‘อายุบวร’ คำทักทายที่เราอาจจะคุ้นหูของคำศัพท์คือคำว่าสวัสดีของชาวศรีลังกาที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็รู้สึกเหมือนพระมาให้พร! ใช่แล้วค่ะทุกคน เราแวะไปเที่ยวเมืองนอกสายตาอย่าง ‘ศรีลังกา’ เรามั่นใจว่าหลายคนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าศรีลังกามีอะไรให้เที่ยวและน่าตื่นเต้นขนาดถึงต้องไปเกือบอาทิตย์เลยหรอ เพราะเห็นป้าข้างบ้านชวนแม่เมื่อไหร่ก็บอกอย่างเดียวว่าไปไหว้พระ แสวงบุญแค่นั้น แต่.. นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เมืองพุทธอย่างศรีลังกานั้นน่าเที่ยว ความพีคจริงๆ ของวัยรุ่นอย่างเวลามาเที่ยวศรีลังกานั้นยังมีอีกเยอะ! ทั้งภูเขาสูงและทิวหมอกจางๆ ยามเช้า พร้อมรถไฟเคลื่อนตัวผ่านอย่างช้าๆ รวมถึงฝูงช้างขนาดใหญ่กำลังต่อแถวเดินไปอาบน้ำอย่างพร้อมเพรียง หรือจะนั่งรถไฟหลับสิบบาทไปเที่ยวชายฝั่งที่เป็นสวรรค์ของการโต้คลื่น ความฮิป ชิค คูล ของที่นี่นั้นแค่ได้ยินแบบนี้ใจก็เต้นรัวแล้ว ที่นี่คือรวมทุกอย่างไว้ด้วยกันทั้งความดิบของธรรมชาติ ความใจดีมากๆ ของผู้คน ความสะดวกสบายในการพักผ่อน และทุกอย่างนั้นไม่เกินตัวเรา เพราะค่าครองชีพถูก ทำให้เดินทางได้สะดวก นี่เลยเป็นที่มาของทริปศรีลังกา 5 คืน 6 วัน งบหมื่นห้าก็ไปได้แบบสบาย สบาย
รีวิวนี้จะขอเล่าแบบรวบรัดแต่ครบทุกอย่างและทุกสิ่งที่ทำ เดินทางกันยังไง นอนที่ไหนบ้าง และเที่ยวยังไง เราอยากให้ทุกคนไปเที่ยวศรีลังกาจริงๆ เลยอยากให้อ่านรีวิวนี้จบได้ภายใน 30 นาทีแต่พร้อมจองตั๋วและเดินทางทันที!
* วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note10
และภายในเครื่องเท่านั้น ภาพนิ่งที่ไม่ได้ขึ้น Credit ใต้ภาพว่า ‘Capture by Galaxy Note10’
และภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ภายในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น*
การเดินทาง
จากกรุงเทพปัจจุบันมี 2 สายการบินที่บินตรงไปยัง โคลอมโบ เมืองหลวงของศรีลังกา คือ Srilankan Airlines และ การบินไทย ซึ่งไฟลท์ของ Srilankan Airlines จะมีหลายไฟลท์ และการบินไทยจะมีแค่วันละ 1 ไฟลท์ในช่วงกลางคืน แต่ใช้เครื่องใหญ่กว่า ได้ทานอาหารไทย และมีจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง แต่บินแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ศรีลังกาต้องใช้วีซ่าด้วยนะ!
แต่คำว่าต้องทำวีซ่าของศรีลังกานั้นง่ายมาก แถมฟรีด้วย! เพราะเค้าฟรีวีซ่าให้คนไทยจนถึง 31 มกราคม 2563 แค่ลงทะเบียนออนไลน์ผ่านทาง http://www.eta.gov.lk/slvisa/ เท่านั้น ก็จะมีอีเมล์ส่งกลับมาภายใน 24 ชม. ว่าได้วีซ่าแล้วนะ ซึ่งเค้าจะบันทึกในระบบเธอสามารถปรินท์เอกสารไปโชว์ตอนเช็คอินและเดินเข้าศรีลังกาได้ชิวๆ เที่ยวได้นาน30วัน
เดินทางยังไงในศรีลังกา?
หลากหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่หรือรถไฟในราคาหลักสิบถึงหลักร้อย แต่สำหรับเราเดินทางไปเที่ยวทั้งทีก็ไม่อยากให้ตัวเองลำบาก แถมไปกันหลายคนการเช่ารถตู้พร้อมคนขับดูจะเป็นอะไรที่สะดวกที่สุด เราติดต่อกับทัวร์ที่นั่นชื่อ The Travel Lanka Leisure เป็น Family Business เล็กๆ ที่เชื่อถือได้ เธอสามารถบอกเค้าได้เลยว่า ได้ Contact มาจาก Where do we go Team in Thailand เค้าจะมีราคาพิเศษสุดๆ ให้เธอ อย่างเราเดินทางกัน 8 คน 6 วันเต็มๆ ค่ารถ พร้อมคนขับที่พูดภาษาอังกฤษได้ รวมค่าน้ำมันและค่าทางด่วน อยู่ที่ 375 USD ตกคนละไม่เกิน 1,500 บาทต่อคนเอง เธอสามารถเมล์ไปสอบถามรายละเอียดและตกลงเส้นทางเพิ่มเติมได้ทาง chanaka@thetravellanka.com ถ้าเดินทางใกล้ๆ หรือเลือกเฉพาะเส้นทางใด เส้นทางหนึ่งอาจจะถูกกว่านี้ แต่เราเล่นไปทั้งเขา ทั้งทะเล แวะไปซะทุกที่เลยสูงขึ้นมานิด อ้อ! แต่ราคานี้จะไม่รวมค่าที่นอนคนขับรถ ซึ่งบางโรงแรมจะมีที่นอนไว้ให้ แต่ถ้าไม่มีคนขับจะขอคิดเพิ่มวันละ 10-15USD
ไปไหนบ้างในศรีลังกา
ด้วยความที่เดินทางถี่ๆ ติดกันแต่ก็ยังอยากมาศรีลังกาให้ได้ เราเลยคุยกันว่าขอเป็นทริปที่ Adventure 50% และชิลๆ ซัก 50% สลับๆ กันไม่ต้องบู๊มาก ขอให้กลับมานอนโรงแรมในแต่ละคืนแล้วไม่ปวดกะปอดกะแปดก็พอ 555 ทริปนี้เลยเป็นการเดินทางเป็นวงกลม เริ่มจาก Colombo – Pinnawala – Kandy – Nine Arch Bridge และ Galle รูทนี้จะไม่ได้ไป Lion Rock เพราะเราขี้เกียจเดินขึ้นเลยตัดออกไปวันนึง แต่เที่ยวในตัวเมืองโคลอมโบ ดูน้องช้างอาบน้ำ ไหว้พระเขี้ยวแก้ว พร้อมเก็บใบชาถึงในไร่ และดูสะพาน Nine Arch Bridge ขณะที่รถไฟขับผ่าน รวมถึงไปเที่ยวเมืองตากอากาศอย่าง Galle ที่น่ารักและคูลเกินกว่าที่คิดไว้! ทั้งหมดนี้รวมตั๋ว วีซ่า ที่พัก และค่ารถ เตรียมเงินไว้คนละประมาณ 15,000 บาท แล้วฟังเราเมาท์มอยเรื่องศรีลังกาว่าแต่ละเมืองไปไหนบ้าง ให้เธอพร้อมตามรอยได้ทันที ?
Colombo
เมืองหลวงของศรีลังกาที่ก่อนมาได้ยินชื่อเสียงหนาหูว่า ‘ถ้าถึงโคลอมโบแล้ว อย่าพึ่งด่วนสรุปว่าเกลียดศรีลังกานะ เพราะเมืองอื่นมันวุ่นวายและสงบกว่านี้เยอะ’ นี่ก็เตรียมใจไว้พร้อมสูดหายใจลึกๆ ว่ามันต้องเลวร้ายแน่เลยอะ ถึงเตือนกันแบบนั้น แต่ผิดคาด! ความวุ่นวายและรถติดของศรีลังกาเป็นอะไรที่เราชิลมากๆ ถ้าเทียบกับอินเดีย และสิ่งสำคัญที่สุดอาจจะเป็นเพราะคนศรีลังกาที่ใจเย็นมากๆ และยิ้มแย้มตลอด เราเลยไม่หัวร้อนไปพร้อมกับอากาศและความวุ่นวายของโคลอมโบ แต่เลือกที่จะยิ้มและกินน้ำมะพร้าวหอมๆ ที่พวกนางนำเสนอแทนมากกว่า
เราใช้เวลาในโคลอมโบ 1 วันเต็มๆ ก่อนเดินทางไปเมืองอื่นต่อเลยเลือกสถานที่เที่ยวที่อยากไปออกมาแค่ 3 จุดใหญ่ๆ คือ Sri Ponnambalam Vanesar Kovil / Main Street in Pettah และ Jami UI-Alfar Mosque พร้อมปิดท้ายด้วยCafé Kumbuk ร้านชิคๆ ขนมอร่อยของคนโคลอมโบ
Sri Ponnambalam Vanesar Kovil
ถ้าเปรียบกับที่ไทย ที่นี่คือวัดแขกแถวสีลมนั่นแหละ วัดนี้คือวัดของชาวฮินดูที่นิยมมากราบไหว้และบูชาพระศิวะ รวมถึงเทพองค์อื่นๆ ที่เชื่อกันว่าสถิตอยู่ที่นี่ แม้ว่าศรีลังกาจะเป็นเมืองพุทธ แต่ศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าจะคริสต์ อิสลามหรือฮินดูก็มีให้เห็นได้ทั่วไป คนที่มากราบไหว้ที่นี่ก็จะหนาแน่นตลอดทั้งวัน เราเลือกไปช่วงเช้า เพราะ.. ที่นี่ให้ถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าวัด หลีกเลี่ยงความร้อนต่างๆ อ้อ! สำหรับใครใส่กางเกงขาสั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะต้องไปยืมผ้าถุงก่อนเข้าศาสนสถานนะ
ส่วนข้างในนั้นสำหรับเราสวยมาก เพราะความมืดของวิหารจะมีแสงเด็ดเล็ดลอดออกมาตามช่องไฟเล็กน้อย ผสมกับแสงจากเทียนที่ชาวโคลอมโบนำมาจุดบูชาพระศิวะที่นี่ แนะนำให้มาเลย ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ควรสำรวมและถ่ายรูปโดยไม่รบกวนบรรยากาศหรือการทำสมาธิและขอพรของคนอื่นก็พอ
Main Street in Pettah and Jami UI-Alfar Mosque
จากความสงบในวัดฮินดูเมื่อกี้ เราก็มาเดินกันต่อในย่าน Main Street in Pettah ที่นี่เป็นเหมือนย่านการค้าของชาวโคลอมโบ แต่เธออย่าไปจินตนาการว่ามันจะเหมือน Orchard Road. ที่ สิงคโปร์ หรือ Tsim sha tsui ของฮ่องกง แต่ที่นี่คือพาหุรัด หรือสำเพ็งบ้านเราค่ะ 555 แนะนำว่าให้มาเดินเอาฟีลลิ่งก็พอ! แถมแถวนี้ไม่มีอาหารที่นักเดินทางอย่างเราพอจะทานได้ขายเลย คนขับรถบอกเราว่า ‘นี่พึ่งวันแรก อย่าพึ่งกินอะไรแถวนี้เลยชั้นกลัวเธอจะท้องเสียเอา!’ เอ้า! 555 ได้ค่ะๆ
ส่วน Jami UI-Alfar Mosque นั้นต้องบอกเลยว่าสวยจริงๆ มองจากข้างนอกก็โดดเด่นมาก สีสวยเหมือนขนมลูกกวาดคริสต์มาส ที่นี่กลายเป็นจุดเช็คอินของโคลอมโบไปแล้ว ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะ แต่อยากบอกว่าถ่ายรูประวังๆ กันด้วยนะคะ เพราะที่นี่อยู่ริมถนนใหญ่และรถก็วิ่งกันขวักไขว่ทั้งวันทั้งคืน อาจจะโดนเฉี่ยวเอาได้ง่ายๆ น่าเสียดายวันที่เราเดินทางไปใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของศรีลังกา เข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็นอีกจุดลงคะแนนมั้งเค้าเลยปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม ยกเว้นชาวมุสลิมที่จะเข้าไปละหมาดเท่านั้น แต่ถ่ายจากข้างนอกก็ไม่ผิดหวังที่มาดู
Café Kumbuk
บอกตามตรงว่าเราเองก็ไม่ใช่สายคาเฟ่ที่จะสามารถไปตะลุยกินขนมเค้กและกาแฟเป็นสิบร้านในหนึ่งเมืองได้ภายในวันเดียว 5555 เลยเลือกมาแค่ร้านเดียวเผื่อเธอต้องหาที่พักใจยามบ่ายเมื่อแดดร้อนแล้วยังไม่รู้จะไปไหน ที่นี่เวิร์กมาก ตกแต่งร้านได้น่ารักและเปิดโล่งแบบ Open air ราคากาแฟและขนมก็ไม่แพงเกินจริง มีช็อปขายพวกงานคราฟต์เล็กๆ ด้วยนะ แต่ร้านจะหายากนิดนึง บอกคนขับรถค่อยๆ ขับตาม Google Map ก็เจอแล้ว
Take The Classic Train!
มาศรีลังกาต้องลองนั่งรถไฟนะคะ รถไฟที่เชื่อมกันเกือบทั้งประเทศจากเขาสู่ทะเลเพื่อส่งชาคุณภาพจากศรีลังกาไปทั่วโลก ปัจจุบันก็กลายเป็นรถไฟโดยสารด้วยส่วนนึงให้เรานั่งกัน จริงๆ มันก็มีรูทยาวๆ ที่หลายคนนิยมนั่งเช่นจาก Kandy ไป Galle หรือจาก Kandy กลับมา Colombo แต่สำหรับเราอะไรที่เค้าว่าสั้นก็ยังนานไป 555 เลยบอกคนขับให้ไปส่งที่สถานี Pettah หรือ Kompana Vidiya เพื่อไปลงที่สถานี Wellawatte ซึ่งใกล้ที่พักของเราในคืนนี้ บอกเลยว่าค่ารถถูกมากไม่เกิน 10 บาทและนั่งประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว เอาละค่ะ! กระโดดขึ้นรถไฟไปดูวิวชายทะเลพร้อมๆ กันนะ
Stay in Style and Comfort.
จาก สถานี Wellawatte ที่เรานั่งรถไฟมานั่ง เดินประมาณ 10 นาทีหรือนั่งรถอาจจะน้อยกว่า 1 นาทีก็ถึงที่พักเราแล้ว เราพักกันที่โรงแรม OZO Colombo เป็นโรงแรมในเครือ OZO Hotels ที่มีทั้งในภูเก็ต สมุย ฮ่องกง ปีนังและอีก 2 แห่งในศรีลังกา นี่คือโรงแรมมาตรฐาน 4 ดาวในราคาหลักพันที่เราไว้ใจ สำหรับเราไม่ว่าจะไปเมืองไหนและลำบากแค่ไหนก็รับได้ ขอแค่ที่นอนดี สะอาด อุปกรณ์ภายในห้องครบครันและปลอดภัยก็แฮปปี้แล้วสำหรับทริปนั้น
OZO Colombo ตั้งอยู่ริมชายทะเลเลยนะ หันก็หันออกเป็นวิวทะเลที่เปิดม่านมาก็จ๊ะเอ๋กันเลย ครั้งนี้เราพักห้องแบบ Dream Ocean ที่ทุกๆ ห้องสามารถดูวิว Sunset ได้จากหน้าต่างห้องของตัวเองเลยหรือถ้าอยากขึ้นไปเอ็นจอยบน Roof Top ด้านบนจิบค็อกเทลเย็นๆ ไปพลางก็สามารถทำได้ที่นี่ แล้วค่าครองชีพของคนศรีลังกาค่อนข้างถูก เพราะฉะนั้นราคาอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรมก็ไม่แพงเลยซักนิดแค่นี้เราก็จบวันดีๆ ในโคลอมโบได้แล้วอย่างแฮปปี้
อย่างที่บอกว่าสำหรับเรา โคลอมโบ มันดีเกินคาดจริงๆ นะ เพราะคนศรีลังกาเองน่ารัก และค่อนข้างสะอาดสะอ้าน บ้านเมืองเลยไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ รวมถึงตามร้านต่างๆ พูดภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้สื่อสารกันง่ายขึ้น เที่ยวง่ายและสนุกขึ้นอีกเยอะ มาเที่ยวศรีลังกา ถ้าใครบอกว่าให้ข้ามโคลอมโบไปเลยอย่าทำนะ! เชื่อเราเถอะว่าแวะซักวันก็ยังดี
Pinnawala – Kandy
ก่อนออกจากโคลอมโบเรารีบลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม ตั้งใจว่าจะกินพวกขนมปังให้อิ่ม เพราะไม่รู้ระหว่างทางจะมีอะไรที่เราสามารถทานได้มั้ย แต่ก็หลงรักอาหารท้องถิ่นที่เรียกว่า Appa แป้งแพนเค้กผสมมะพร้าวแล้วใส่ไข่ลงไปเป็นถ้วยน่ารักๆ แถมอร่อยมากด้วยนะคะ อาหารเช้าที่ OZO Colombo นั้นจัดเต็มมาก เลิฟที่สุด ทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้วเราก็นั่งรถไปต่อที่ Pinnawala Elephant Orphanage ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงจากโคลอมโบ
Pinnawala Elephant Orphanage ที่นี่เป็นศูนย์อนุรักษ์และอภิบาลช้างของศรีลังกาดูแลช้างกว่าร้อยตัวโดยทุกๆ วันเค้าจะเอาช้างเดินขบวนกันไปอาบน้ำที่แม่น้ำใกล้ๆ กับศูนย์ โดยช้างจะอาบน้ำทุกวันเวลา 10.00-12.00 และ 14.00-16.00 แนะนำว่าให้ไปช่วงเช้าจะดีกว่าและใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีก็เสร็จแล้ว โดยมีค่าเข้าตกอยู่ที่ประมาณ 600 บาทไทย ที่นี่ค่อนข้างดูแลดี ไม่ให้ขี่ช้าง ไม่อนุญาตให้อาบน้ำ และห้ามเข้าใกล้ช้างหรือเดินใกล้ๆ ในขณะที่มันกำลังเดินไปอาบน้ำ หวังว่าเค้าจะดูแลน้องช้างดีจริงๆ แบบที่เราเห็นนะ
จาก Pinnawala Elephant Orphanage เราแวะกินอาหารเที่ยงระหว่างทางก่อนตรงเข้าเมืองบนเขาอย่าง Kandy โดยใช้เวลาเดินทางต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเราแวะเที่ยวที่ Royal Botanical Gardens ที่นี่เป็นสวนพฤษศาสตร์ติดอันดับโลกในเรื่องของพืชพรรณและการดูแลเลยนะ เดินเข้าไปก็รู้สึกได้ว่าเค้าดูแลกันดีมาก เพราะต้นไม้ถูกจัดเรียงไว้อย่างดีและสวยงามแถมมี Instagramer Spot คือแนวต้นปาล์มขนาดใหญ่สองฝั่ง เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมงค่อยๆ เดินดูตามจุดต่างๆ ไปนอนเล่นกลางสนามหญ้าที่จินตนาการว่าเหมือน Central Park ของนิวยอร์ก 555 ก็ได้อยู่นะ เพลินดีจ้า
Kandy
นี่คือเมืองที่อยู่ตอนกลางของศรีลังกา เป็นแหล่งปลูกชาชั้นดีแถมยังอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงทำให้หน้าหนาวนั้นอากาศหนาวเย็น มีหมอกในตอนเช้าๆ และเป็นอีกเมืองหลักในการเที่ยวศรีลังกา เราเลือกมาเที่ยวที่เมืองนี้เพราะอยากมาดูวิธีการผลิตชาที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมีวัดพระเขี้ยวแก้วที่ศักดิ์สิทธิ์มากให้เราสักการะ
ที่ Kandy เรายังพักกันในเครือ OZO Hotels เพราะสะดวกในการจองพร้อมกันและราคาไม่แพงแถมห้องพักก็ได้มาตรฐานใน เราชอบห้องที่นี่นะ มันกะทัดรัด มากับเพื่อนก็สะดวก มากับแฟนก็ดีงาม แถมยังเห็นวิวทะเลสาบ Kandy อยู่ไกลๆ ต่ำลงไป เพราะโรงแรมอยู่ขึ้นมาบนเขานิดนึง
Roof Top ของโรงแรมก็มีสระว่ายน้ำและบาร์เก๋ๆ แอบบอกว่าตอนกลางคืนมีบารากุให้ดูดกันด้วยนะ ? ส่วนตอนกลางวันใครหลบแดดก็ขึ้นไปดูวิวตัวเมือง Kandy จาก Roof Top ของโรงแรมก็ได้เช่นกัน จะบอกว่าโรงแรมนี้ฝรั่งเยอะมาก และพักกันแน่นเกือบทุกวันเพราะฉะนั้นใครจะมาอยากให้รีบจองเนิ่นๆ เพราะมันราคาไม่แพง แถมได้มาตรฐาน แล้วถ้าใครเบื่ออาหารศรีลังกา แนะนำเลยค่ะ ช่วงเย็นที่โรงแรมมักจะมี Buffet อร่อย สะอาด ไม่แพงด้วย
เดี๋ยวนี้อากาศบนโลกไปที่ไหนก็แปรปรวนไปหมด จากที่แพลนไว้ว่าจะไปช่วงที่หน้าหนาวที่ฟ้าใสตลอดทั้งวัน กลับกลายเป็นเจอฝนตกทั้งวัน ที่ Kandy แพลนของเราเลยดีเลย์กันตลอดเพราะฟ้าฝนไม่เป็นใจและแต่ละที่นั้นก็เที่ยวกลางแจ้ง เราเลยต้องคอยมาหลบฝนกันอยู่เรื่อยๆ
Geragama Tea Factory เราเลือกไร่ชานี้เพราะว่าไม่เสียค่าใช้จ่าย 555 ที่นี่เป็นไร่ชาที่เป็นโรงงานด้วย พอไปถึงจะมีไกด์คนนึงคอยดูแลเธอและอธิบายกระบวนการผลิตต่างๆ ของการทำชา จากชาที่เรากินกันอยู่บ่อยๆ ทำให้รู้ว่าเค้ามีวิธีและการคัดแบบละเอียดมากๆ เช่น คัดจากยอดอ่อนจะเป็นชาอีกแบบนึง จากก้านและใบเอามาทำจนแห้งแล้วบดละเอียดจะเป็นอีกแบบนึง แถมมีร้าน ขายชาไปด้วยในตัว อันนี้ขอแนะนำว่าควรซื้อติดไม้ติดมือซักหน่อยเป็นสินน้ำใจให้เค้าที่สละเวลามาดูแลเรา
ส่วนใครที่อยากจะเข้าไปในไร่ชาก็มีเหมือนกัน แต่วันไหนที่แพลนจะไปแล้วฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบและกางเกงขายาวพร้อมระวังตัวทากดูดเลือกด้วยนะคะ เพราะในไร่ชามีเยอะพอสมควร และไม่ว่าจะเป็นไร่ชาไหนในศรีลังกาที่ไปได้ ก็อย่าไปจินตนาการว่ามันจะเป็นทุ่งสวยงามเหมือนที่เชียงใหม่ เชียงรายนะคะ เราเตือนละน้า 55
Bahirawakanda Vihara Buddha Stutue
จริงๆ เรามาตรงนี้เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติแนะนำกันมาว่าเป็น Instagramer Spot แต่ชาวพุทธอย่างเราๆ อาจได้มากกว่านั้นคือได้ขึ้นมาสักการะพระพุทธรูปที่สูงที่สุดในศรีลังกาด้วย วัดนี้เรามองจากตัวเมือง Kandy มาก็จะเห็นอยู่บนเขา ส่วนด้านบนนี้ก็สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบและเมือง Kandy ทั่วเมืองอีกด้วย ไกด์เราเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนตรงนี้เคยเป็นคุก ใครก็ตามที่จะโดนประหารมองจากด้านบนนี้จะเห็นวัดพระเขี้ยวแก้วที่เขาเลื่อมใสเพื่อให้จากไปอย่างสงบ
Temple of the Sacred Tooth Relic
ถ้าอยากรู้ว่าชาวศรีลังกานั้นมีศรัทธาต่อพุทธศาสนามากแค่ไหน ให้มาดูที่วัดพระเขี้ยวแก้วแห่งนี้! ที่นี่เป็นที่เก็บรักษาพระทันตธาตุส่วนเขี้ยวของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ทำให้หลายๆ คนอยากจะมาสักการะซักครั้งในชีวิต ในทุกๆ ปีจะมีขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่และมีฝนตกลงมาทุกปี ที่นี่เปิดตลอดทั้งวันแต่พิธีสักการะพระเขี้ยวแก้วนั้นจะมี 2 ช่วงคือช่วงเช้ามืดและช่วงหัวค่ำ ที่นี่ต้องใส่ขายาวให้เรียบร้อยและสามารถดูดอกไม้เข้าไปกราบไว้ได้ด้วยตัวเองทั้งชายและหญิง และเค้าเชื่อกันว่าใครก็ตามที่ได้ครอบครองพระเขี้ยวแก้วนั้นจะมีอำนาจสูงสุดดุจพระราชา
วันที่เราไปฝนตกมากจนเรียกว่าฟ้ารั่วได้ ต้องถอดรองเท้าลุยน้ำเข้าไปสักการะแต่ไหนๆ มาถึงที่แล้วก็ซักครั้งในชีวิตอะเนอะ
NINE ARCH BRIDGE IN DEMODARA, ELLA
วันที่ 4 ของการเดินทาง จริงๆ แล้วถ้ามีเวลาซัก 1 อาทิตย์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางจาก Kandy ด้วยรถไฟประมาณ 6-7 ชั่วโมง เป็นรถไฟบ้านๆ นี่แหละมานอนที่ ELLA 1 คืนเพื่อเที่ยวในเมืองเล็กๆ บนหุบเขานี้พร้อมกับดูสะพาน 9 โค้งหรือ NINE ARCH BRIDGE ที่เป็นหนึ่งในทางรถไฟที่สวยติดอันดับโลก เราเองก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะนอน ELLA คืนนึงแล้วกลับเข้า Colombo เลยดีมั้ยหรือจะไปเที่ยว Galle ต่อดี พอตัดสินใจได้ก็เลือกที่จะเที่ยวเฉพาะ NINE ARCH BRIDGE ที่นี่แล้วเดินทางไป Galle ต่อในวันเดียวกัน วันนี้เลยเป็นวันที่ตื่นเช้ามากและเดินทางทั้งวัน
เราออกจาก OZO Kandy ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงไปถึงเมือง ELLA สำหรับใครที่อยากแวะไปที่สะพานนี้นั้นมันมีทางเข้าได้ 2 ทาง คือ 1 นั่งรถเข้าไปแต่ไกลหน่อยตามทางรถไฟ หรือ เดินเข้าไปชัดนิดนึงแต่เดินแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงเลย เราแพลนไปถึงที่สะพานตอนประมาณ 10 โมงนิดๆ เพื่อให้ทันรถไฟที่จะวิ่งผ่านพอดี แล้วใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง และแวะกินข้าวระหว่างทางก่อนออกเดินทางไป Galle กันต่อ
NINE ARCH BRIDGE หรือหรือสะพานเก้าโค้งเนี่ย ไม่ใช่โค้งที่รถไฟวิ่งนะคะ แต่เป็นโค้งที่ตัวสะพาน ความงดงามของมันคือความลงตัว ด้านบนเป็นรถไฟที่วิ่งผ่านป่าเข้ามา ส่วนด้านล่างสะพานเป็นไร่ชาขนาดใหญ่ให้เธอสามารถไปครีเอทมุมสวยๆ ด้วย แถมเวลาที่ไม่มีรถไฟเธอก็สามารถเข้าไปถ่ายบนรางได้ด้วยเช่นกัน เป็นจุดที่ดูเหมือนจะ Adventure มากๆ แต่ไม่ยากอย่างที่คิด วัยรุ่นอย่างเราเที่ยวได้สบ๊าย!
จากนั้นเราก็เดินทางจาก ELLA ไปยังเมือง Galle ต่อโดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ระหว่างทางเจอน้ำตก Ravana Falls โดยบังเอิญอยากบอกว่าสวยมาก สูงมาก และอลังการที่สุดแถมอยู่ติดถนนไม่ต้องเดินให้เหนื่อยเลย วันที่ 4 ของเราก็เลยได้เที่ยวแค่2 ที่และเดินทางทั้งวันกันแทน แต่ไม่ได้เหนื่อยมากนะ เพราะถนนหนทางดีมากๆ ลาดยางตลอด นั่งๆ นอนดูหนังไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว ยอมเพื่อเก็บไฮไลท์ให้ครบหมดในทริปเดียว ?
Galle
จากเมืองที่วุ่นวายอย่าง Colombo สู่เมืองบนหุบเขาอย่าง Kandy และเมืองสุดท้ายที่เรารักมากและอยากนำเสนอคือ Galle เมืองท่าตากอากาศที่ชิคๆ น่ารักและบ้านเรือนผสมผสานตึกเก่าสไตล์ดัชต์ แถมมีประภาคารซะด้วย เพราะศรีลังกาเคยตกเป็นเมืองอาณานิคมของทั้งฮอลันดา และอังกฤษมาก่อน ที่นี่เลยเป็นเมืองท่าที่คึกคักมากในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญ รัชกาลที่ 5 ของเราก็เคยแวะพักที่เมืองนี้ ระหว่างเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกอีกด้วย
จาก Kandy เรามาถึง Galle ก็ค่ำพอดี เราเลยเลือกพักกันที่ Amari Galle โรงแรม 5 ดาวในเครือ Amari ที่เห็นชื่อนี้ก็ไม่ต้องลุ้นว่ามันจะดีรึป่าว เพราะได้มาตรฐานแน่นอน แถมเป็นโรงแรมใหม่ที่พึ่งเปิดได้ประมาณ 2 ปี ติดทะเลและมีชายหาดส่วนตัวของโรงแรมเลย ถ้าเหนื่อยจากการเที่ยวทั้งวัน แต่เดินไปเปลี่ยนชุดสบายๆ นั่งเอ็นจอยกับเพื่อนบน บีช โซฟา ก็แฮปปี้แล้วนะ แถมช่วงปลายปีแบบนี้ฟ้าใส อากาศดี และไม่ได้ร้อนจัดอีกด้วยหรือถ้าอยากอยู่ในห้องก็นั่งดูทีวีกับเพื่อนฝูงกันไป ต่อหนังมาดูด้วยก็ได้ วันท้ายๆ ของทริปเรามักจะชิลกับแบบนี้แหละ ก็มาพักผ่อนนี่นาเนอะ
วันที่ 6 เรามีเวลาที่ Galle อีกทั้งวันก่อนจะกลับกรุงเทพในช่วงกลางคืน เอ้อ! บอกนิดนึงว่าเมื่อก่อนจาก Galle กลับไป สนามบิน Colombo จะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้พึ่งมีทางด่วนเปิดใหม่ได้ไม่ถึง 3 เดือนทำให้จาก Galle เข้าสนามบินไม่ต้องผ่านเมือง Colombo แล้ว เลี่งยรถติดและย่นระยะเวลาเหลือเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น!
เราเลือกเที่ยว 3 Locations ในเมือง Galle นอกเหนือจากนั้นคือเผื่อเวลาพักผ่อนและชิลในโรงแรมก่อนกลับกรุงเทพ เพื่อนๆ ต้อง Note ไว้เลยนะคะว่าวันสุดท้ายของทริปอย่าเหนื่อยมากเกินไป เผื่อเวลาให้ตัวเองเคลียร์ของ ทำตัวให้สะอาด เผื่อกลับไปต้องทำงานต่อเลยจะได้ไม่เพลีย
Coconut Tree Hills
ถ้าเคยเห็นรูปต้นมะพร้าวหลายสิบต้นโค้งสวยงามบนเนินที่ด้านหน้าเป็นทะเล ที่นี่แหละค่ะ! Coconut Tree Hills ยอดฮิต เราแนะนำให้มาตั้งแต่ช่วง 07.00-11.00 เพราะไม่งั้นจะย้อนแสง แถมไม่ร้อนด้วย ถ้ามาสายอาจจะต้องต่อคิวหน่อยเพราะที่นี่ไม่เสียค่าเข้าและใครๆ ก็อยากได้มุมสวยๆ กันทั้งนั้น
Stilt Fisherman
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของศรีลังกา ภาพคนนั่งบนไม้ไผ่และแคร่เล็กๆ ที่ปักลงในทะเล พร้อมนั่งรอปลามากินเบ็ด นี่แหละค่ะ Stilt Fisherman อาจจะเป็นที่เดียวในโลกด้วยซ้ำที่หลงเหลืออยู่ แต่.. จากวิถีชีวิตที่ตกปลาหาเลี้ยงชีพกันจริงๆ น่าจะกลายเป็นแบบให้นักท่องเที่ยวกันหมดแล้ว เพราะแต่ละจุดที่มี Stilt Fisherman ตลอดชายฝั่ง กลายเป็นต้องเสียเงินเพื่อถ่ายรูปเค้าทั้งนั้นเลย เราไม่ได้โทษนะว่ามันไม่ดี เพราะคนเราก็ต้องปรับตัวไปตามโลกให้ทันสมัยขึ้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าเราอยากเห็นก็ต้องจ่ายเพื่อให้เค้านั่งให้ดู
Dutch Fort and Galle Street
เราทานข้าวเที่ยงกันที่ร้าน The Tuna and The Crab อยู่ในย่านช๊อปปิ้งของเมืองนี้แหละ ร้านนี้ดีงามนะ ราคาสูงนิดนึงแต่เป็นการเอาอาหารญี่ปุ่น มาผสมผสานกับอาหารทะเลสดๆ ของศรีลังกาให้เข้ากัน เป็นเมนูที่ผู้ใหญ่และเด็กก็ทานได้หมด
ตรง Galle Fort หรือประภาคารก็สามารถครีเอทมุมเก๋ๆ เพื่อให้ได้รูปสวยๆ ได้ เหมือนกันว่าที่นี่ควรจะมาตอนเช้าหรือไม่ก็เย็นไปเลย เพราะค่อนข้างร้อนเดินไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้ว ถ้ามีเวลาอาจจะเดินตามตรอกซอยต่างๆ ในย่านนั้น ที่นี่เป็นย่านฮิปนะคะ เหมือนบาหลีแถวๆ Ubud ไม่มีผิด อาจจะเงียบกว่านิดนึง ผู้คนไม่พลุกพล่าน แวะเดินเล่นเมืองเก่า กินไอศกรีมเชอร์เบตเปรี้ยวๆ นี่แหละค่ะเมือง Galle
และถ้ามีเวลาเหลือเฟืออาจจะลองหา Surf Camp แถวๆ ริมหาดและลองโต้คลื่นดูก็ได้นะ ราคาถูกแถมผู้ชายแซ่บๆทั้งนั้น
นี่คือการเดินทางของพวกเราตลอด 5 คืน 6 วันในศรีลังกา เมืองที่ขึ้นชื่อว่าน่าเที่ยวมากที่สุดในโลกประจำปี 2019 ศรีลังกานั้นเป็นเมืองนอกสายตาจริงๆ เพราะเราจะนึกว่าที่นี่นั้นมีแต่วัดและวังเท่านั้น แต่ธรรมชาติที่ยังสดใหม่ ความใจดีของผู้คนทำให้ศรีลังกากลายเป็นเมือน Feel Good สำหรับเราเลยไปเลยหลังจากเที่ยวเสร็จ
ถ้าเธอกำลังแพลนทริปที่ไม่ต้องใช้เงินเยอะมาก ค่าอาหารต่อหัวต่อมื้อแสนถูก แถมฟรีวีซ่าและค่ารถก็ไม่แพง ศรีลังกาน่าจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบให้เธอได้ เปิดหู เปิดตา เปิดใจ และให้ศรีลังกากลายเป็นประเทศใหม่ที่เธอไปเยือนกัน ?