พอหน้าร้อนวนมาถึงอีกอีกรอบหน้าที่มนุษย์อย่างเราๆ ที่รักความสะดวกสบายก็ต้องว่างเข้าหาทะเลนี่แหละเพื่อคลายร้อน หนีไปแช่น้ำเย็นๆ ให้ฉ่ำปอด เป็นฤดูที่เหมาะสำหรับคนชอบแดด ผิวสีแทนและเที่ยวเมืองไทย! หน้าร้อนบ้านเรานั้นแม้ว่าบางคนอาจจะบอกว่าร้อนไปหน่อย แต่สำหรับเรามองว่าเป็นเสน่ห์ แถมยังเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่จะหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน เพราะหน้าร้อนแบบนี้เวลาไปเที่ยวทะเล นอนอาบแดดหรือกินน้ำมะพร้าวเย็นๆ มันชื่นใจและรู้สึกถึงการพักผ่อนจริงๆ ทริปนี้เราขอพาไปเที่ยวทะเลภาคตะวันออก เมืองเล็กๆ แต่มีเสน่ห์อย่าง ‘ตราด’ อยากชวนทุกคนมาเที่ยวแบบให้เกียรติโลก อยู่กับธรรมชาติและ Low Carbon ให้มากที่สุดก็ยังพักผ่อนแบบ Luxury ได้ง่ายๆ!
นี่คืออีกทริปที่เราอยากนำเสนอประจำหน้าร้อนปีนี้ ตามรอยได้ง่ายๆ พักผ่อนและเดินทางแบบหรูหราตลอด 4วันที่ ’ตราด’
Fly Boutique To Trat.
บางคนอาจจะไม่รู้ว่า ‘ตราดก็มีสนามบินนะ!’ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงแบบFull Service จากกรุงเทพสู่ตราด โดยบินตรงมากถึงวันละ 4 เที่ยวบินต่อวัน เราชอบบินกับบางกอกแอร์เวย์สเพราะมีเลาจน์ให้บริการสำหรับผู้โดยสารทุกๆ คนที่เดินทาง แถมพิเศษมากขึ้นหากเดินทางในชั้นธุรกิจหรือเป็นสมาชิก Flyer Bonus Premier แบบเราก็สามารถเข้าเลาจน์ที่หรูหรามากขึ้นอย่าง Blue Ribbon Lounge ได้เลยฟรี มีทั้งอาหารร้อน ข้าวต้มบากุ๊ดเต๋ยามเช้า ขนมจีบ ซาลาเปา และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น (เราชอบน้ำใบข้าว อร่อยมาก!) นั่งรอบนโซฟานุ่มๆ หรือเก้าอี้นวดก็ฟีลกู๊ดที่สุดก่อนออกเดินทาง อีกทั้งระหว่างเดินทาง บางกอกแอร์เวย์สยังมีบริการอาหารและเครื่องดื่มให้ทานเติมพลังกันบนเครื่องก่อนถึงอีกด้วย
จากกรุงเทพไปเที่ยวตราด ถ้านั่งรถอาจต้องใช้เวลามากถึง 5 ชั่วโมงในการเดินทางแต่ถ้านั่งเครื่องบินจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ประหยัดเวลาไปได้เยอะ มีเวลาเหลือที่เกาะมากขึ้นให้คุ้มค่ากับการมาพักผ่อนที่สุด
Good To Know
คนไปเที่ยวเกาะอย่างเราๆ สิ่งนึงที่กังวลตลอดเวลาคือถึงแล้วจะไปต่อยังไงดี? แต่ที่ตราดง่ายมากและสนามบินนั้นเล็กๆ เดินออกมาก็เจอกับเคาท์เตอร์ขายตั๋วไปเกาะต่างๆ ค่ารถจากสนามบิน+ค่าเรือ อยู่ที่เที่ยวละประมาณ 800 บาท เราแนะนำให้จองเรือกับบริษัทบุญศิริ เพราะเรือใหญ่ ติดแอร์ ที่นั่งกว้าง นั่งสบายมากจริงๆ เรือจากสนามบินไปเกาะกูดจะมีวันละ 2เที่ยวคือ 09.30 / 12.50 ออกจากท่าเรือแหลมศอก เพราะฉะนั้นใครจะข้ามไปเกาะกูดแบบเราจะนั่งรถนั่งเครื่องบิน อย่าลืมเช็คเวลาดีๆ กันด้วยหล่ะ! พอถึงเกาะกูดแล้วก็นัดกับโรงแรมให้มารับที่ท่าเรือได้เลย
Koh Kood – a secret jewel in the gulf of Thailand
มีคนบอกว่าเกาะกูดคือเพชรเม็ดงามของอ่าวไทยที่ยังบริสุทธิ์ สวยงามและเป็นธรรมชาติอยู่มากโข ด้วยความที่ตัวเกาะเองอยู่ห่างจากฝั่งจังหวัดตราดมากถึงกว่า 50 กิโลเมตร ทำให้มันยังสวย ใส สะอาด และไม่มีขยะมาเกยตื่นให้เห็น ผสมกับความเป็นพื้นที่ราบสลับกับทิวเขาและทิวต้นมะพร้าวที่แย่งกันขึ้นริมชายหาดทำให้เกาะกูดนั้นมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีกเยอะ เกาะกูดที่เห็นเล็กๆ แบบนี้นั้นใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศเชียวนะ และฤดูที่สวยที่สุดของเกาะกูดคือหน้าหนาว-หน้าร้อน เริ่มตั้งแต่ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนั่นเอง
วันแรกเราถึงเกาะกูดเกือบๆ บ่ายโมงเอาของไปเก็บที่โรงแรมเสร็จแล้วก็เริ่มเที่ยวกันทันที (แล้วจะกลับมาแนะนำโรงแรมที่เราชอบมากที่สุดอีกโรงแรมนึงในไทย ^^ ) หลังจากเก็บของ เปลี่ยนชุดพร้อมเที่ยวกันแล้วก็หาข้าวกินกันแบบง่ายๆ วิธีการเดินทางที่ดีที่สุดบนเกาะกูดนั้นทำได้หลายวิธีมาก ทั้งเช่ามอเตอร์ไซค์ขับหรือรถสองแถว เราแนะนำสำหรับคนขับรถไม่ค่อยคล่องว่านั่งรถสองแถวจะดีกว่า เพราะทางบนเกาะบางช่วงนั้นแคบและชัน ถ้าไม่ชินเส้นทางอาจเกิดอันตรายได้ แต่ถ้านั่งรถสองแถวราคาจะแพงขึ้นมานิดหน่อย เริ่มต้นที่เที่ยวละ 100 บาทต่อคน/ ต่อเที่ยวโดยประมาณ
Big Tree in Koh Kood
มาถึงปุ๊ป! ก็เข้าป่าเลยบนเกาะกูดนั้นอุดมสมบูรณ์มาก มีต้นไม้ยักษ์ที่ยืนต้นอยู่คู่เกาะมาเกือบๆ 500 ปีแล้วนะ คือต้นไทรยักษ์และต้นมะค่ายักษ์ ทั้งสองต้นนั้นอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน แถมต้นใหญ่มากๆ ทางเดินเข้าไปนั้นถูกถางทางไว้ดีเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วไม่ลำบากเลย เป็นอีกที่นึงที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอได้มายืนใต้ต้นไม้ใหญ่ๆ แบบนี้มันรู้สึกมีพลังนะ! อากาศหน้าร้อนจะร้อนแค่ไหน แต่พอได้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และมีริ้วแดดอ่อนๆ ลมเย็นเบาๆ ก็ทำให้เย็นใจขึ้นเยอะเลย ฝากถึงใครที่จะขึ้นมาเที่ยวตรงนี้อย่ามือบอนไปขีดเขียนต้นไม้หรือทิ้งขยะบริเวณป่านั้นเด็ดขาด เก็บลงมาทิ้งกันด้วยน้า
Kayaking in Koh Kood
พอตกบ่ายเรากลับไปแถวๆ หาดคลองเจ้าเพราะเคยเห็นรูปจากอินสตาแกรมใครซักคนว่าสามารถพายคายัคตามคลองแล้วออกสู่ทะเลได้ โดยมีป่าโกงกางอยู่ด้านขวา และชายหาดที่คั่นตรงกลางอยู่ด้านซ้าย ดูแล้วเป็นหาดที่สวยและสมบูรณ์ เราแวะไปที่ Peterpan Resort อยู่ใกล้ๆ กับที่พักเรา ที่นี่มีบริการคายัคให้กับแขกที่มาพักฟรี แต่ถ้าไม่ได้พักที่นี่สามารถเช่าได้โดยวางบัตรประชาชนไว้ และมีค่าเช่าคายัคอยู่ที่ 100 บาทเท่านั้นเอง เธอก็จะได้คายัคมาหนึ่งลำพายเล่น ถ่ายรูปกันเก๋ๆ แนะนำว่าให้มาช่วงประมาณ 16.00 น. พายเล่นซักชั่วโมง บินโดรน และเอ็นจอยกับวิวรอบๆ ก็คุ้มแล้วหละ
High Season Pool villa & Spa
ทริป 3 คืน 4 วันของเรารอบนี้ เราเลือกพักกันที่ High Season Pool Villa & Spa ที่นี่เป็นรีสอร์ต 5 ดาวไม่กี่แห่งบนเกาะกูด ตั้งอยู่ตรงหาดคลองเจ้า เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก และบรรยากาศภายในรีสอร์ตนั้นเรียกได้ว่า เพอร์เฟค!
ที่ High Season มีสระว่ายน้ำระบบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในเกาะกูดด้วยนะ เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำสระตอนมาเที่ยวหน้าร้อนแบบนี้ ห้องพักที่นี่มีจำนวนทั้งหมดแค่ 41 ห้องทำให้บรรยากาศในรีสอร์ตนั้นเป็นกันเอง ผู้คนไม่พลุกพล่านและพนักงานดูแลอย่างทั่วถึงด้วยความสุภาพจริงๆ รอบนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 8 คน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพนักงานที่นี่น่ารัก เวลาเห็นเราเดินเก้ๆ กังๆ จะเดินมาถามและคอยช่วยเหลือตลอด
สำหรับห้องพักที่เราค่อนข้างซีเรียส ต่อให้อากาศข้างนอกร้อนแค่ไหน เที่ยวมาทั้งวันเหนื่อยยังไง แต่ห้องนอนต้องดีที่สุด! รอบนี้เราพักห้องแบบ Deluxe Pool Villa ซึ่งเป็นห้องแบบเริ่มต้นของที่นี่ แต่เปิดประตูเข้าไปก็ตกใจ ‘ห้ะ! ใหญ่ขนาดนี้หรอ’ ห้องพักนั้นใหญ่มาก แถมถ้าใครมาสวีทหรือฮันนีมูนก็มี Plunge Pool ขนาดพอดีให้แหวกว่ายได้ตามใจชอบเลย
เราใช้เวลายามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่โรงแรมนั้นเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะหาที่นั่งพักผ่อนรับลมเย็นๆ ดู Sunset แต่พอเดินไปที่หาดหน้าโรงแรมปุ๊ป… โอ้โห ของดีใกล้ตัวขนาดนี้ต้องไปหาที่ไหนไกลหรอ ที่ High Season มี บาร์เล็กๆ อยู่หน้าหาดเลยชื่อว่า Seasonbar แนะนำเลยนะว่าที่นี่อากาศดีมาก ตอนเย็นๆ ทำตัวพริ้วๆ นั่งกินค็อกเทลเย็นๆ ซักแก้วก็ชื่นใจ ! โรงแรมยังมีทิวต้นมะพร้าวริมหาดที่โคตรสวย และชิงช้าให้ไกวรับลมเย็นๆ เล่นด้วย
DAY 2 ; Hopping the island!
วันที่สองของเราบนเกาะ จะอยู่แต่เกาะกูดอย่างเดียวจริงๆ ก็ทำได้เพราะมันชิวมาก แต่มาทั้งทีก็ขอออกไปตระเวนเกาะต่างๆ ซะหน่อย เที่ยวรอบนี้เราตั้งใจไว้อย่างนึงคือใช้รถยนต์ที่กินน้ำมันให้น้อยที่สุด ปล่อย Carbon ให้น้อย แล้วรักษ์โลกให้มากกว่าเดิม วันนี้ตั้งใจจะไปทั้งหมด 4 เกาะ คือ เกาะกระดาด / หมู่เกาะรัง / เกาะหมากและเกาะขาม เริ่มต้นเลยคือต้องเช่าเรือจากเกาะกูดไปถ้าจะให้เรือวนตามจุดและรอรับเรา เราเลือกเรือ Speed Boat แบบ 1 เครื่องยนต์พร้อมน้ำและของว่างใช้เรือได้ทั้งหมดจนพระอาทิตย์ตกดินลำละ 15,000 บาท สำหรับเราเดินทาง 8 คนก็ถือว่าราคารับได้ไม่แพงเกินไป ส่วนใครที่มากันเอง แนะนำให้ติดต่อกับทางรีสอร์ทได้เลยเพราะมีเรือจากเกาะกูดออกไปเกาะหมากทุกๆ วัน แล้วจากเกาะหมากเราสามารถข้ามไปที่เกาะขามได้ด้วยการพายคายัค
เกาะกระดาด
ถ้าเคยเห็นภาพเกาะๆ นึงที่มีกวางเดินอิสระอยู่บนเกาะแล้วเราสามารถให้อาหารเจ้ากวางน้อยได้ ก็คือที่นี่เกาะกระดาด เกาะกระดาดอยู่ใกล้กับเกาะหมาก เป็นเกาะที่เค้าเรียกกันว่า ซาฟารีเมืองไทย แถมเป็นเกาะเดียวในประเทศไทยที่มีโฉนดอย่างถูกต้องเพราะสมัยก่อนฝรั่งเศสกำลังไล่ยึดดินแดนแถบนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงรีบออกโฉนดให้เกาะกระดาดนี้เป็นของไทยทันที ชื่อของกระดาดน่าจะมาจากพื้นที่ของเกาะที่เป็นพื้นราบเรียบไม่มีภูเขา ที่นี่เป็นเกาะเล็กๆ ที่เลี้ยงกวางเอาไว้พร้อมกับแนวทิวต้นมะพร้าวยาวสวยมาก แนะนำว่าถ้ามาให้มาช่วงเช้าไปเลยหรือบ่ายแก่ไปเลย เพราะไม่มีที่หลบแดด ที่นี่มีบริการรถแทรคเตอร์พาขับชมรอบๆ แล้วไปนั่งชิวอีกฝั่งของเกาะด้วยนะ
ส่วนเจ้ากวางที่คนดูแลเกาะเลี้ยงไว้ก็เชื่องแสนเชื่อง สามารถให้ขนมและอาหารได้ด้วย แต่อยากให้เก็บถุงขยะและพลาสติกให้เรียบร้อยด้วยเพราะน้องจะได้ไม่คิดว่าเป็นขนมและแอบกินซึ่งอาจจะเป็นอันตรายกับกวาง มาเที่ยวแล้วก็อย่าลืมดูแลธรรมชาติของเรากันด้วยนะ จะได้มีที่เที่ยวสวยๆ ให้มาเที่ยวกันได้อีกนาน
ปัจจุบันเกาะกระดาดมีสถานะเป็นเกาะส่วนตัว นักท่องเที่ยวต้องเสียค่าเข้าเกาะคนละ 150 บาท
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะรัง
จากเกาะกระดาดเรานั่งเรือต่อไปอีกนิดเพื่อไปดูโลกใต้ทะเลที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะรัง เนื่องจากเล่นกับน้องกวางน้อยเพลินไปหน่อยเลยมีเวลาดำน้ำดูประการังนิดเดียว สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะรัง มีทัวร์ออกทุกวันไม่ว่าจะจากเกาะช้าง เกาะหมาก หรือเกาะกูดเป็นทัวร์แบบ One Day Trip รวมอาหารกลางวันราคาก็แล้วแต่เจ้าอยู่ที่ตั้งแต่ 790 บาทจนถึง 1,xxx บาท โดยเรือจะพาขับเที่ยวรอบๆ อุทยานฯ เช่น เกาะยักษ์ใหญ่, เกาะยักษ์เล็ก, เกาะมะปริง, หาดศาลเจ้าหรือหน้าที่ทำการอุทยาน น้ำทะเลที่นี่ใสมาก ยิ่งถ้าวันไหนอากาศดี มองเกือบเห็นด้านล่าง และประการังก็สมบูรณ์มาก เราเก็บเป็นภาพวีดิโอมาฝากแล้ว อย่าลืมเข้าไปดูกันด้วยนะ
เกาะหมาก
ถ้าพูดถึงการเที่ยวแบบ Low Carbon เกาะหมากนี่แหละเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด นี่คือเกาะที่ไม่ให้นักท่องเที่ยวเอารถเข้ามาขับเอง แต่มีบริการให้เช่าจักรยาน มอเตอร์ไซค์หรือรถไฟฟ้าที่สามารถขับเที่ยวได้ทั่วทั้งเกาะ บรรยากาศของเกาะหมากนั้นค่อนข้างเงียบสงบ แต่มีเสน่ห์ ไม่พลุกพล่านวุ่นวายและน่ามาเที่ยวพักผ่อนมาก เราแวะเกาะหมากกันครึ่งวันก่อนกลับเกาะกูดนี่เป็นอีกเกาะนึงที่เรามาแล้วรู้สึกรัก รักในความง่ายๆ ของเกาะหมาก
เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านเกาะหมากซีฟู๊ด เป็นร้านดังของเกาะหมากตอนแรกก็คิดไว้ว่าราคาแพงแน่นอน แต่ไม่แพงเลยแถมวัตถุดิบดีมากๆ อาหารทะเลสด ขนมอร่อย ทุกอย่างทำสดใหม่หมดไม่ค้างคืน เราไปมาสองรอบแวะกินทั้งสองครั้งจะมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นที่นี่ก็ฝากท้องได้เสมอ อย่าลืมลองสั่งยำปูม้าสดๆ กับไข่ตุ๋นทะเลนะ สองอย่างนี้เลิศมากจริงๆ!
มาเกาะหมากแนะนำว่าให้เช่าจักรยานไว้ซักคันขับเล่นรอบเกาะช่วงบ่ายแก่ๆ ที่แดดไม่แรงมาก มันจะได้ฟีลลิ่งนักอนุรักษ์และภาพสวยงามแน่นอน เพราะเกาะหมากมีต้นมะพร้าวสูงขึ้นเยอะมาก เธอสามารถปั่นแวะถ่ายรูปกันได้ตลอดทาง อย่างรูปที่เราแวะถ่ายกันนี้สวยมากเลย เหมือนอยู่เมืองนอกแต่ที่นี่เกาะหมากจ้า
เกาะหมาก วิวพอยท์ @โคโค่เคป
เราแวะพักดื่มน้ำเย็นๆ กันที่ Cococape Resort จุดนี้เป็น A MUST! View Point ของเกาะหมากเลยนะ ใครไปใครมาก็ต้องแวะสะพาน Cococape เพราะบรรยากาศดี มีที่นั่งชิล จิบค็อกเทลเบาๆ ก็มีความสุข จุดชมวิวตรงนี้เป็นสะพานไม้ยื่นยาวออกไปในทะเลและมีบาร์เล็กๆ อยู่ตรงปลายสะพานพร้อมพื้นที่นั่งชิลเล็กๆ ให้รอดูพระอาทิตย์ตกดิน เราก็แวะไปนั่งตรงกันนั้นมาแปปนึง มันชิลจริงๆ นะ มีลมพัดอ่อนๆ กับพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แฮปปี้จังเลยอะ
เกาะขาม
แต่เราไม่ได้จบวันกันที่ Cococape เพราะมีอีกเกาะนึงที่ไปได้ง่ายและสบายมากจากเกาะหมากคือเกาะขาม เกาะขามนั้นเล็กๆ หาดทรายขาดละเอียด สามารถเช่าเรือเล็กจากเกาะหมากมาได้ประมาณ 5 นาทีเท่านั้นแต่เรามีวิธีที่รักษ์โลกมากกว่านั้นคือการพายคายัคจาก Cococape มาที่เกาะขามใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีก็ถึง พายเรื่อยๆ ชมวิวระหว่างเกาะ แถมไม่เปลืองน้ำมันด้วยนะ เพื่อนๆ สามารถหายืมคายัคได้จากที่ Cococape เลยตรงนั้นมีให้เช่าด้วย ที่นี่มีสถานะเป็นเกาะส่วนตัวปิดประมาณ 6 โมงเย็น และมีค่าขึ้นเกาะคนละ 200 บาทสามารถอยู่ได้ทั้งวันและแลกเครื่องดื่มได้ฟรี 1อย่าง
DAY 3 ; More fun in Koh Kood
วันที่ 3 ของทริปชิลๆ สายลม แสงแดดอ่อน ท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีใส เกาะกูดเป็นอะไรที่ Relax Happening ตลอดเวลาที่พักผ่อนที่นั่น นอนตื่นสายๆ ทานเบรกฟาสต์อร่อยๆ แล้วออกไปเที่ยวกันต่อดีกว่า! ไลน์บุฟเฟต์อาหารเช้าที่ High Season นั้นเลิศเลอ เราชอบที่เค้าเปิดแอร์ให้ Cold Cut และผลไม้ด้วย เพราะป้องกันแมลงวี่ แมลงวันจะมาตอม แนะนำให้ทานข้าวต้มกุ้งตัวโตๆ แพนเค้กนุ่มๆ ที่ทำกันสดใหม่ พร้อมสลัดผักและน้ำส้มซักแก้วแค่นี้ก็พร้อมเที่ยวแล้ว
ชุมชนบ้านอ่าวใหญ่
ชุมชนเล็กๆ ทางทิศใต้ของเกาะกูด ชุมชนบ้านอ่าวใหญ่ทำประมงกันเป็นหลัก เหมือนๆ กับชุมชนริมทะเลอื่นๆ ความน่ารักของที่นี่คือประชากรไม่มาก ทุกบ้านอยู่ติดกันและรู้จักกันเกือบหมด อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และมีอาชีพหลักคือทำประมง ตอนเราไปเจอน้องคนนึงพูดจาภาษากลางฉะฉาน บอกว่าขึ้นฝั่งทุกอาทิตย์ไปหาแฟนบ่อยมาก 5555 น่ารักดีนะ
บ้านเรือนที่นี่เป็นบ้านไม้ยกสูงพื้นด้านล่างก็เป็นน้ำทะเลนี่แหละมีปลาว่ายไปว่ายมาและที่สำคัญคือมีไข่หอยเม่นสดๆ หรือUni แบบที่ชอบกินกันตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่นี่ขายตัวละ 50 บาทจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดเลิศดีมาก ด้วยความที่เป็นชุมชนเล็กๆ เดินแปปเดียวก็ครบแล้ว แนะนำว่าให้มาช่วงประมาณ 10 โมงเดินเล่นซักชั่วโมงเสร็จแล้วก็แวะทานอาหารซีฟู๊ดเลิศๆ ริมทะเล อย่าแปลกใจว่าทำไมมันถูก ไม่ใช่ของเก่าหรือไม่สด แต่เค้าพึ่งจับขึ้นมาใหม่ๆ พึ่งขึ้นจากทะเลกันเลยหละ
ช่วงบ่ายเรากลับมา Enjoy Facilities ของ High Season กันต่อ เรียกได้ว่ามาทั้งทีก็ต้องพักผ่อนกันให้คุ้มที่สุดนั่นแหละ อยากบอกเพื่อนๆ ว่า เวลามาเที่ยวทะเลเนี่ยอย่าเอาเรื่องเครียดๆ ติดมาด้วย อะไรรอได้ก็วางไว้ก่อน อย่าไปคิดมาก ฟังเสียงตัวเอง สลับกับเสียงคลื่นและเสียงลม มันจะทำให้เธอแฮปปี้ขึ้นเวลากลับไปทำงาน เหมือนชีวิตได้พักชาร์จแบตอะ พยายามหากิจกรรมทำ ไม่ว่าจะเป็นคลาสทำขนมไทยง่ายๆ อย่างขนมครก ที่ดูเป็นเรื่องเบสิคแต่ก็หาทำกันไม่ใช่เรื่องง่ายหรือโยคะก็มีให้เล่น คอร์สเหล่านี้ที่ High Season จะสลับหลายกิจกรรมมาให้แขกที่พักเอ็นจอยกันระหว่างวัน
ความเก๋ของที่นี่มีอีก 2 อย่างที่เราชอบมากคือ 1. มี Bird’s Nest รังนกบนต้นไม้ที่เราสามารถสั่ง Afternoon Tea หรือ Dinner Set ขึ้นไปนั่งทานด้านบนเก๋ๆ ได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนิดหน่อย อย่างพวกเราสั่ง Afternoon Tea ขึ้นไปนั่งกันคุยกันเพลินๆ เมาท์มอยจิบชา คิดว่าจะนั่งซักครึ่งชั่วโมง ดูเวลาอีกทีเลยชั่วโมงไปไกลแล้ว 555
ส่วนอย่างที่ 2 ที่ชอบไม่แพ้กันคือ สระว่ายน้ำระบบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในเกาะกูดหรือที่เรียกว่า Galaxy Pool โอ้โห.. มันไม่ใช่แค่ใหญ่นะ แต่สวยมากด้วยเหมือนกัน อยากให้ลองมาแหวกว่ายในสระกันดู หรือจะแช่น้ำคลายร้อนเฉยๆ เปลี่ยนที่เมาท์กับเพื่อนก็ชุ่มฉ่ำดีมากเลยแก๊ ไม่อยากจะอวยเยอะ แต่เราชอบที่นี่มากจริงๆ
เราจบวันที่ 3 ด้วยการไปนอนเล่นริมหาดคลองเจ้าหน้าโรงแรมรอดูพระอาทิตย์ตกดิน เป็นโมเมนต์ที่เพอร์เฟคมากสำหรับคนที่ชอบการมาเที่ยวทะเลและท้องฟ้าเป็นใจกำลังลับตา นอนฟังเพลงเพลินๆ กุมมือแฟน อ้าว.. ไม่มีนี่นา 555 ก็ดีงาม
Untill we meet again, TRAT
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับบ้านกัน เราเว้นให้ตัวเองได้ขลุกตัวอยู่ในห้องบนเตียงเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน พอสายหน่อยก็ออกไปนั่งเล่นอ่านหนังสือริมหาด ฟังเพลง ทานอาหารเช้า เพื่อเตรียมตัวกลับบ้านหลังจากชาร์จแบตเต็มอิ่ม
สำหรับเรา ตราดเป็นอีก Destinations ที่พลาดไม่ได้จริงๆ สำหรับคนที่กำลังหาที่เที่ยวในไทยใหม่ๆ ที่นี่มาไม่ยากเดินทางสะดวก แถมค่าใช้จ่ายก็ยังสมเหตุสมผลกับความ Luxury แบบ Low Carbon ที่ได้รับ ถ้ามีเวลาซัก 3 วัน 2 คืนแค่นี้ก็เที่ยวตราดได้ง่ายสบายๆ ถ้าเพื่อนคนไหนกำลังสนใจและปักหมุดให้ตราดเป็นอีกหนึ่งใน Dream Destinations สามารถติดต่อและหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายๆ ผ่านทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดตราด เพราะ ททท. ที่นี่ Active ตลอดเวลาและพร้อมให้ข้อมูลและช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลและการท่องเที่ยวเสมอๆ ติดต่อได้ทางเฟซบุ๊ค
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตราด Link : https://www.facebook.com/tattratoffice/
เอาหล่ะ! พร้อมแล้วก็หาวันว่าง แพลนทริปท่องเที่ยวตามรอยไปไง มาไง ได้ง่ายๆ แล้วเจอกันที่ตราดจ้า