ถ้าพูดถึงเมืองใหญ่ ไฮไลท์เยอะ มีความเป็นตัวเองสูงในเรื่องของแฟชั่นระดับโลกเหมือน นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส และโรม ก็เหลืออีกแค่เมืองเดียวที่เราจะข้ามไปไม่พูดถึงไม่ได้เด็ดขาดนั่นก็คือ มิลาน (Milan) หรือคนอิตาเลียนจะชอบเรียกกันว่า มิลาโน (Milano) ถ้าเห็นป้ายบอกทางตามทางด่วน รถไฟฟ้าหรือสถานีรถบัส ไม่ว่าจะมิลานหรือมิลาโน มันคือเมืองแฟชั่นระดับโลกที่หลายต่อหลายคนฝันอยากจะมาเดินเชิ่ดๆ ยิ้มหวานให้หนุ่มอิตาเลียนและชิมพิซซ่าแบบต้นตำรับกันซักครั้ง
ทริปนี้เลยอยากชวนทุกคนมาเดินเปรี้ยว ขยิบตาเล็กน้อย เดินเล่นในมิลานแบบสบายๆ กันซัก 3 คืน และออกไปสกีรีสอร์ทที่เมือง Pragelato ที่หลายคนอาจมองข้ามไป เราจะทำให้ทุกคนรู้ว่ามาเที่ยวมิลานก็สามารถนั่งรถต่อไปอีกซัก 2-3 ชั่วโมงแล้วเจอกับสกีรีสอร์ทระดับโลกของ Club Med ที่มีหิมะขาวโพลนและวิวอลังการไม่มีหมดสุดลูกลูกตาไปกับพวกเราและ Smooth E White Therapie ที่จะช่วยบำรุงผิวสวยๆ นี้ไม่ว่าจะเดินทางเยอะ ผิวแห้งแค่ไหน ครีมเล็กๆ ขวดนี้ก็เอาอยู่!
Fly to see and sense the world with THAI
ทริปนี้เราเดินทางกับการบินไทย จะว่าอวยก็ได้แต่จากการดูเวลาเดินทางของสายการบินต่างๆ ที่บินมายุโรปแล้วต้องยอมรับจริงๆ ว่าเวลาของการบินไทยนั้นดีและเอื้อต่อคนไทยที่มาเที่ยวมากๆ เพราะไฟลท์จากกรุงเทพบินตรงเข้าสู่เมืองต่างๆ ในยุโรปไฟลท์จะออกช่วงกลางคืน โดยถึงปลายทางในตอนเช้าทำให้ได้นอนเต็มอิ่ม พร้อมเที่ยวและไม่เสียเวลาที่สำคัญอาหารบนเครื่องเสิร์ฟมื้อใหญ่ 2 มื้อคือหลังจากเครื่องขึ้น และก่อนเครื่องลง และมื้อใดมื้อหนึ่งเป็นอาหารไทย
การบินไทยบินตรงสู่มิลานสัปดาห์ละ 5 เที่ยวบินด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง A350-900 นั่งสบาย อากาศถ่ายเทสะดวก และนี่คือสายการบินที่มีชั้นประหยัดที่ดีที่สุดในโลก ทั้งเรื่องของอาหาร ความยิ้มแย้มของพี่แอร์อย่างเป็นกันเอง และที่นั่งที่กว้างขวางพิเศษเมื่อเทียบเครื่องบินรุ่นเดียวกันกับสายการบินอื่นๆ การบินไทยจัดที่นั่งได้สบายและกว้างกว่า
อย่าสงสัยเลยว่าทำไมเราจึงเลือกการบินไทยเป็นอันดับต้นๆ เสมอเวลาเดินทางมาเที่ยวยุโรป เพราะมันสบายต่างกันจริงๆ เอ้อ! ปีนี้การบินไทยครบรอบ 59ปี เพื่อนๆ สามารถติดตามโปรโมชั่นบัตรโดยสารราคาพิเศษหรือช๊อปปิ้งหนักๆ อยากซื้อกระเป๋าเดินทางเพิ่ม รวมไปถึงจองรถลิมูซีนและประกันการเดินทาง THAI Travel Safe จองได้ครบที่ thaiairways.com
3 Days Hillight in Milan and Lake Como!
มิลานเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่สามารถเที่ยวให้ครบตามแลนด์มาร์กต่างๆ ได้ภายในหนึ่งวัน หรือจะนั่งรถไฟไปเวนิซ / Como Lake หรือไกลหน่อยอาจจะเที่ยวโรมแล้วกลับกรุงเทพกับการบินไทยผ่านทางโรมก็ได้ แต่ทริปนี้เราตั้งใจมาเที่ยวมิลาน ไม่ใช่แค่มาแวะ แต่ Explore เดิมมิวเซียมหาของอร่อย ช๊อปปิ้งเก๋ๆ และออกไปเล่นสกีรีสอร์ท เพราะฉะนั้นทริปนี้เราจึงเน้นโฟกัสที่มิลานและสกีรีสอร์ทเป็นหลัก จะทำให้เห็นว่าใกล้ซัมเมอร์แบบนี้ มิลานก็เป็นเมืองนึงที่ไม่ควรตัดออกจากแพลนเลยมาค่ะ! ขอไฮไลท์ที่ต่างๆ ในมิลาน แวะกินไอศกรีม Gelato จนน้ำตาลขึ้น เดินย่านฮิตริมน้ำยามเย็น แวะช๊อปปิ้งและยืนทึ่งกับวิวของ Duomo และแถม Lake Como ซักเล็กน้อยให้ฟินๆ ทั้งหมดนี้สามารถเที่ยวได้ง่ายๆ ด้วย Metro ภายใน 3วัน
Lake Como
เค้าบอกว่าที่นี่จะสวยมากและ Happening ที่สุดในช่วงซัมเมอร์ นกพิราบบินลงมาจิบน้ำบ่อยแค่ไหน เสียงตู้มต้ามกระโดดน้ำของชาวอิตาเลียนซิคแพคงามก็กระโดดน้ำใน Lake Como บ่อยพอๆ กันนั่นแหละ เค้าว่ากันว่าที่นี่เป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี เพราะเห็นวิวเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปีอยู่ไกลๆ รอบๆ ทะเลสาบมีหมู่บ้านน้อยใหญ่เรียงรานกัน ยียวนสายตาให้เราอยากแวะเข้าไปชักภาพเก๋ๆ ทุกที่
อย่างที่บอกว่าไฟลท์จากกรุงเทพของการบินไทยถึงมิลานตอนเช้าเราสามารถแวะเอาของเข้าไปฝากไว้ที่โรงแรม เปลี่ยนชุดล้างหน้านิดหน่อย ก็พร้อมเที่ยวทันที! เราเลือกนอนแถวๆ สถานีรถไฟกลาง Milano Centrale ตั๋วมาเที่ยว Lake Como สามารถมาซื้อได้เลยที่สถานีรถไฟ ถ้าไม่ใช่หยุดยาวนานๆ ก็มีให้เลือกหลายเที่ยวนั่งกันไปได้ทั้งวันยันหัวค่ำ เราออกจากมิลานสายๆ ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ลงที่สถานี Varenna – Esimo Perledo สถานีหลักของการมาเที่ยวที่นี่
เดินตามทางออกมาเรื่อยๆ เพื่อไปซื้อตั๋วเรือเที่ยวตามหมู่บ้านต่างๆ รอบ Lake Como ได้ยินมาว่าหลายๆ ที่สวย คนเยอะ บางหมู่บ้านก็สงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน ใครตั้งใจจะมาพักที่นี่ควรจองที่พักมาล่วงหน้ากันหน่อยนะ ราคาแรงอยู่เด้อ เราซื้อตั๋วเรือแบบไปกลับประมาณ 15 ยูโร เพื่อข้ามไปเที่ยว BELLAGIO หมู่บ้านสุดฮิตที่คนเยอะ มองไกลๆ เป็นสีเหลืองมัสตาร์ดสวยงามน่าแวะไปเดินเล่นเหลือเกิ้น (แนะนำว่าอย่าเที่ยวเพลิน จุดที่รถไฟมาถึงเรียกว่า Varenna จะไปเที่ยวหมู่บ้านไหนอย่าลืมดูเวลาเรือขากลับให้ดี เพราะพลาดเที่ยวนึงแล้วบางทีก็ต้องรอนานเลย)
BELLAGIO ช่วงที่เราไปนั้นกำลังจะเข้าหน้าร้อน ร้านค้าบางร้านยังไม่กลับมาเปิดน่าจะไปเที่ยวแถวๆ ภูเก็ต กระบี่กันอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็กลับมากันหมดแล้วบริเวณริมน้ำ ลักษณะของที่นี่ถ้านึกภาพไม่ออก ลองจินตนาการถึงจิ่วเฟิน ที่ไต้หวันตอนกลางวันแต่คนน้อยกว่าและสะอาดกว่า 555 มันเป็นเมืองที่สร้างไหลลงไปตามไหล่เขาจนไปถึงทะเลสาบด้านล่าง ด้วยความที่คนน้อย เราก็นั่งเอ็นจอยโมเมนท์กันเพลินๆ ซื้อไอศกรีม Jelato มานั่งเล็มซ้ายเล็มขวา เดินดูของฝากไล่จากด้านบนลงด้านล่าง ความเก๋ของเมืองนี้อีกอย่างคือสีของบ้านเรือนมันคลุมโทน อย่าลืมนัดเพื่อนฝูงแต่งตัวให้ Macth กันมาถ่ายรูปเก๋ๆ เป็นเกิร์ลแก๊งค์ร่าเริงแบบพวกเรา สวยจนคนอิตาเลียนเหลียวมองเพราะไอติมไปหยดเลอะเสื้อเค้า 5555
เดินไล่ๆ จากด้านบนลงมาถึงริมน้ำเพื่อนั่งเรือกลับไป Varenna ยิ่งคล้อยบ่ายก็ยิ่งมีความสุขทั้งอากาศที่โคตรดี ผู้คนที่ Good Tought และบรรยากาศริมน้ำมันเป็น Vibes ที่มนุษย์ทุกคนควรมาเจอและมีในชีวิตนะ นั่งริมน้ำดูวิวกับแฟน เดินกิน Gelato หัวเราะกับเพื่อน ดีมากๆ อยากให้มาที่นี่นะ ซัก 2-3 ชั่วโมงก็ฟินแล้ว
เรานั่งเรือกลับไปยัง Varenna ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีนั่งเมาท์ดูวิว เพลินดีแปปเดียวก็ถึงแล้ว แวะเที่ยวหาพิซซ่า สปาเก็ตตี้กินซักหน่อยที่ Varenna เลือกได้เลยร้านไหนริมน้ำ เอาร้านนั้นแหละ ไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดอะเนอะ กิน Sangria ซักแก้ว กับอาหารอิตาเลียนแท้ๆ ยืนริมน้ำแบบชิลๆ อนกลับเข้ามิลานเป็นอีกวันที่มีความสุขมากกกกกกก
DAY 2 in MILANO
วันที่ 2 ของเราในมิลานก็เป็นอะไรที่ Fun and Lively ที่สุด ตอนแรกคิดว่ามิลานน่าจะต้องเป็นเมืองที่หวือหวา อลังการ แต่พอมาสัมผัสแล้วจริงๆ มันคือเมืองแห่งความทันสมัย ดูเป็นเมืองที่คนดูชิคและฮิปแถมมีสไตล์เป็นของตัวเองตลอดเวลา สำหรับอีก 2 วันในมิลาน เราเลือกเดินทางกันด้วยรถสาธารณะโดยซื้อบัตรรถไฟไว้ราคา 8.25 ยูโรสำหรับ 2 วันใช้กี่รอบก็ได้ นั่งได้ทั้งรถไฟ รถเมล์ และแทรม ไม่แพงเลยราคานี้ แต่มิลานเป็นเมืองเล็กๆ ถ้ามีเวลาเยอะก็เดินถึงกันหมด หรือใครคำนวณแล้วใช้ไม่คุ้มอาจจะซื้อเป็นเที่ยวได้ เที่ยวละ 1.50 ยูโร บางคนบอกว่านั่งรถไฟในมิลานนั้นอันตรายมาก บอกตรงๆ ว่าเรารู้สึกปลอดภัยมากกว่าหลายๆ เมืองในยุโรปหรืออเมริกาที่ไปมาอีก 555 จำไว้นะ! ทุกที่อันตรายหมดสำหรับคนที่ประมาทและไม่ระมัดระวัง หมั่นเป็นหูเป็นตาให้กันและกันระหว่างเดินทาง ไม่เผลอ มีสติ มั่นใจว่าใครที่ไหนก็ทำเราไม่ได้
ความเก๋ของยุโรปอีกอย่างนึงที่เราหลงรักมากๆ คือร้านขายขาเพราะมันมีเสน่ห์ ดูขลังและสามารถหาซื้อของได้หลากหลาย ทำให้นึกถึงครีมที่เราพกมาใช้ด้วยในทริปนี้ (จริงๆ ก็ใช้ตัวนี้มาได้ประมาณ 2 ปีแล้วหละ) และอยากแนะนำเพื่อนๆ ไปอีกทุกปีคือ Smooth E WhiteTherapie และ Smooth E Skin Therapie โลชั่นเวชสำอางสูตรเข้มข้นพิเศษ ที่เหมาะมากกับการพกมาเที่ยวด้วยในเมืองหนาวๆ แบบนี้ทริปนี้เที่ยวมิลานเสร็จปุ๊ปก็จะไปเล่นสกีรีสอร์ทต่อทันที ปัญหาจากสภาพอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศทำให้ผิวมีปัญหาอยู่แล้ว การมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและแนะนำโดยแพทย์ผิวหนังยิ่งช่วยเราบำรุงผิวให้ดีและพร้อมสำหรับออกเดินทางเสมอ มันก็อุ่นใจนะ ว่าปลอดภัยแน่นอน และช่วยทำให้เรามั่นใจได้มากขึ้นจริงๆ สำหรับคนผิวแห้งมากอย่างพวกเรา แถมขวดเล็กแค่นี้ พกพาง่ายมาก!
ทริปนี้ทั้งทริปทั้งมิลานและที่สกีรีสอร์ทเราจะมาดูกันว่า Smooth E WhiteTherapie โลชั่นเวชสำอางสูตรเข้มข้นพิเศษจะช่วยเยียวยาและรักษาผิวของเราให้ชุ่มชื้นเสมอได้จริงๆ รึป่าว? บอกตรงๆ ว่าแอบหวั่นใจอยู่นิดนึง ก็หวังว่ามันจะช่วยได้จริงๆ เดี๋ยวรอดูเลยว่าหิมะหนาๆ กับอากาศหนาวๆ Smooth E White Therapie จะสู้ได้จริงๆ รึป่าว
Fondazione Prada and Bar Luce
เริ่มที่เที่ยววันที่สอง เราออกจากใจกลางเมืองไปทางตอนใต้ของมิลานนิดหน่อย ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถาบันและมิวเซียมศิลปะของ Prada ที่เปลี่ยนโรงเหล้าให้กลายเป็นอาคารศิลปะแบบคูลๆ ทาสีตึกเป็นสีทองทั้งหมด มีโซนนิทรรศการทั้งถาวรและหมุนเวียน รวมถึงโซนที่สามารถเดินชมได้ฟรีเป็นน้ำจิ้มและต้องเสียเงินเข้าไปชม แต่จุดประสงค์ของการมาที่นี่ของเราไม่ได้มาดู Prada เพราะบอกตรงๆ ว่าไม่อิน แต่ที่ยอมเดินทางออกมาจากตัวเมืองมิลาน เพราะมี Bar Luce ความเก๋ของที่นี่คือออกแบบโดย Wes Anderson
Bar Luce เป็นคาเฟ่เก๋ๆ ขายค็อกเทล ไวน์ เบอเกอรี่และ Hot Snack แบบง่ายๆ ไม่เหมาะแก่การมาฝากท้องเป็นมื้อหลักเพราะราคาเอาเรื่องอยู่ กินกันเป็นกลุ่มมื้อนึงก็คงพอๆ กับค่าตั๋วการบินไทยไป-กลับ กรุงเทพ-มิลานเลยแหละแก๊ 55555แต่เรื่องหน้าตาขนมและเครื่องดื่มนั้นเรียกได้ว่าจุ๋มจิ๋มน่ารัก เห็นแล้วก็ลืมเรื่องราคาไปเลยจ้ะ
Galleria Vittorio Emanule II
จากนั้นเราแวะมาเดินเล่น Galleria Vittorio Emanule II ต้องเน้นหน่อยว่าเดินเล่น 555 เพราะนี่คือห้างที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี แถมตั้งชื่อตามกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ตั้งอยู่ใกล้กับ Duomo เพราะฉะนั้นความคนเยอะ ความอลังการและหรูหรานั้นไม่ต้องบรรยายเยอะ เพราะมีแต่แบรนด์เนมดังๆ ที่นี่โอ่โถงมาก สวยงาม ถ้าพลาดที่นี่เราว่าก็เหมือนมาไม่ถึงมิลานจริงๆ นะ อ้อ! ข้อสำคัญ ไปตามสถานที่คนเยอะๆ แบบนี้ปิดกระเป๋ารูดซิปให้สนิท คล้องกระเป๋าข้างก็เอาไว้ด้านหน้าซะ เพราะคนเยอะแบบนี้ต้องระมัดระวังอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ วันนี้เรายังไม่ได้แวะ Duomo เพราะตั้งใจจะมาอีกวันตั้งแต่เช้าซึมซับบรรยากาศทั้งข้างนอกข้างในให้หมดเล๊ยย
Fontana di piazza Castello / Sforzesco Castel and Sempione Park
อากาศที่มิลานช่วงที่เดินทาง (มีนาคม 2562) เป็นช่วงที่ยังหนาวมากบางวัน ส่วนบางวันก็เดินใส่เสื้อยืดได้สบายๆ เป็นช่วงที่จะเปลี่ยนจากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ต่างๆ กำลังเริ่มจะแข่งกันบานสะพรั่ง ชาวอิตาเลียนก็เริ่มจูงหมามานั่งในปาร์ค และนี่คือเหตุผลที่เราเลือกมาที่นี่ช่วงบ่าย
Fontana di piazza Castello คือน้ำพุใจกลางเมืองมิลาน ไม่ได้หรูหราอลังมากเท่าไหร่แต่ก็พอจะทำให้คนที่ยืนมองชื่นใจกันมาได้บ้าง เราแวะหาอาหารเที่ยงกินกันแถวๆ บริเวณน้ำพุ เป็นร้านอิตาเลียนแท้ๆ ที่รสชาติอาจจะไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นขอข้ามไปเลยละกัน แต่บรรยากาศในร้านนั้นถือว่าโอเคเลลแหละ เก๋กู๊ดมาก
ถัดจากด้านหลังของน้ำพุไปไม่กี่สิบก้าวก็จะเจอกับ Sforzesco Castel ปราสาทโบราณของกษัตริย์อิตาลี แถมยังเคยเป็นที่พักของผู้นำเผด็จการด้วย ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นมิวเซียมที่มีทั้งโซนให้ชมฟรี และเสียเงินเข้าไปดูงานสลักรูปปั้นและภาพเขียนต่างๆ ของเจ้าของปราสาทเดิม แน่นอนว่าสายเรานั้นไม่เข้าไปกันแน่ๆ เพราะบรรยากาศยามเย็นด้านนอกนั้นแสนจะสบาย แนะนำว่าให้มาที่นี่ช่วงเย็นนะ อากาสดี ดอกไม้แข่งกันบาน ต้นหญ้าสีเขียว มานั่งฟังเพลงก็เพลินจะตาย! ไม่แปลกใจที่เพื่อนเรามาเรียนที่นี่จะแนะนำให้มา พร้อมย้ำนักย้ำหนาว่า นี่แหละ! ปอดของมิลานเหมือนกรุงเทพมีสวนลุมฯ เผลอๆ อาจมีเพื่อนชาวอิตาเลียนเพิ่มด้วยนะ ตอนที่เราไปนั่งก็มีหนุ่มมหาลัยเข้ามาคุย ตอนแรกก็นึกว่าจีบแหละค่ะ ทำไปทำมา เอ๊า “เจ๊ๆ สอน Excel ผมหน่อยสิ ไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เลย” มา! แม่จะสอนให้
ถัดออกไปอีกนิดคือ Sempione Park คือเอาตรงๆ เราไม่แน่ใจว่าตรงไหนคือสวนสาธารณะกันแน่ เพราะ 3 ที่นี้อยู่ติดๆ กันหมดเลย ด้านปลายสุดอีกฝั่งมีประตูชัย Porta Sempione คล้ายๆ กับประตูชัยที่ฝรั่งเศส คนอิตาเลียนบอกว่ามันสร้างขึ้นเพื่อสันติภาพ ยามเย็นแดดส่องสะท้อนจะสวยเป็นพิเศษ (เห็นทัวร์ไทยเรียกกันว่า ประตูชัยนโปเลียน)
ด้านหน้าของ ประตูชัย Porta Sempione มีแทรมวิ่งผ่านหลายสายมากๆ เราจบวันกันที่ประตูชัยนี้พอดี กำลังจะหาที่ปาร์ตี้กันตอนเย็นต่อ เพื่อนชาวมิลานบอกว่าให้ไปแถว Navigli District เป็นย่านกลางคืนริมคลองของชาวมิลาน
Navigli District เป็นย่านกลางคืนริมคลองของชาวมิลานชอบมาแฮงค์เอาท์กัน มีคลองตัดผ่านตรงกลางแต่ช่วงที่เราไปนั้นน้ำแห้งเหลือเกิน จึงเดินเล่นรอบๆ หาของอร่อยกินกัน เจอไอศกรีม Amorino ไอศกรีมที่ทำเป็นดอกกุหลาบยอดฮิต จริงๆ ร้านนี้มีหลายสาขาถ้าตามที่ดังๆ คนแน่นมาก แต่ร้านนี้ที่ Navigli คนไม่เยอะเลย ถ้าใครสายปาร์ตี้ปิดท้ายวันสวยๆ อย่าลืมแวะมาจิบไซน์ กับชีสอร่อยๆ ที่นี่ได้นะ ดีงามมาก ทั้งบรรยากาศ ผู้คน และร้านต่างๆ
ส่วนใครที่มาถึงอิตาลีแล้วต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปฝากเพื่อนและครอบครัว เราแนะนำให้ไปที่ร้าน EATALY นะ มีหลายสาขาครอบคลุมมิลานมาก ด้านในมีทั้งพวกครีมต่างๆ อาหารสด ขนมของฝาก และน้ำมันเห็นทรัฟเฟิล เห็นราคาถูกๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นของปลอมนะเพราะแท้ทั้งหมดร้านๆ แถมราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะ เลือกกันได้ตามสบาย เราชอบทยอยซื้อของฝากตั้งแต่วันแรกๆ และค่อยๆ เก็บกระเป๋าไปด้วยเลย เพราะกลัวซื้อวันสุดท้าย อันนั้นก็อยากได้ อันนี้ก็อยากได้ สุดท้ายหน้ามืดใส่ของไม่พอไปอีก 555
DAY 3 in MILANO
วันที่ 3 ของการเที่ยวมิลาน บางคนอาจจะเริ่มเกาหัวแล้วว่าทำไมเที่ยวเมืองนี้นานจังวะ! 5555 เราบอกแล้วไงว่าถ้าจะเที่ยวแบบนักเดินทางมิลานก็มีที่เที่ยวเก๋ๆ ไม่แพ้ที่อื่นหรอก วันนี้เราออกจากโรงแรมกันแต่เช้ามาที่ Duomo Di Milano นี่คือโบสถ์แบบโกธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก และใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 500 กว่าปีด้วยปัญหาทางการเงินเอย ผู้รับเหมาเอย ทำให้มันกินเวลานานมากๆ แถมยังเป็นไม่กี่โบสถ์ที่เราสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองสวยๆ ได้ถึงบนยอดหลังคาเลยนะ มหาวิหารแห่งนี้โดดเด่นมากท่ามกลางเมืองมิลานด้วยสถาปัตยกรรมของมันและรูปทรงที่ดูอลังการ กลายเป็นว่าถ้าใครมาถึงมิลานแล้วไม่มาหรือไม่เห็นก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน
เรามากันตั้งแต่เปิดคือประมาณ 9 โมงเช้าเพราะคิดว่าคงใช้เวลาค่อนข้างนานแน่ๆ ตั๋วสำหรับที่นี่มีหลายประเภททั้งแบบเข้าด้านในโบสถ์อย่างเดียว หรือขึ้นมาบน Roof Top ก็มีให้เลือกอีกว่าเดินบันไดหรือจะขึ้นลิฟท์ เราเลือกแบบหลังจ่ายไปคนละ 17 ยูโรเบาๆ ซื้อผ่านทางออนไลน์ได้เลยนะที่ https://www.duomomilano.it/en/
เราเริ่มเที่ยวจากด้านบน Roof Top ก่อนเพราะไม่เคยไปมหาวิหารที่ไหนแล้วเค้าอนุญาตให้ขึ้นเดินเล่นบนหลังคาได้ 555 ที่นี่สวยมากจริงๆ เสาแหลมต่างๆ ด้านบนมันดูสวยแต่น่าเกรงขาม ดูสง่าและชวนมองตลอด ยิ่งพออยู่รวมๆ กันกับอีกหลายเสาทำให้รู้สึกที่นี่มีพลังจริงๆ เราใช้เวลาเดินเล่นรอบๆ ด้านบน Roof Top ประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมกับชมวิวรอบๆ ไปด้วย ด้านบนนี้สามารถเดินได้เป็นวงกลมแบบ 360 องศากันเลย
แวะมาดูด้านในกันบ้าง สำหรับเราด้านในนั้นไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก เราว่าเสน่ห์ของที่นี่อยู่บนหลังคามากกว่าจริงๆ ด้านในก็เหมือนโบสถ์คริสต์ทั่วๆ ไปในต่างประเทศเลย ไม่ได้หวือหวาหรือสวยจนต้องร้องว้าวเท่าไหร่!
ส่วนถ้าใครอยากได้วิวมุมสูงขึ้นมาหน่อยและมี Duomo อยู่ด้านหลังนั้น เชิญค่ะไปที่ Museo Del Novecento เป็นมิวเซียมเล็กๆ รวบรวมงานศิลปะ แต่ชั้นบนสุดของมิวเซียมนี้จะมีห้องโล่งๆ อยู่ห้องนึงหน้าต่างเป็นกระจกทั้งห้อง และเห็นวิว Duomo แบบเต็มๆ แต่น่าเสียว่าเราไปตอนที่เค้ากำลังจะมีงานกันพอดีเลยมีเปียโนตัวนึงมาตั้งขวางไว้ แต่ก็ทำให้ได้มุมเก๋ๆ สะท้อนขึ้นมาก็สวยไปอีกแบบ แนะนำเลยว่าควรมาถ่ายรูป
ช่วงบ่ายเราไปต่อกันอีกมิวเซียมนึง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไม่ใช่สายมิวเซียม มีเวลาน้อยและอยากจะแวะแค่ที่เดียวเราแนะนำให้มาที่ Bagatti Valsecchi ที่นี่เป็นบ้านของนักสะสม 2 พี่น้องชื่อว่า Barons Fausto และ Giuseppe Bagatti Valsecchi ทั้งสองเก็บผลงานศิลปะต่างๆ ตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูศิลปะวิทยาการ ไล่มาเรื่อยๆ ปัจจุบันที่นี่ตกแต่งและรื้อโครงสร้างของบ้านให้เป็นแบบ Neo-Renaissance style ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ของอิตาลีช่วงยุคศตวรรษที่ 15-16
และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปชม แถมถ่ายรูปได้ทุกมุมด้วยค่าเข้าเพียงคนละ 10 ยูโรเท่านั้น สำหรับเราคุ้มมาก เพราะด้านในส่วนจริงๆ ทุกอย่างดูอู้ฟู่ อลังการ ยิ่งห้องโถงที่เป็นเมืองห้องจักรวาลหรือดูดาวนี่แหละ โอ้โห ตายไปเลย สวยมากๆ และห้องที่รวบรวมชุดอัศวินไว้ก็ดูมีเสน่ห์ แต่ถามว่าให้มาเดินดูเปลี่ยวๆ คนเดียวเอามั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่เอาจ้ะ อิอิ
และมิวเซียมนี้ตั้งอยู่ในย่านช๊อปปิ้งระดับโลกที่รวบรวมร้านแบรนด์เนมไว้เยอะที่สุดเป็นอันดับ 2 ของอิตาลีคือย่าน Via Monte Napoleone พอเราเดินเข้ามาย่านนี้ปุ๊ป! มันมีความรู้สึกสวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถนนสะอาดสะอ้านมากก บรรยากาศเหมือนอยู่ในหนังยุโรปแบบสวยๆ ที่เดินอยู่ผู้ชายก็ต้องเหลียวมาดู 555 แถมผู้คนพลุกพล่านแต่ดูไม่จอแจ ต่างคนต่างจดจ้องกับแบรนด์เนมที่ตัวเองอยากได้ เป็นบรรยากาศของการช๊อปปิ้งย่านนี้
Starbuck Roastery Milan
บางคนอาจจะเคยได้ยินการต่อต้านของคนอิตาเลียนบางกลุ่มของการเข้ามาของ Starbuck แบรนด์กาแฟชื่อดังจากอเมริกาที่เจ้าของได้แรงบันดาลใจจากตอนที่มาเที่ยวอิตาลีนี่แหละ อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนอิตาเลียนนั้นชอบและรักการกินกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ และคนท้องถิ่นก็ทำกาแฟได้อร่อยและเป็นเอกลักษณ์มากๆ อยู่แล้ว การมาของ Starbuck นักลงทุนจึงเรียกว่าใจกล้าที่บุกถิ่นกาแฟ แต่สำหรับเราที่ไม่ใช่คอกาแฟ เราว่าเค้าจัดร้านใหม่นี้ได้สวยมากเลย ดูหรูหราและมีราคาขึ้น ร้านนี้ดัดแปลงจากอาคารไปรษณีย์เดิมให้คงความเก๋าด้านนอกไว้ทั้งหมดและทำให้ด้านในดูทันสมัยและชิคขึ้น ที่ชอบมากๆ คือมีเครื่องคั่วกาแฟอยู่กลางร้าน ใหญ่ สวยงาม และอลังการจนได้ชื่อว่าเป็นร้าน Starbuck ที่สวยที่สุดในโลก ถ้าใครแวะมาเที่ยวมิลานอย่าลืมมาสัมผัสบรรยากาศของร้านนี้กันนะ มันใหญ่และสวยกว่าที่ซีแอตเทิลต้นตำรับซะอีก
Rinascente
สำหรับสายช๊อปปิ้งที่กลัวจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือไม่รู้จะเริ่มซื้ออะไรจากตรงไหนดี เราแนะนำให้มาเดิน Rinascente ห้างของเครือเซ็นทรัลที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ Duomo เลย ที่นี่เป็นห้างของคนไทยแท้ๆ 100% มีแผนที่บอกตำแหน่งต่างๆ ในห้าง ต้องการซื้ออะไรตรงไหน Rinascente พร้อมให้บริการคนไทยมากๆ สำหรับสมาชิก The 1 เพียงโชว์หน้า Home ของ The 1 Application หรือบัตร The 1 สามารถรับส่วนลด 10% และสะสมคะแนน The 1 ได้ที่ห้าง Rinascente
หรือถ้าใครไม่รู้จะซื้อแบรนด์เนมอะไร ชั้นบนสุดของห้าง Rinascente ก็มีโซนพวกขนมและของฝากต่างๆ เอาไปฝากได้ และชั้นบนสุดของห้างนี่แหละมีร้าน Roof Top เด็ดอยู่ คือติดอันดับ 1 ใน 10 ของ The Best Rooftop in Milan เลย ชื่อว่าร้าน MAIO ร้านนี้เป็นร้านที่เสิร์ฟทั้งอาหารกลางวันและอาหารเย็น โดยอาหารเย็นจะเสิร์ฟแบบ Couse Menu ส่วนอาหารกลางวันจะมีเป็น A la carte ให้สั่งได้ตามใจชอบ ใครจะมาที่นี่ต้องจองโต๊ะด้วยนะ เพราะเต็มเร็วมาก อย่างเราเลือกมาทาน Dinner กันเก๋ๆ ส่งท้ายวันดีๆ ในมิลานก่อนไปเล่นสกีรีสอร์ทกันก็ บอกตรงๆ คาดหวังวิว Sunset ที่นี่มาก!
เราจองโต๊ะไว้ประมาณ 05.30 วิวของ Roof Top ที่นี่อยู่ขนานกับ Duomo เลย เพราะฉะนั้นจะนั่งตรงไหนของร้านก็เห็นวิวแน่นอน เราให้ทางร้านแนะนำเครื่องดื่มให้ นางเสิร์ฟมาเป็นน้ำพั้นซ์ที่เปรี้ยวหวานลงตัวมาก และซักพักก็เติมแชมเปญลงไปให้ดื่มกันลื่นคอมากยิ่งขึ้นกับหอมนางรมสดตัวใหญ่ๆ ที่ซดกันเพลินบวกกับวิวสวยๆ ตอนนี้ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
เรานั่ง Enjoy the moment กันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดฟ้าก็มืดแล้วเราก็เริ่ม Main Course บอกตรงๆ อาหารที่นี่รสชาติดีเลยหละ ใช้วัตถุดิบดี สด ใหม่ โดยเฉพาะอาหารทะเลอย่างเนื้อปลา กุ้งล็อบสเตอร์ หรือว่าหอย ล้วนสดใหม่ทั้งนั้น แถมราคาก็ไม่ได้แพงจนโอเวอร์ อยู่ในระดับที่คนธรรมดาๆ อย่างเราเอื้อมถึงและรับได้ ถ้าใครมาเที่ยวมิลานก่อนกลับบ้าน อยากให้ลองหาร้านอาหารดีๆ ทานเป็นการตอบแทนตัวเองซักครั้ง เราว่าเลือกที่นี่ดูวิว Duomo จิบแชมเปญกับเพื่อนๆ ในบรรยากาศสบายๆ เราว่าเป็นอีกโมเมนท์นึงที่น่าจดจำจริงๆ
It’s SKI TIME!
แม้ว่าอากาศในเมืองมิลานจะอุ่นขึ้นมานิดนึงแล้ว แต่บนยอดเขารอบๆ มิลานนั้นยังหนาวมากอยู่! เราเดินทางไปช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งปีก่อนๆ หิมะยังตกหนักและปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ช่วงนี้เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ทำให้ช่วงที่เรามาไม่มีหิมะตกใหม่แล้ว แต่ความหนาและนุ่มของหิมะฝั่งยุโรปนั้นเรียกได้ว่าคุณภาพดีงาม ยังสามารถเล่นกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่!
รอบนี้เป็นครั้งแรกของเราพวกที่ได้มาพักผ่อนที่ Club Med Pragelato เป็นครั้งแรกที่ได้มาพักฝั่งยุโรป ปกติเคยไปพักแถบโซนเอเชียทั้งอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น จีน และมัลดีฟส์ แต่ Club Med จริงๆ แล้วนั้นต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศสนี่คือเป็นครั้งแรกเลยที่ได้มาพักผ่อนแถบนี้ ความพิเศษของ Club Med คือเป็น All Inclusive Resort หมายความว่าจ่ายทุกอย่างแค่ครั้งเดียวก็รวมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทั้งอาหาร ที่พัก และเครื่องดื่มรวมถึงกิจกรรมอย่างสกีต่างๆ ก็รวมค่าสอนไว้หมดแล้ว!
ห้องพักที่ Club Med Pragelato เป็นบ้านหลังๆ Chalet Style ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะคะ วันไหนที่หิมะตกหนักๆ ปกคลุมหลังคาทุกหลัง ตอนกลางคืนเปิดดวงไฟสีส้มจากข้างในห้องพักจะโรแมนติกแค่ไหน แค่คิดเนี่ยก็อยากจะมีแฟนเร็วๆ แล้ว เขินเลยอะแก .. แต่ใช่ว่าช่วงนี้จะไม่สวยเพราะฟ้าใสมาก อากาศก็อบอุ่นขึ้นมาแต่ก็ยังอยู่ราวๆ -1 – 5 องศา มีหิมะคลุมตามพื้นอยู่นิดหน่อย เห็นเป็นสีเนื้อไม้ของบ้านแทน เอาจริงๆ เรากลับชอบแบบนี้มากกว่าเพราะไม่แฉะเวลาเดิน แล้วแต่คนชอบเนอะ อยากจะลองมาตอนหิมะตกเยอะๆ บ้างเหมือนกัน แต่นั่นแหละ.. ต้องมีแฟนก่อนนะคะ
Greeting and Feel Free to Chit – Chat with your GOs
เอกลักษณ์อย่างนึงของ Club Med ทุกๆ ที่ทั่วโลกอย่างนึงที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากๆ ทุกครั้งที่มาพัก คือการมี G.O. หรือ Gentle Organizer ซึ่งเป็นชื่อเรียกพนักงานของที่นี่ ซึ่งแตกต่างจากพนักงานโรงแรมทั่วๆ ไปที่มีหน้าที่คอยบริการแต่ G.O. มีหลายเชื้อชาติและพูดได้หลายภาษามากๆ จะคอยสร้างรอยยิ้มและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เข้ามานั่งคุย ชวนไปเล่นสกี มันทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ของหาย น้ำไม่ร้อน ชักโครกกดไม่ลง หรืออยากได้ผ้าห่มเพิ่มก็คุยกันง่ายแบบรู้เรื่อง เพราะที่นี่ต้องการให้แขกทุกคนรู้สึก Feel Free to Communicate ตลอดเวลา น่ารักปะหละ แถมทุกๆ คืนเวลาประมาณ 20.00 จะมีโชว์พิเศษเปลี่ยนธีมไปตามวันกับเหล่า G.O. ด้วยนะ
ด้วย Nature ของคนฝั่งยุโรปที่เล่นสกีเป็นตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ มีอุปกรณ์สกีเป็นของตัวเองตั้งแต่แม่ยังไม่ส่งเข้าอนุบาล เลยขอบอกเป็นข้อมูลไว้ก่อนว่าสกีรีสอร์ทฝั่งยุโรปส่วนใหญ่จะไม่มีของพวกนี้ให้ยืมฟรีๆ แบบที่เอเชีย แต่จะมีให้เช่าให้ราคาที่ถูก สำหรับแขกของโรงแรมโดยเฉพาะ ถ้ามาถึงหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าที่พักอะไรเรียบร้อย แนะนำว่าตอนเย็นก่อนจะไปเล่นสกีเช้าวันรุ่งขึ้นควรมาเช่าอุปกรณ์ที่ตัวเองต้องการให้เรียบร้อย จะเล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ดหรือเดิน Trekking ชิวๆ ก็ได้หมด อ้อ! ที่นี่มีคลาสสอนกันให้ฟรีด้วยนะ เพียงแค่ต้องไปลงทะเบียนเรียนก่อนที่ Reception โดยมีให้เลือกหลายคลาสเลยตั้งแต่เริ่มต้น ยันชั้นโปร! แนะนำว่าให้วัดไซส์ต่างๆ ให้พอดี ลองเดิน ลองวิ่งให้เรียบร้อยเพราะมันจะแน่นเท้ามาก
และก่อนออกไปเที่ยวเล่นสกี หรือเพื่อนๆ คนไหนกำลังจะไปเที่ยวที่หนาวๆ อย่าลืม! พก Smooth E WhiteTherapie ไปด้วยนะ นี่เป็นโลชั่นที่เราใช้กันจริงๆ ในทริปนี้และมีส่วนมากๆ ในการช่วยฟื้นบำรุงดูแลปัญหาผิวให้สวยกระจ่ายใจได้ง่ายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ Smoot E เป็นเวชสำอางที่นำส่วนผสมและวัตถุดิบนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา มั่นใจได้เลย ไม่ว่าอากาศจะแห้งหรือหนาวแค่ไหน เพียงทา Smooth E ก่อนออกไปทำกิจกรรมก็ช่วยดูแลให้ผิวไม่คัน ไม่แห้ง ไม่เป็นขุยด้วยนะ อย่างมาหนาวๆ แบบนี้ก่อนออกไปเล่นสกีก็ต้องบำรุงด้วยแหละ สวยแค่หน้าอย่างเดียวไม่ได้นะคะ ผิวก็ต้องดีด้วยเด้ออออ
อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็น All Inclusive Resort เพราะฉะนั้นค่าเรียนสกีไปที่อื่นอาจต้องจ่ายเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ที่นี่เราสามารถเรียนได้ฟรีๆ จากครูของ Club Med แถมมีให้เลือกหลากหลายระดับด้วยนะ ข้อควรระวังสำหรับการขึ้นไปเรียนคือถ้าเล่นไม่แข็งควรอยู่รวมเป็นกลุ่ม อย่าแตกแถวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ตอนเราขึ้นไปเล่นด้านบนต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป ความน่ารักคือเด็กๆ ชาวยุโรปที่เล่นกันเก่งเหมือนเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด เฟี้ยวฟ้าวกว่าพวกเราเยอะ 555
นอกจากความ Inclusive แล้วยังมีความ Exclusive เพิ่มเติมนั่นก็คือกระเช้าเหล่านี้ที่เอาไว้ใช้ขึ้นไปบนเขาเพื่อเล่นสกีนั้นมีไว้สำหรับลูกค้า Club Med Pragelato เท่านั้น ทำให้ไม่ต้องกังวลเลยถ้ามาถึงแล้วด้านล่างไม่มีหิมะ แต่นั่งกระเช้าขึ้นไปประมาณ 10 นาทีเธอจะเจอกับหิมะที่ขาวโพลนน่าลงไปนอนเล่นแน่นอน
เราจะมีเวลาเล่นสกีจนถึงประมาณ 4 โมงเย็นของแต่ละวันก่อนที่เจ้าหน้าที่จะให้พวกเรากลับลงไปนั่งชิลกันต่อที่รีสอร์ทเพื่อความปลอดภัยของพวกเราเองเพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นภูเขา อาจจะเกิดอันตรายได้ถ้ามืดเกินไป กลับลงมาด้านล่างก็นั่งนึกอิจฉาคนที่อยู่แถวนี้ บทจะร้อนก็ร้อนจริง บทจะหนาวและชิลก็มีหิมะคอยปลอบใจ วิวก็สวยเหลือเกิ้นนน อิจฉา!
อาหารที่ Club Med Prajelato เราบอกได้เลยว่าโคตรรพรีเมี่ยมเพราะมีทั้งอาหารทะเล สเต็กเนื้ออร่อยๆ และไอศกรีม Jelato เป็นถังๆ ให้เราเดินกินกันตามมื้ออาหารได้ทั้งวัน เลยนะ ที่สำคัญต้องย้ำอีกรอบว่าเป็น All Inclusive ฟรีทั้งหมด
แต่ถ้าอยากพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีก ที่นี่มีห้องอาหารบางห้องที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมชื่อห้องอาหาร La Tana เป็นห้องอาหารอิตาเลียนแท้ๆ ให้เราชิมชีสกับไวน์ที่เก็บไว้เป็นอย่างดี พร้อมกับ Fondue ชีสหอมๆ กับขนมปังเหนียวนุ่มที่อร่อยมาก กว่าจะรู้สึกเลี่ยนก็เกือบจะหมดหม้อกันแล้วอะ!
ความ All Inclusive นี้ยังรวมถึงแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่มีให้ดื่มกันอย่างเต็มที่ไม่จำกัดด้วยนะ!
เช้าวันต่อมาเราไป Snow Trekking กันสวยๆ จะบอกว่ามันเดินยากกว่าที่คิดมาก ตอนแรกนึกว่าจะแข็งๆ เหมือนเดินบนดินที่ไหนได้ โอ้โห.. ล้มกันโบ๊ะๆ บ๊ะๆ หน้าคะมำก็มี ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ๆ เดินนำ ช่วยเรากันได้เยอะจริงๆ แต่สนุกมากเลยนะ วิวสวย อลังการมองไปทางไหนก็ขาวโพลน ยิ่งถ่ายรูปออกมาหน้าจะใสเป็นพิเศษเลยเพราะหิมะมันสะท้อนขึ้นมา
ความเก๋และดีงามของที่นี่อีกอย่างนึงคือสระน้ำอุ่นในร่ม! ให้ฟีลลิ่งเหมือนมาแช่ออนเซ็น แนะนำว่าเล่นสกีมาเหนื่อยๆ ปวดขาจากการมาเดิน Trekking สระน้ำอุ่นนี้ช่วยได้เยอะมากจริงๆ นะ สบายเนื้อสบายตัว คลายกล้ามเนื้อได้เยอะเลย
Smooth E White Therapie ที่เราพกมาใช้ระหว่างทริปนั้นมันทำให้เรามั่นใจอีกอย่างนึงคือ ‘ใช้ของที่มีสรรพคุณ’ ในการช่วยแก้ปัญหาผิว 5 อย่างด้วยกันคือ ช่วยลดรอยคล้ำและแผลเป็น / ช่วยลดรอยแตกลาย / ช่วยฟื้นฟูและสร้างสมดุลให้กับผิว / รักษาความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำให้ผิวของเรากระจ่ายใสอยู่เสมอ เหมาะมากๆ สำหรับสาวผิวแห้งและแพ้ง่าย Smooth E ทำให้รู้เลยว่าเวชสำอางไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแถมมีกลิ่นหอมอีกต่างหาก ส่วนตัวเราชอบนะ แช่น้ำอุ่นเสร็จก็หยิบครีมมาทาบำรุงกันซะหน่อย กลิ่นหอมดูแพง ราคาไม่แรง และช่วยให้การเที่ยวหนาวๆ แบบนี้ผิวไม่คัน ไม่เป็นขุยด้วยจ้า เอ้อ! อีกอย่างคือที่นี่มี Saunaให้ ใช้ฟรีกันด้วยนะ เล่นสกีเสร็จ แช่น้ำอุ่น อบ Sauna จะช่วยให้เราคลายกล้ามเนื้อ แต่ผิวที่เจอทั้งเย็นจัดและร้อนจัดจะขาดความสมดุลได้ เพราะฉะนั้น Smooth E White Therapie จะช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวเรา คืนน้ำให้กับผิว ยืดหยุ่นสวยงาม
เป็นทริป 8 วันที่แฮปปี้มากสำหรับพวกเรา เพราะได้เจอกันอากาศดี มีแดดจ้า และได้เล่นสกีรีสอร์ทบนหิมะนุ่มๆ แถมผิวยังไม่แห้งเสียเพราะมี Smooth E WhiteTherapie และ Smooth E Skin Therapie ติดมาด้วย บอกกันตามตรงว่าเราใช้เองจริงๆ มาตลอดเพราะเป็นอีกแบรนด์นึงที่มี Travel Set ขนาดพอดีไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป ทำให้พกพาไปไหนมาได้ได้สะดวก เพื่อนๆ คนไหนกำลังมองหาครีมที่จะทำให้ผิวชุ่มชื่นไม่เป็นขุย กลิ่นหอมและดูมีสุขภาพดี ลองให้ Smooth E เป็นอีกหนึ่งสิ่งดีๆ ที่น่าประทับใจและช่วยคลายกังวลกันเรื่องผิวดีมั้ย
ก่อนกลับกรุงเทพเราสามารถจาก Club Med Prajelato ไปยังสนามบิน Milan Malpensa ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อนๆ สามารถเช็คอินก่อนการเดินทางได้ 24 ชั่วโมงแถมเลือกที่นั่งล่วงหน้าได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านทาง THAI Application แอปใหม่ล่าสุดของการบินไทยที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางของพวกเราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และอาหารบนเครื่องนั้นก็เรียกได้ว่าแทบร้องไห้ตอนพี่แอร์เดินมาบอกว่า ‘วันนี้มีพะแนงหมูนะคะ’ โอ้โห..ไม่มีสายการบินไหนในโลกให้ได้
แถมมิลานบินตรงด้วยเครื่องใหม่อย่าง A350-900 มี Live TV Onboard และกล้องบริเวณหางเครื่องบินให้ดูวิวสวยๆ
สำหรับเราในทริปนี้มันอิ่มมากจริงๆ! ทำให้รู้ว่าหลายๆ เมืองที่มีคนบอกว่าไม่มีอะไร มันกลับเซอร์ไพรส์เราในหลายอย่าง ทำให้เราได้เห็นมุมอื่นๆ ของมัน ทำให้เราได้ลอง Explore และ Experience กับคนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่เสมอเป็นรสชาติของการเดินทางที่ยอดเยี่ยมและกลมกล่อมตลอดเวลา Milan – Prajelato – Lake Como เป็น Destinations ที่ไม่ควรพลาดสำหรับการมาทำตัวสวยๆ เป็นสาวผิวดีที่นี่ J