้ 555 ใหญ่แบบสวยด้วยนะ วิจิตรตระการตามากๆ จ้ะ งงไปหมด
จากนั้นช่วงบ่ายเรานั่งรถออกจาก Kashan ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งผ่านเขตทหารที่ห้ามถ่ายรูปอย่างเด็ดขาดแม้จะสวยแค่ไหนก็ตาม ก็จะถึงหมู่บ้าน Abyaneh Village หมู่บ้านดินแดงที่มองไกลๆ จะเหมือนสีชมพูตั้งเรียงรายไล่สูงต่ำตลอดทาง ทุกคนสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมในหมู่บ้านได้ด้วยนะ ระหว่างทางก็จะมีร้านค้าต่างๆ ของคนท้องถิ่นตั้งขายตลอดทางแถมราคาไม่แพงอีกด้วย น่ารักเชียวหละ ชอบชวนให้นั่งเมาท์ด้วยอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ไม่รู้ภาษากันนี่แหละ 555
เราสามารถปีนป่ายไปเนินเขาเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้านเพื่อถ่ายรูป Abyaneh Village กลับเข้ามาได้ด้วยนะจ้ะ สวยเชียว สวยแบบดิบๆ ไม่เหมือนใคร บ้านแบบนี้พอเห็นแล้วเราจะรู้สึกกลัวแปลกๆ แต่พอเข้าไปข้างในและเห็นรอยยิ้มของป้าๆ ในบ้านแล้วอบอุ่นมาก พวกนางดูรักเรา ได้ฟีลลิ่งเป็นลูกเป็นหลานของพวกนางมากกว่าเป็นนักท่องเที่ยวอีก
เช้าวันที่ 2 ในอิหร่านเราไปยังเมืองที่ 2 เมืองยอดฮิตของนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ Isfahan ถ้าเปรียบเหมือนคนมาเที่ยวไทยก็อารมณ์แวะมาเที่ยวทั้งที เที่ยวกรุงเทพแล้วแวะเที่ยวภูเก็ตกับเชียงใหม่ต่อด้วยเลยละกันงี้ ช่วงเช้าของวันหลังออกจาก Kashan เราแวะไปดู Vank Church โบสถ์คริสต์อาร์เมเนียน ที่สวยมากที่นึงที่เราเคยเห็นมา และไม่น่าเชื่อว่ามันจะอยู่ในดินแดนมุสลิมอย่างอิหร่านและถูกจัดวางไว้อย่างลงตัวในเมือง Isfahan
จากนั้นเราออกไปตะลุยทะเลทรายกันต่อที่ Varzaneh Desert บอกเลยว่าจะไม่เข้าข้างที่นี่ เพราะตั้งแต่ไปทะเลทรายมา 4 ประเทศอาหรับทั้ง เอมิเรตส์ กาตาร์ โอมาน และที่นี่สวยน้อยที่สุด 5555 แถมตอนไปยังเจอพายุทะเลทรายอีก เราคาดหวังไว้ว่ามันจต้องสวยกว่านี้ แต่มันดูแห้งเกินไปสำหรับเรา แต่เพื่อนที่พึ่งเคยมาทะเลทรายครั้งแรกต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า โคตรสวยเลยหว่ะ! เห็นมั้ย เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่มุมมองจริงๆ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ไม่ว่าจะทะเลทรายไหนๆ ก็สวยงามเหมือนกันทั้งหมด
อิหร่านเป็นประเทศที่ทำให้เราแปลกใจได้เสมอจริงๆ นะ บอกตามตรงก่อนมาประเทศนี้ ก่อนจะรู้ว่ามันดีขนาดไหน เราก็เหมือนหลายๆ คนที่มีความกังวลกับอิหร่านพอสมควร แต่มันดีเกินคาดจริงๆ ทั้งผู้คนใจดีและน่ารัก อากาศดี ข้าวของไม่แพงจนเกินไป แถมยังมีของฝากที่สีสันแปลกตาขนกลับบ้านไปได้อีกเพียบ! นี่ขนาดพึ่งวันที่ 2 ของการมาครั้งที่ 2 ยังรู้สึกได้เลยว่าอิหร่านเป็นอีกประเทศที่มีเสน่ห์มากๆ ที่ควรมาเห็นกับตาและสัมผัสมันทุกโมเมนท์ ก่อนเดินทางอย่างที่บอกว่าเรากังวลเยอะ เพราะไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรที่ฉุกเฉินขึ้นมาจะใครจะช่วยเราได้บ้าง? แต่เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต มีประกันอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “ดิเอ็กซ์คลูซีพ แคร์” เราจ่ายแค่วงเงินเดียว แต่เอฟดับบลิวดีเหมาจ่ายให้เราทุกรายการ
คุ้มครองเต็ม จ่ายตามจริง เจ็บเล็กเจ็บน้อยก็ไม่ต้องขอหมอนอนโรงพยาบาลก็ได้ เพราะเอฟดับบลิวดีก็จ่ายเหมือนกัน
แถมยังมีบริการ ความช่วยเหลือด้านการเดินทางและการแพทย์ขณะอยู่ต่างประเทศอีกด้วย และแน่นอนว่ามันรวมอิหร่านอยู่ในประเทศที่คุ้มครองที่คุ้มครองเรื่องอุบัติเหตุต่างๆ ด้วย (เพื่อนๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้ คลิกที่นี่เลย!) ทำให้ไม่ใช่แค่เราที่หายกังวล แต่คนที่รอเราเดินทางอยู่ที่บ้านอย่างครอบครัวก็เบาใจกันไปเลย ?
ช่วงกลางวันทะเลทรายจะร้อนมาก แต่พอแดดคล้อยอากาศจะเย็นลงแบบผิดหูผิดตา อย่าลืมบอกไกด์ที่พาไปให้เตรียมชาอิหร่านหอมๆ หรือชาแอ๊ปเปิ้ลแบบตุรกีไปด้วยนะ รับรองว่าจะรักที่นี่มากขึ้นโขเลยค่าคุณผู้ชมมม
วันที่ 3 ของทริปเรายังอยู่กันที่ Isfahan อิหร่านเป็นประเทศที่ไม่มีโรงแรม Chain ชื่อดังมาเปิดมากมายเพราะฉะนั้นโรงแรมที่นอนก็เป็นโรงแรมของคนท้องถิ่นนั่นแหละ แถมเนื่องจากโดนคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถจองออนไลน์ผ่านพวกเว็บไซต์ยอดฮิตต่างๆ ได้ วิธีจองโรงแรมในอิหร่านคือติดต่อทัวร์ให้เค้าจัดการและเป็นธุระให้ หรือเลือกโรงแรมเองและจองผ่าน http://hostelsiniran.com ก็ได้เช่นกัน
ที่ Isfahan นั้นเที่ยวง่ายแบบง่ายมากกกกกก เพราะทุกอย่างอยู่กลางจัตุรัสหมดเลย ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่ ๆ เรียกว่า Naghshe Jahan Sqare แล้วมีมัสยิดสวยๆ ให้เราเดินเข้าไปดูได้ทั้ง 4 มุมเมืองพร้อมด้วยร้านขายของมากมายระหว่างทางให้เลือกสรรสินค้าแบบชาว IRANIAN ราคาถูก เค้าบอกว่าถ้าอยากซื้อของแถวนี้ซื้อได้เลยราคาไม่โก่งนักท่องเที่ยวจนเกินไป แต่อย่าเห็นหน้าใจดีๆ แล้วไม่กล้าต่อราคานะคะ ต่อได้เลยจ้า!
ที่เที่ยวบริเวณนี้ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กันหมดคือการเดินดูสถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียที่สวยงามและประณีตมากๆ ทั้ง Sheykh lotfolah Mosque / Jameh Mosque / Ali Qapu Palace ที่ปิดซ่อมตอนเราไป และช็อปปิ้งกับ Bazaar รอบๆ ที่ของถูกและสวยสะใจอีช้อยเหลือเกิน บอกเลยว่าควรเผื่อเวลาที่นี่ไว้อย่างน้อยครึ่งวันกับที่นี่
พอแดดเริ่มคล้อยลงเราก็ออกจากโซนนั้นไปที่ Khaju Bridge สะพานที่เท่ที่สุดตั้งแต่เดินทางมา ไม่ได้เท่ในแง่ของความเจ๋งหรือทันสมัย แต่เท่ในเรื่องของการใช้งานและโครงสร้างที่ทำให้ถ่ายรูปสวย บอกเลยว่าที่นี่ทำได้ยอดเยี่ยมมาก สะพานนี้สร้างขึ้นเพื่อพาดผ่านไปยังเมืองอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นโดยสร้างคร่อมแม่น้ำ Zayandeh ถ้ามาหน้าแล้งเค้าจะไม่ปล่อยน้ำจากเขื่อนลงมา ทำให้เราสามารถลงไปเดินเล่นในแม่น้ำที่แห้งๆ เพื่อถ่ายรูปมุมกว้างของสะพานนี้ได้
ปัจจุบันนี้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนของชาว Isfahan ยามเย็นมานั่งคุยกับเพื่อน ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือถ่ายรูปคูลๆ แบบนักท่องเที่ยวที่เราทำๆ กัน ที่นี่ไม่ใช่ศาสนสถานเลยไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ ชิวๆ กันไปได้เลย
ใกล้ๆ กันมีอีกสะพานนึงที่นิยมเอาไว้สำหรับถ่ายรูปตอนกลางคืนเพราะมีช่องไฟที่เยอะกว่า ชื่อสะพาน Siosepol Bridge ความเห็นส่วนตัวเราว่า Khaju Bridge สวยกว่ามากๆ ที่นี่ดูเป็นสะพานคนใช้งานจริงมากกว่าเลยดูวุ่นวายพอสมควรเลย ถ้าจะมาแนะนำว่าให้ถ่ายจากไกลๆ สวยกว่า เพราะข้างในสะพานคนเยอะมากกก
เช้าวันที่ 4 ในเปอร์เซียระหว่างเดินทางจากเมือง Isfahan ไปเมืองยอดฮิตอย่าง Shiraz ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน เราจะผ่านเมืองรองเก่าแก่ที่เป็นมรดกโลกอีก 2 ที่ นั่นก็คือ Necropolis หลุมฝังศพริมหน้าผาขนาดใหญ่ที่เห็นแล้วยังต้องทึ่ง และ Persepolis อาณาจักรโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของโลก เราแวะกันที่ Necropolis กันต่อเพราะสถานที่ไม่ใหญ่โตมาก เป็นแค่หน้าผาที่สลักหินด้วยลวดลายต่างๆ และเป็นหลุมฝังศพของกษัตริย์สมัยก่อน เดินดูรอบๆ แปปเดียวก็ครบแล้ว แต่ความน่ารักคือน้องอูฐที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่เราสามาถขึ้นไปขี่ได้เพื่อถ่ายรูปโดยจ่ายเงินเพียงนิดเดียวเท่านั้นค่า
ส่วน Persepolis อยู่ห่างออกไปจากเมือง Shiraz ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และเป็นมรดกโลกด้วย ด้านบนสุดของภูเขาด้านหลังเป็นหลุมฝังศพกษัตริย์ เค้าว่ากันว่าที่นี่สร้างนานมากโดนกินเวลานานถึงขนาดผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ไปแล้วถึง 3 พระองค์ด้วยกัน กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปประมาณ 150 ปี และเป็นต้นกำเนินของอาณาจักรเปอร์เซียอีกด้วย
วันที่ 5 ของการเดินทางเราตื่นกันแต่เช้าตรู่ไปดูไฮไลท์ของทริปนี้นั่นก็คือ Nasir ol Molk Mosque หรือที่หลายๆ คนเรียกมันว่า Pink Mosque ถ้าเคยเห็นตาม Ads ท่องเที่ยวต่างๆ ที่โปรโมทและเชิญชวนมาเที่ยวอิหร่านกันต้องเคยเห็นที่นี่แน่ๆ มัสยิดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กระจกสีที่บรรจงแต่งแต้มทุกบานเมื่อโดนแดดส่องเข้ามาก็… โอ้โห ดูภาพเถอะ!
เคยเป็นกันใช่มะ รูปสวยแต่ของจริงเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน อารมณ์แบบสวยไม่ตรงปกเหมือนรูปโปรไฟล์ในเฟซบุ๊คกับตัวจริง 555 แต่ที่นี่สวยยังไงก็สวยอย่างงั้น พอเดินเข้าไปข้างในคนเยอะพอสมควรแต่ทุกคนเงียบสงบ หามุมถ่ายรูปของตัวเอง คนสวดก็สวดกันไปไม่รบกวนกันและกัน แสงที่ส่องกระทบเข้ามาทำให้ที่นี่สวยขึ้นอีกเป็นล้านเท่า! ถ้าใครอยากเห็นแสงแดดกระทบแบบนี้ต้องมาช่วงเช้าเท่านั้นประมาณ 07.30 มาได้เลยและประมาณ 10.00 โมงเช้ามันก็จะเริ่มหมดไป
ผนังด้านอื่นๆ ในมัสยิดนั้นก็ยังคงความสวยและโรแมนติกเอาไว้ด้วยธีมดอกกุหลาบแสนสวย 555
Arg of Karim Khan ที่นี่เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ใจกลางเมือง สามารถเข้าไปด้านในได้ มันเคยเป็นทั้งปราสาท ที่คุมขังนักโทษ และตอนนี้ก็กลายสภาพมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เข้าไปชมความสวยงามข้างในได้แต่เราเคยเข้าไปแล้วมันไม่สวยและแพงพอสมควรเราเลยเดินผ่านๆ ถ่ายรูปด้านหน้าสวยกว่า ก่อนไปเที่ยวสวนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิหร่าน
Eram Garden เป็นสวนที่สวยที่สุดใน Shiraz มันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เลยนะ จากโครงสร้างเดิมๆ ก็ถูกปรับเปลี่ยนบ้างให้เกิดความแข็งแรงและทนทาน แต่มันก็ยังเป็นสวนที่สวยอยู่เหมือนเดิมจนเดี๋ยวนี้เพื่อควบคุมปริมาณคนและทำให้เกิดการบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น เลยต้องมีการเก็บเงินค่าเข้าสวนด้วย แต่ถามว่าคุ้มค่ามั้ยต้องบอกว่าคุ้มยิ่งช่วงที่ดอกบานเต็มที่ประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมยิ่งคุ้มเลย ส่วนช่วงที่ควรหลีกเลี่ยงก็ช่วงปลายปีก่อนหน้าหนาวจ้า
ที่นี่มันยังถูกใช้เป็นที่ติวหนังสือของวัยรุ่นที่นี่ด้วยนะ เราเห็นบางคนมานั่งอ่านหนังสือกันเยอะมาก บางคนก็เหมือนทำการบ้านวิชาศิลปะนั่งสเก็ตภาพกันใหญ่เลยจ้า 555
ทริปนี้ผู้หญิเยอะเพราะฉะนั้นเวลาไปไหนนางก็จะขอแวะช็อปปิ้งกันตลอด ที่ Shiraz มีตลาดใหญ่อยู่ตลาดนึงชื่อว่า Vakil Bazaar ที่ควรแวะมาซื้อถั่ว และผลไม้อบแห้ง หรือผ้าลวดลายเปอร์เซียและเครื่องเงินต่างๆ อีกเยอะมาก นี่เป็นแหล่งรวมช็อปปิ้งที่คนท้องถิ่นเองก็มาซื้อและแนะนำ เพราะฉะนั้นไว้ใจได้เรื่องราคาว่ามันไม่สูงเกินไปจริงๆ
ขากลับจาก Shiraz เข้าเมืองหลวงอย่าง Tehran นั้นเรากลับโดยเครื่องบิน ต้อง Note ไว้ตรงๆ นี้ตัวหนาๆ ว่า เมืองหลวงของอิหร่าน คือ เตหะรานมี 2 สนามบิน! คือ Imam Khomeini Airport เหมือนสุวรรณภูมิบ้านเรา กับอีกที่นึงคือ Mehrabad International Airport เครื่องต่างประเทศเข้าอิหร่านเกือบทั้งหมดจะลงที่ Imam Khomeini Airport ส่วนภายในประเทศทั้งหมดจะบินขึ้นลงจาก Mehrabad แล้ว 2 สนามบินนี้ก็ไกลกันกว่าดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ยิ่งถ้าตอนเย็นๆ เผื่อเวลารถติดไปเลยไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมงก่อนเวลาบินจริง เพราะฉะนั้นเครื่องจาก Shiraz เข้า Tehran เกือบทั้งหมดจะลงที่ Mehrabad ถ้าเพื่อนๆ คนไหนต่อไฟลท์กลับกรุงเทพทันทีบอกเลยว่าอย่าทำ! เพราะเที่ยวบินในประเทศของอิหร่านนั้น 90% Always Delay! เราโดนมาแล้ว 3.30 ชั่วโมงเข็ดมากเลยจ้ะพี่จ๋า พรุ่งนี้เจอกันที่เตหะราน ?
เพราะว่าไฟลท์จาก Shiraz ดีเลย์หนักมากทำให้เรามาถึงเตหะรานเกือบจะเช้าของอีกวันซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางพอดี ทำให้เวลาเที่ยวเตหะรานหายไปครึ่งวันเพราะหมดไปกับการนอนพักผ่อน 555 แต่จริงๆ มันก็เป็นข้ออ้างแหละแก เพราะเราแพลนไว้อยู่แล้วว่าวันสุดท้ายจะต้องได้ตื่นสายๆ หลับพักผ่อนหย่อนใจกันให้สุด เราเริ่มวันกันที่ Golestan Palace (พระราชวังโกเลสตาน) จะพลาดที่ไหนก็ได้ในเตหะราน แต่ห้ามพลาดที่นี่ พระราชวังโกเลสตานที่เค้าว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดในเตหะราน กษัตริย์ในสมัยนั้นทรงโปรดให้สร้างพระราชวังสไตล์ยุโรปนี้ขึ้นมา ความสวยงามของมันคือข้างในเป็นกระจกตัด ส่วนข้างนอกเป็นกระเบื้องเคลือบสีสันแปลกตา ลวดลายสวยงาม พระราชวังนี้มีหลายตึกมาก ถ้าจะเข้าให้ครบต้องเสียเงินประมาณ 1,000 บาท เราแนะนำให้เลือกเข้าเป็นบางห้องอย่างเช่น Main Hall
ส่วนบรรยากาศด้านนอกนั้นก็ร่มรื่นเหมาะแก่การมาแอ๊วกันเป็นคู่ๆ อิหร่านเป็นประเทศที่ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ที่จะมีแค่ฤดูร้อน กับร้อนมาก แต่ที่นี่มีทั้งร้อน ฝน หนาว และหิมะด้วยนะ ถ้ามาหน้าหนาวมีโอกาสเจอหิมะสูงมากๆ เลยจ้า อากาศดีทำให้เดินเล่นไปไหนก็ได้ชิวมากในสวนนี้
ที่เตหะรานก็พอมีอะไรที่ดูทันสมัยและเป็นโครงสร้างจากเหล็กบ้าง พอเราเสิร์ชหาที่เที่ยวชิคๆ ที่วัยรุ่นชอบไปเดินเล่นกันมันก็ขึ้นชื่อที่นี่มาทันทีคือ Tabiat Bridge หรือ Nature Bridge คำว่า Tabiat ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า “ธรรมชาติ” นี่คือสะพานเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในเตหะราน สร้างบนถนนไฮเวย์ เชื่อมระหว่าง 2 สวนสาธารณะเข้าด้วยกันคือ Taleghani Parkและ Abo-Atash Park มันเป็นมีพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนเตหะราน แล้วเราก็ชอบที่นี่มาก!
วิวด้านบนของสะพานจะเห็นยอดภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ เตหะรานมุมนี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันดีงามและพิเศษกว่าเมืองอื่นๆ ในดินแดนตะวันออกกลางมาก เจอแบบนี้ใครไม่หลงก็บ้าแล้ววว!
แลนด์มาร์คสุดท้ายก่อนกลับไทยคือ Azadi Tower อนุสาวรีย์ที่เคลมกันนักหนาว่าต้องมา 555 แต่สำหรับเรามันไม่มีอะไร! นอกจากมาเดินดูเฉยๆ ไม่ใช่หอดูวิวที่สามารถขึ้นไปด้านบนได้ แถมยังอยู่เกาะกลางถนนที่เดินไปเดินมาค่อนข้างลำบาก ถ้าให้เราแนะนำอย่างตรงไปตรงมาคือ .. ก่อนไปสนามบินเราสามารถบอกคนขับได้ว่าให้ขับรถผ่านเส้นนี้เราจะเจอกันเจ้า Azadi Tower ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเสรีภาพของอิหร่าน พร้อมรำลึกถึงวันครบรอบ 2500 ปีอาณาจักรเปอร์เซีย
อิหร่านเป็นประเทศที่เที่ยวเองก็ได้ เที่ยวกับทัวร์ก็ดี เราเคยเดินทางไปอิหร่านทั้งแบบไปเอง และไปกับทัวร์แบบ Private ที่จัดการและวางแผนกันเอง ความสะดวกนั้นก็คนละแบบ หากตั้งใจจะไปกับเพื่อนเป็นแก๊งค์นักเดินทางด้วยตัวเอง ที่นี่ก็ปลอดภัยและมีระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมไม่น้อยกว่าประเทศไทยแถมราคาถูกกว่าด้วย แต่หากต้องการความสะดวกสบายมากกว่าเดิม มีไกด์ชาวอิหร่านที่พูดภาษาอังกฤษคล่องๆ เดินทางไปกับเราด้วยทุกที่ แถมมีคนช่วยต่อรองราคาเวลาซื้อของ และยังแพลนทริปได้ด้วยตัวเองเราแนะนำให้เดินทางกับทัวร์ อิหร่านทริปล่าสุดเราเดินทางกับ Travelopersia เป็น Startup Company ที่บริหารงานโดยวัยรุ่นชาวอิหร่านที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากๆ แถมยังตลกและน่ารัก เราจะได้เห็นแนวคิดของคนอิหร่านสมัยใหม่จากพวกเค้า ที่นี่สามารถจัดทัวร์ได้ตามความต้องการของเรา เพื่อนๆ สามารถติดต่อได้ที่ Info@travelopersia.com หรือถ้าสะดวกทางไลน์ก็ติดต่อทาง Line : Hakanha ราคาไม่แพงและดีจริงๆ
อิหร่านเป็นดินแดนที่ทำให้เรารู้สึกผิดที่กลัวและมโนคิดเองไปไกลว่ามันอันตรายมาก และไม่น่ามาเที่ยว แต่พอได้มาสัมผัสได้มาลองเรียนรู้อะไรใหม่ๆ กลับกลายเป็นคนละเรื่องกับเรื่องที่ได้ยินคนอื่นมาเล่า เราเชื่อเสมอว่าอย่าฟังอะไรที่ได้ยินมาแบบทั้งใจ แต่จงมาเรียนรู้และสัมผัสด้วยตัวเอง เราได้แค่แนะนำเท่านั้นจริงๆ เพราะคนที่จะรักที่นี่คือคนที่ได้ลองมาเองจริงๆ อย่าแปลกใจเลยถ้ารีวิวนี้จะอวยประเทศนี้ เพราะตลอดทริปไม่เจอคนไม่ดีเลยซักวัน ทริปนี้มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะและชาร้อนๆ หอมๆของชาวอิหร่านเนี่ยนที่เสิร์ฟเราในทุกเช้า ?