ตั้งแต่ประเทศนี้เริ่มฟรีวีซ่าให้คนไทย เราก็ไม่แปลกใจเลยถ้าถาม Wishlist ของเด็กจบใหม่ว่า “หนูๆ อยากไปเที่ยวที่ไหนค้า หรือ งบน้อยเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกไปที่ไหนดีค้า” นอกจากฮ่องกง สิงคโปร์ มาเก๊าที่ดูจะฮิตติดโผตั้งแต่ยายพึ่งรับปริญญาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ก็เพิ่มไต้หวันเข้ามาอีกในสมัยนี้
แต่เราก็ไม่แปลกใจเล๊ยยย ว่าทำไมใครๆ ก็อยากมาไต้หวัน ด้วยความที่นั่งเครื่องบินไม่นานเกินไป ค่าเงินใกล้ๆ บ้านเรา อาหารการกินก็ถูกปากที่สุดแถมมีให้เลือกกินได้ 24 ชั่วโมง จนบางคนบอกว่าที่นี่คือญี่ปุ่นน้อย แต่ชั้นว่าไม่! เพราะไต้หวันก็คือไต้หวัน เสน่ห์และความน่ารักของชาวไต้หวันนีสก็แตกต่าง และถ้าใครบอกว่า ประเทศนี้ไม่อะไร! เที่ยวครั้งเดียวก็พอ! บอกเลยว่าไม่จริง เพราะเธออาจจะเที่ยวซ้ำกับคนอื่น หรืออ่านแต่รีวิวที่ไปแต่ที่เดิมๆ แต่จริงๆ ไต้หวันเที่ยวเป็นสิบครั้งก็ไม่เบื่อหรอก เพราะมันมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติและงานอีเวนท์เก๋ๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยเลย
รอบนี้เราขอพาเที่ยวไต้หวัน 1 อาทิตย์เที่ยวไทเปและเมืองฮิตใกล้ๆ ก่อนนั่ง TRA ไปเล่นกิจกรรมมันส์ๆ ที่ ฮวาเหลียน แล้วชื่มชนธรรมชาติที่ Toroko National Park ก่อนไปนั่งกระเช้าดูวิวที่สวยจนได้รางวัลมิชลินที่ Sun Moon Lake รีวิวนี้เน้นให้เพื่อนๆ อ่านจบจนตามรอยได้ทันที เป็นแรงบันดาลใจที่ใช้เวลาไม่นาน บอกหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน ประกัน ที่พัก วิธีการซื้อตั๋ว และอีกมากมายที่จะทำให้ไต้หวันครั้งนี้ของเรา และครั้งหน้าของเพื่อนๆ พิเศษกว่าครั้งไหน แล้วตะโกนดังๆ ว่า “ไต้หวันครั้งเดียวมันไม่พอ!!!”
Day 1 Taipei As Usual
เราเลือกออกจากกรุงเทพไฟลท์หลังเที่ยงคืนเพราะมันจะมาถึงที่นี่ตอนเช้าตรู่แล้วสามารถเริ่มเที่ยวได้เลย นอนบนเครื่องซักงีบ ก่อนผ่านตม.ประเทศนี้มีที่อาบน้ำให้ด้วยนะถ้าอยากสดชื่น หรือติดต่อกับโรงแรมไว้ก่อนมาเผื่อเช็คอินได้เลย หรือเอากระเป๋าไปเก็บก็ยังดี แล้วเริ่มตระเวนทั่วไต้หวันได้ทันที วันแรกของพวกเราเลยอยู่กันอย่างแบบสบายๆ ไม่อยากเหนื่อย ไมอยากเมื่อยยย เที่ยวเล่น เน้นกินจุ้บๆ จิ้บๆ ก็พอ!
Taipei Fish Market
ตลาดปลาที่นี่ไม่เหมือนของญี่ปุ่น เพราะเค้าทำเหมือนห้างสรรพสินค้า ที่เราสามารถเดินเข้าไปเลือกขาปู ปลาดิบ หอยเชล์ แซลมอน เยอะแยะมากมายได้ทันที ทั้งแบบเป็นๆ ซาซิมิหรือปรุงสุกแล้วก็อร่อยเลิศมากกก ทั้งสด ทั้งหอมเนียนนุ่ม ซาบซ่านที่สุด แถมยังมีของหวานที่อยากจะยกมือไว้แล้วแนะนำว่า “ซื้อเถอะ!” คือชีสเค้กรสชาติดีแบบ โอ้ยยยย ดีเกินไป
Chiang Kai-Shek Memorial Hall
ใครๆ ก็รู้แหละว่านี่คือแลนมาร์คของไต้หวัน เหมือนกรุงเทพมีอนุสาวรีย์ชัยฯ ตรงนี้ก็เหมือนกันเป็นอนุสาวรีย์ของ เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวันที่หนีสงครางในช่วงรัฐบาลสมัยเหมาเจ๋อตุง มาสร้างและพัฒนาไต้หวันให้เจริญก้าวหน้าจนทุกวันนี้
น่าเสียใจที่ช่วงเราไปนั้นปิดซ่อมกันพอดี เลยมีมีโอกาสได้เข้าไปดูทหารเปลี่ยนเวรยามด้านใน แต่จะบอกว่าสิ่งที่เราชอบมากๆ ของที่นี่คือพื้นที่มันเยอะ 5555 เดินไปไหนก็ได้ นั่งตรงไหนก็ได้ไม่ค่อยติดคน ยิ่งอากาศดีๆ ถ้าเที่ยวช่วงต้นปีหรือปลายปีคือดีงามมากกกก ซื้อชานมไข่มุกร้อนๆ ซักแก้วเดินเล่นชิวๆ ฟินไปอีก
Taipei 101 and Si Si Nan Cun Village
หมู่บ้าน ซื่อซื่อหนันซุน นี่เค้าว่ากันว่าเป็นหมูบ้านโบราณหมู่บ้านแรกตั้งแต่สมัยที่เจียง ไคเชกและทหารก๊กมินตั๋ง เริ่มย้ายเข้ามาที่เกาะไต้หวัน หมู่บ้านนี้ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี คือสามารถเข้าบ้านนู้น ออกบ้านนี้ ที่เดี๋ยวนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นร้าน คาเฟ่น่ารักๆ เต็มไปหมด ช่วงที่เราไปมีบางส่วนปิดซ่อมบำรุงเลยไม่มีโอกาสเดินดูรอบๆ แต่ด้านหน้าตรงทางเข้าจะมีเนินหญ้าสูงๆ เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ ฟังเพลง หรือถ่ายรูปคู่กับตึก Taipei 101 ที่เป็นฉากหลังก็ได้
เดินไปอีกนิดประมาณ 300 เมตร เราจะเจอกันแลนด์มาร์คของไทเปค่ะ นั่นก็คือตึก Taipei 101 นั่นเอง ตึกนี้ความสูงก็ตามชื่อนั่นแหละคือ 101 ชั้น + ชั้นใต้ดินด้วยอีกประมาณ 4-5 ชั้น มันคืออาคารที่สร้างไว้เป็นห้าง เป็นอาคารสำนักงานนั่นเอง แต่สามารถขึ้นไปดูวิวไทเปแบบ 360 องศาได้ที่ชั้น 89
ที่นี่เปิดตั้งแต่เช้ายันดึกเลยนะ เราแนะนำให้ซื้อบัตรกับ KKDAY สามารถเอา Voucher มาแลกชานมไข่มุกได้ที่ร้านขายของชำร่วยที่ชั้น 89 ได้คนละ 1 ขวด
วิวด้านบนนี่บอกก่อนว่าเราไม่ค่อยอินกับพวกจุดชมวิว เพราะไปเมื่อไหร่มันก็เฟลตลอด 5555 รอบนี้ก็สวย แต่ยังไม่พีค ถ้ามีเวลาว่างแบบเราวันแรกมาถึง ไม่อยากทำกิจกรรมที่เหนื่อยเกินไปก็มาที่นี่ก็ได้ ดูวิวสวยๆ ยามเย็นพระอาทิตย์ตก เกร็งหน้าถ่ายรูปซะหน่อยแล้วกลับโรงแรมนอน พร้อมลุยวันพรุ่งนี้ต่อ!!
DAY2 : Adventure Hualien!
Hualien หรือ ฮวาเหลียนนี่เป็นเมืองยอดนิยมมากๆ ของนักเดินทางเพราะมันสามารถไปต่อได้หลายที่ และเป็นเมืองชายทะเลแปซิฟิกที่มีอาหารทะเลอร่อยๆ และบรรยากาศดีๆ ยามเย็น รอบนี้เราตัดสินใจมาค้างที่ Hualien 1 คืนจะได้มีเวลาเที่ยวที่นี่และ Toroko National Park 2 วันเต็มๆ
บอกเลยว่าพีคที่สุดของการมา Hualien คือการจองตั๋วรถไฟ ซึ่งรถไฟแบบธรรมดาหรือ TRA ของที่นี่ค่อนข้างจำกัด และคนใช้บริการเยอะมากๆ ทำให้ถ้ามาเกาะหน้าเคาท์เตอร์บางทีอาจจะไม่มี แล้วนี่เดินทางกันที 7-8คน แน่นอนค่ะไม่เสี่ยงมาตายเอาดาบหน้าแน่ๆ เพื่อนๆ ควรซื้อก่อนให้เรียยร้อยก่อนมา ดูวิธีซื้อ TRA ละเอียดๆ เป็นภาษาไทยได้ที่ : www.1000milesjourney.com
Paragilder & River Trekking
ด้วยความตั้งใจตั้งแต่แรกว่าอยากมาทำกิจกรรมแบบ Adventure เบาๆ เลยพยายามอัด 2 กิจกรรม Adventure ภายในวันเดียว อันนั้นก็น่าเล่น อันนี้ก็น่าทำ อย่างแรกเลยที่ๆ ไม่คิดว่าจะมีให้ทำในไต้หวันคือการเล่น Paragilder (เดี๋ยวจะเขียนวิธีการจองทุกๆ กิจกรรม เครื่องบินและโรงแรมไว้ตอนท้ายนะ)
เครื่องบินที่เหมือนเครื่องบินที่เอากระดาษ A4 มาพับเล่นตอนเด็กๆ แล้วใส่เครื่องยนต์ทำให้มันบินได้ 55555 ตอนก่อนจะจองมาเห็นแล้วแบบน่าสนใจมาก บินเครื่องร่อนดูวิวรอบๆ ฮวาเหลียน นี่ไม่ใช่เหมือนกระโดดร่มแบบ Parasailing ที่มีเชือกรัดเป้าแล้วอึดอัดๆ นะ แต่มันคือเบาะนั่งแล้วมีคนขับ ทำให้เราสามารถเอ็นจอยกับวิวและอากาศหนาวๆ ฟินๆ ด้านบนได้แบบ 360 องศา
ฟีลลิ่งเหมือนนั่งเครื่องบินแบบเปิดประทุนนั่นแหละ เสียวแค่ตอน Take-Off นอกนั้นก็ตื่นตาตื่นใจมากๆ คุ้มค่า 15นาทีที่อยากมาลองเล่นที่สุด! ที่สำคัญแค่คนละพันกว่าบาทไปอี้กกก ถูกกว่ากรุงเทพอีกมั้งเนี่ย
Good to know
กิจกรรมนี้มันจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เราออกจากไทเปตอนเช้ามืดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงมาถึงฮวาเหลียน แล้วเริ่มไป Paragilder จนถึงเกือบเที่ยง เค้าจะมีรถรับ-ส่งจากโรงแรมที่เราพัก แล้วพากลับมาส่งที่เดิม เพราะฉะนั้นถ้ามีไปเที่ยวที่อื่นตอนบ่ายอีกก็ดูเวลาดีๆ แต่ทันแน่นอน มันต่อรองได้
ช่วงบ่ายเราไป Trekking กันต่อ แต่ไม่ใช่แต่สวมผ้าใบ สะพานกระติก แล้วเดินป่าเดินเขาธรรมดา แต่มันคือการ River Trekking! เดินป่าและสลับกับเดินสวนน้ำตกขึ้นไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 6 กิโลไปกลับ
ก่อนเดินนี่จะต้องสวมชุดเหมือนนักประดาน้ำกันก่อนแล้วเค้ามีอุปกรณ์ทุกอย่างที่ Safety มากๆ ทั้งรองเท้ากันลื่น หมวกกันน็อค คือลื่นก็ไม่ตายแค่เจ็บตัว 55555 ระยะทางก็จะเดินๆ ไปเรื่อยๆค่ะ จากริมถนนเข้าแและน้ำตก เหมือนเจ้าหน้าที่ทางหลวงมาทำทางและจุดอุโมงค์ แค่พวกเรามั่นหน้าว่าสวยมาก เลยไม่แคร์ อิอิ
ทางเดินก็มีช่วงที่ให้เราได้ชุ่มฉ่ำกับน้ำเย็นๆ และอากาศรอบๆ ตัวที่ประมาณ 15 องศา สลับกับเดินเลาะโขคหินเหมือนตามหาอังกอร์ไปเรื่อยๆ เอาจริงมันไม่ได้พีคแบบเหนื๊อยเหนื่อยขนาดนั้น แต่เดินให้สนุกและชนะใจตัวเองมากกว่า มีโมเมนท์ให้เล่นน้ำ กระโดดน้ำตกกับเพื่อนๆ เยอะแยะเลย เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ นะ อีกกิจกรรมที่ไม่ค่อยเห็นใครมาเล่นที่ไต้หวัน แต่ไปไง มาไง ไปค่า!
อ้ออ! อย่าเอากล้องหรือมือถือที่ไม่กันน้ำไปด้วยเด็ดขาดเพราะพังแน่นอน ควรพกพวก ActionCam หรือ โทรศัพท์มือถือที่กันน้ำไปด้วยจะสะดวกที่สุด
ตอนเย็นหลังจาก River Trekking เราแวะไปหาของอร่อยๆ กินกันต่อ ไต้หวันนี่ขึ้นชื่อมากเรื่องตลาดกลางคืน เราไปที่ Hualien Night Market เป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน และกว้างขวางแบ่งสัดส่วนไว้อย่างดี เราแนะนำอาหารทะเลสองร้านแรกด้านขวามือจากทางเข้าตลาด สด และอร่อยมาก หอยเชลล์กับกุ้งคือที่สุด ลองไปกินดูจะติดใจ!
DAY 3 : Toroko National Park
วันที่ 3 เราใช้เวลาทั้งวันในอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของไต้หวันคือ Toroko National Park หรือคนไต้หวันจะออกเสียงที่นี่ว่า ‘ไท่ลู่เก๋อ’ จากในเมืองฮวาเหลียนมาที่นี่ไม่ไกลมากนักไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ขนาดอุทยานนั้นกว้างมากๆ ซึ่งเที่ยวทั้งวันแบบต๊ะต่อนยอนยังไงก็ไม่ครบ สำหรับคนที่เดินทางกันเองเป็นกลุ่มเล็กๆ 1-3 คน สามารถใช้บริการบัสที่มีทั่วอุทยานได้โดยจะมีรอบรถติดไว้ตรงสถานที่สำคัญๆ แต่เวลามันค่อนข้างห่างกัน ถ้าพลาดที่นึงก็ต้องรออีกนาน
สำหรับเรามากันเป็นกรุ๊ปใหญ่ 7 คนเลยเช่า Private ทัวร์ให้เค้ารับส่งจากโรงแรมเลยจะสะดวกกว่าและคุ้มกว่ามากเพราะหารเฉลี่ยกันแล้วแพงกว่าไม่เท่าไหร่ แต่อยากแวะตรงไหนนานแค่ไหนก็แวะได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าจะตกรถมั้ย เราออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมงครึ่งโดยตกลงกับคนขับรถว่าจะไปประมาณ 5 ที่เท่านั้น เพราะแต่ละที่อยากใช้เวลาซึมซับ ไม่อยากเร่งๆ แล้วไม่อยู่ในความทรงจำ สวยมะ 555 จริงๆ คือไม่อยากเหนื่อยเกินไปเพราะต้องลุยอีกหลายวัน อยากชิวๆ ชื่นชมธรรมชาติมากกว่า
Qingshui Cliff
ตรงนี้เป็นวิวหน้าผาสูงๆ ที่มองลงไปแล้วสวยมาก เหมือนอยู่ยุโรปหรืออเมริกากำลังโร้ดทริปกันอยู่ แต่ไต้หวันเนี่ยมันอากาศแปรปรวนมาก เช้าแดด สายฝน กลางวันพายุ เย็นมาแดดออก คือเอาแน่เอานอนไม่ได้มากๆ เหมือนความรัก ตอนเราไปถึงตอนเช้าแดดอย่างแรง พอเราจะกลับปุ๊ปฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน แนะนำให้มาเช้าๆ เพราะแดดค่อนข้างแรงถ้าเจอแดดอะนะ และคนเยอะมากๆ ต้องใช้พลังในการหลบคนกันหน่อย
Swallow Grotto
อุทยานนี่มันเป็นหินแกรนิตที่ถูกน้ำกัดเซาะมานานทำให้มันมีช่องเล็กช่องน้อยที่เค้าเอามาทำเป็นเส้นทางสำรวจธรรมชาติต่อได้ อย่างเส้นนี้เค้าก็เจาะมันเข้าไปให้เป็นทางที่รถวิ่งได้ และสามารถเดินลึกเข้าไปในหุบเขาได้ด้วย บางช่วงมืด บางช่วงสว่าง หันไปทางขวาคือลำธารและหุบเขา ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
Eternal Spring Shrine
วัดฉางชุนเป็นวัดที่อยู่ริมหน้าผาแล้วด้านล่างก็มีน้ำจากใต้ดินผุดขึ้นมาไหลเป็นลำธารเลย ส่วนอีกฝั่งของวัดที่เราไปยืนถ่ายรูปกันคือคาเฟ่เล็กๆ ของอุทยานที่ขายชา กาแฟ ที่รสชาติไม่ดีเหมือนวิวและค่อนข้างแพงแต่ถ้าอยากได้วิวสวยๆ คนน้อยๆ ก็ต้องยอมแหละ เพราะด้านบนคนแน่นมาก เราเลยไม่มีโอกาสได้เดินเข้าไปในวัดเลย
จริงๆ ก่อนเข้าไปในเขตอุทยานควรแวะซื้อพวกน้ำ แซนวิชและขนมขบเคี้ยวติดตัวไว้ก่อนด้วยเพราะด้านในหากินค่อนข้างยาก หรือถ้ามีให้กินรสชาติก็ไม่ค่อยโอเค เราไปแวะ Visitor Center ตรงนั้นจะมีอาหารขายเป็น Set Menu จำราคาที่แน่นอนไม่ได้ แต่เหมือนกินข้าวในสวนสนุกอะ 5555 ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่ก็ไม่ได้อร่อย งงมะ คือกินได้ว่างั้นเถอะ
Shakadang Trail
ช่วงบ่ายเราไปเดิน Shakadang Trail ตรงนี้จะต้องเดินจาก Lion Bridge ลงไปอีกประมาณ 100 เมตร ความตลกคือ สิงโตบนสะพานหน้าตามันทะเล้นมากๆ และไม่เหมือนกันซักตัว ลองไปสังเกตดูนะ ส่วนทางเดินเทรลเนี่ยประมาณ 4 กิโลเมตร แน่นอนค่ะว่าคนสวยๆ ลุยๆ กร้านโลกแบบพวกเรานั้น ไม่เดิน! เพราะตอนช่วงเช้าเดินมาแล้ว พอ! เพราะฉะนั้นก็ลงไปถ่ายรูปกรุบกริบพอเป็นพิธีว่ามาถึงแล้วนะจ้ะ
Qixingtan Beach
ที่สุดท้ายที่ให้ลุงคนขับรถที่เราจ้างไว้สำหรับ Private Tour พามาคือ Qixingtan Beach เมื่อเช้าแดดยังดีๆ พอตกเย็นกลับกลายเป็นวันที่ดูเหงาที่สุดในโลกซะงั้น อากาศที่แปรปรวนทำให้หาดทรายที่น่าจะคึกคักดูเหง๊าเหงา แต่ก็แค่ในภาพแหละค่ะ เพราะความจริงแล้วรอบๆ นั้นขายมันเผา ปลาหมึกปิ้ง น้ำผลไม้ เต๊มมมมม ไปหมด เรากลับชอบอากาศแบบนี้มากกว่าวันที่แดดแรงๆ คือมันนั่งได้เรื่อยๆ เมฆลอยต่ำๆ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ดูเหงา แต่หันไปก็เจอเพื่อน ?
ทัวร์จบประมาณ 6 โมงนิดๆ ใช้เวลาไปประมาณ 9 ชั่วโมงสำหรับ Toroko National Park ถ้าใครไปกับทัวร์หรือทำเวลาหน่อยๆ อาจจะเก็บได้เยอะกว่านี้แน่ๆ สำหรับเราแค่นี้ก็เพียงพอแล้วว เราจอง TRA จาก Hualien Station รอบประมาณ 2 ทุ่มให้ตัวเองพอมีเวลากินน้ำกินท่า ก่อนกลับไปนั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงไทเปแล้วจ้า!
Day4 SUN MOON LAKE
มาไต้หวันแล้วไม่ไป SUN MOON LAKE ก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่างอะเนาะ เพราะภาพดังๆ ในหัวที่เคยเห็นหรือรู้จักไต้หวันในมุมธรรมชาติครั้งแรกก็ที่นี่แหละ เรานั่ง Taiwan High Speed Rail หรือที่เรียกกันว่า THSR สามารถซื้อที่สถานี Taipei Main Station ได้เลยเพราะรอบวิ่งเยอะมาก ประหยัดเวลาแต่ไม่ค่อยประหยัดเงินเพราะราคาค่อนข้างแรง แต่ก็สะดวกทำให้เราได้เที่ยวครบๆ
เรานั่งมาลงที่เมือง ไถจง ( Tao Chung) ก่อนแต่เสียดายว่ารอบนี้เวลาน้อยเลยไม่ได้เที่ยวในเมืองเลย เพราะมาแบบเช้า-เย็นกลับ เลยพุ่งไปที่ SUN MOON LAKE เลย จากไถจงไปก็ประมาณ 1 ชั่วโมง จุดแรกที่เราตั้งใจจะไปกันคือ Formosan Aboriginal Culture Village เป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆ ในไต้หวันและมีสวนสนุกขนาดกลางไว้ให้เล่นด้วย ที่เราตัดสินใจมาที่นี่กันเพราะวิว! Ropeway จาก Sun Moon Lake ขึ้นมาที่หมู่บ้านวัฒนธรรมนี้ได้รับการจัดอันดับจากมิชลินว่าเป็นวิวที่สวยระดับ 3 ดาว คือดีงามจนได้ดาวเหมือนไข่เจียวปูร้านเจ๊ไฝเลย
แถมด้านบนยังร่มรื่นมากๆ ถ้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือช่วงที่เรากำลังลงรีวิวเนี่ยจะเห็นซากุระหลากหลายสายพันธุ์บานเต็มต้นไปหมด แต่ถึงไม่มีดีงาม เราชอบบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่มาก มันไม่พลุกพล่านดีเพราะกว้างมากๆ แถมวันที่ไปฝนยังปรอยๆ กลิ่นดินกลิ่นฝนทำให้สดชื่นเหมือนตัวเองเป็นโตโตโร่ 5555
อะ! แล้วเพื่อนชะนีเยอะไง นางก็ไปแต่งตัวเป็นชาวเผ่าต่างๆ กัน แล้วดูหน้าแต่ละนางซะก่อนบอกเป็นดาราใครก็เชื่อ ราคาก็ไม่แพงเลยนะ ใสใส เช่าใส่เดินเล่นในสวนก็เก๋ไปอี้กกก แถมมีอีเครื่องเล่นทั้งหลายแหล่ บอกเลยว่าโคตรมันส์
เสร็จจากหมู่บ้านวัฒนธรรม เรากลับลงมานั่งเรือเล่นรอบๆ Sun Moon Lake ท่าเรือในทะเลสาบจะมีทั้งหมด 3 ท่าด้วยกันคือ ท่าเรือ Shuishe ซึ่งเป็นท่าเรือที่รถบัสจาก อาลีซานและไถจงจะมาจอด / ท่าเรือที่เดินขึ้นไปเที่ยววัด Xuanzang Temple ชื่อท่าเรือ Xuangang และท่าเรือสุดท้ายที่ใกล้หมู่บ้านวัฒนธรรมที่สุดคือท่าเรือ Ita Thao เราขึ้นจากท่าเรือนี้แหละ คือถ้าใครมีเวลาเยอะๆ ก็ซื้อตั๋วครั้งเดียวแล้วแวะลงเป็นจุดๆ ไปก็ได้ ส่วนเราเวลาน้อย อีกอย่างฝนพรำๆ ด้วยจะแวะลงทุกจุดคงไม่ไหว เลยอาศัยนั่งกินลมเก็บบรรยากาศบนเรือไปเรื่อยๆ ก็ชิวดีเหมือนกันเด้อ รอบๆ ทะเลสาบก็จะมีพวกทางเดินศึกษาธรรมชาติ ทางปั่นจักรยาน และโรงแรมบางส่วนถ้ามีเวลาหลายๆ วันหน่อยแวะมาค้างที่นี่ซักคืนก็คงดี
ส่วนพวกเรานั้นไปต่อค่ะ ทีมงานไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย เรานั่ง THSR รอบประมาณหนึ่งทุ่มกลับไปนอนไทเป เพราะรถไฟความเร็วสูงมันแค่ประมาณชั่วโมงเดียวเองนั่งไปกลับได้สบายๆ เนอะ
DAY 5 One Day Trip – Outside Taipei!
วันท้ายๆ ของทริปเราก็แพลนไว้ว่าจะออกสายๆ หลังจากบุกป่าฝ่าดง ไปนู่นไปนี่มาหลายวันติดๆ กัน เราเลือกออกไปชิวรอบๆ ไทเปกับสถานที่ยอดฮิตใกล้ๆ อย่าง Yehliu Shifen และ Jiufen เราเช่า Private Tour เหมือนเดิมคือมีลุงคนขับมารับถึงที่และมาส่งในตอนเย็นๆ แต่ต้องดีไซน์ทริปเองว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนก่อนหลังภายในเวลา 8 ชั่วโมงตามเส้นทางนี่แหละ ถ้าทำเวลาทันจะแอด Pingxi หรือ หมู่บ้านแมวไปเพิ่มก็ยังได้ แต่… วันที่เราเที่ยวฝนตกตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเย็น จะไปที่ไหนก็ต้องหลบฝนตลอดเวลา จนบางทีก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้! แต่มันก็การเดินทางอะเนอะ มีหลายรสชาติ จะโชคดีไปตลอดก็คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
เราแวะที่แรกคือ Yehliu Geopark อุทยานหินทรายริมทะเลที่โดนน้ำกัดเซาะ จนเป็นรูปทรงต่างๆ ให้คนจินตนาการเช่นรูปเศียรราชินี แต่เราว่าคนมันเยอะมากๆ และถ่ายไม่ค่อยสวยด้วย มันจะมีทางโค้งก่อนถึงอุทยานจะมีหินและหน้าผาริมทะเล คนนิยมไปยืนถ่ายรูปตรงนั้นกันมากกว่า จริงๆ มันก็ดูเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานนะ คนขับรถบอกมา สวยไม่แพ้กันเลย
ฝนห่าใหญ่เริ่มตกมากขึ้นเราไปต่อกันที่หมู่บ้าน Shifen เป็นที่ ที่มีน้ำตกไนแองการ่าของไต้หวัน! ใหญ่โตสมชื่อและสวยจริงๆ แถมยังมีทางรถไฟสายโบราณที่ตรงไป Pingxi ด้วยนะ และถ้าอยากปล่อยโคมโชคดีก็ปล่อยได้ที่หมู่บ้านนี่เหมือนกัน เหมือนงานยี่เป็ง ลอยกระทงของเชียงใหม่อะ แต่ที่นี่พีคกว่าคือปล่อยแบบไม่มีเวลาร่ำเวลาเลย เช้า สาย บ่าย เย็น ปล่อยหมด แล้วกระดาษแต่ละสีก็มีความหมายในการอวยพรแตกต่างกัน พร้อมเขียนคำอธิษฐานลงไปจ้า
ที่สุดท้ายของวันคือ Jiufen ยิ่งดึกฝนยิ่งตกหนัก เราขอไม่รีวิวอะไรมากมายกับที่นี่เพราะเคยรีวิวมาแล้วในรีวิวก่อนหน้า แม้ว่ารอบนี้จะอยู่ถึงดึกถึงดื่นแต่ฝนก็กระหน่ำมาแรงขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่หยุดไม่หย่อน คนไปไต้หวันเนี่ยนะ สิ่งที่ควรเตรียมไปมากที่สุดคือร่มหรือเสื้อกันฝน เพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนอากาศจะเป็นยังไง เปลี่ยนแปลงเร็วมากๆ
ที่ Jiufen แนะนำให้กินไอศกรีมผักชี และพวกบัวลอยเผือกสีต่างๆ เหมือนเต้าทึงน้ำลำไยอะ สดชื่นเชียวหละ!
Day 6 Chill out Taipei
วันสุดท้ายในไทเป เป็นวันที่เราแนะนำให้ทุกคนปล่อยฟรีเหมือนเรา คือตื่นสายๆ ทำตัวสวยๆ เหมือนสาวไทเปในวันหยุด เข้าคาเฟ่นั่งชิว จิ้มมือถือ ตกบ่ายไปช๊อปปิ้ง เดินดูมิวเซียม แค่นั้นแหละค่ะก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับวันสุดท้าย เราขอแนะนำย่านสุดชิคเหมือนนิมมานฯ เชียงใหม่ คือ Fujin Street ถนนขึ้นชื่อเรื่องความฮิป ถิ่นกาแฟและร้านค้าสวยงาม ราวกับเด้งหลุดออกจากแมคกาซีน ที่กระจุกตัว แทรกซึมไปกับบ้านเรือนและร้านโลเคิลๆ พอดีว่าวันที่ไปฝนตกทั้งวัน เลยจะฝังตัวอยู่ในร้านใดร้านนึงนานหน่อย อ่อ…ร้านกาแฟที่นี่ บังคับสั่งขั้นต่ำคนละ 1 แก้วนะ พวกขนม/อาหารเนี่ย ก็ไม่นับนะจ้ะ
บ้านเรือนในย่านนี้หลายๆ หลังถูกดัดแปลงมาให้เก๋ ฮิป ชิค คูล บ้างเป็นสตูดิโอ บ้างเป็นร้านหนังสือ บ้างเป็นร้านแบรนด์ดังอย่าง BEAMS ก็อยู่แถวย่านนี้เหมือนกันนะ เอาเป็นว่ามาฝังตัวนั่งในร้านดีๆ ซักร้านนึงได้ทั้งวันเลยแหละ
แล้วเคยเป็นกันปะ?! เวลาเที่ยวๆ อยู่ต่างประเทศแล้วอากาศเปลี่ยน คนเราก็จะป่วยแบบมีอาการไอค่อกๆ แค่กๆ น้ำหูน้ำตาน้ำมูกไหล เจ็บป่วยออดแอด จนรู้สึกเที่ยวไม่สนุก ซึ่งจริงๆ กินยานอนพักให้ตัวเองปรับตัวแปปนึงก็หายแล้ว แต่เจ้ากรรม! พระเจ้าสร้างมนุษย์มาพร้อมกับความวิตกจริตล้านแปด ไอนิดหน่อย น้ำมูกไหล เปิด Google สันนิษฐานกันเป็นคุณหมอ “ชั้นเป็นมะเร็งแน่เลยแก” 55555 อย่าปฏิเสธว่าไม่เคย เพราะทุกคนเคยมีอาการนี้แล้วพาลให้เที่ยวไม่สนุกกันทั้งนั้น แต่วันนี้ชีวิตจะเบาใจลง เพราะประกันชีวิต Cancer Knockout คือประกันโรคมะเร็งที่น็อคทุกค่าใช้จ่าย ด้วยวงเงินสูงสุด 3 ล้าน 3 แสน และจ่ายเพิ่มค่าฉายรังสีอีกสูงสุดถึง 1.2 ล้านบาท คืออีกหนึ่งตัวเลือกดีๆ ที่จะคลายความวิตกจริตของเพื่อนๆ 55555 Cancer Knockout เข้าใจและช่วยคลายทุกความกังวล ถ้าเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็พร้อมจ่ายทุกระยะ ทุกมะเร็ง ทันที!!! และยังพร้อมดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุดในทุกระยะ เป็นกำลังใจให้กันจนกว่าจะหายเลยนะ ทำให้คลายกังวลลงไปได้เยอะเลยแหละ แต่ถ้าเจ็บป่วยนิดหน่อยระหว่างเดินทาง เธอก็อย่าพึ่งมโนไปเอง รักษาตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นไฟท์เตอร์ไปพร้อมๆ กับไปไง มาไงและให้เอฟดับบลิวดี ช่วย จ่ายเต็มหมัด จัดเต็มแรงนะฮ้า แค่นี้ก็ไม่มีโรคไหนทำร้ายเธอให้เป็นกังวลได้แน่นอน สนใจเพิ่มเพิ่มเติมคลิกเลย ที่นี่
Huashan 1914 Creative Park
โรงงานบุหรี่เก่าที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับคนไทเป โดยที่นี่จะมีร้านค้าแบบถาวรพวกคาเฟ่ ร้านนิ่งชิว ค่อนข้างเยอะมาขลุกตัวได้ทั้งวันเหมือนเดิม แถมที่เพิ่มเข้ามาคือนิทรรศการหมุนเวียนที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราจึงไม่ขอลงรายละเอียด เพราะเพื่อนๆ มาอาจจะไม่เจอเหมือนเราก็ได้ แต่มาเถอะรับรองว่าดีย์!
เราขอปิดท้ายทริปด้วย Ximending ย่านช๊อปปิ้งชื่อดังที่ใครไปใครมาก็ต้องมาเดินเหมือนมาเที่ยวสยามนั่นแหละจ้า สนุกสนาน และค่าเงินไต้หวันกับไทยไม่ต่างกันมาก เรียกได้ว่า 1 บาทไทย = 1 ดอลลาร์ไต้หวันเลยก็ได้เพราะต่างไม่มากจริงๆ ทำให้จับจ่ายใช้สอยกันเพลินมาก 5555 หรือแวะชิมฮอตพอตเจ้าดังอย่าง Mala Hotpot หรือกินอาหารประจำชาติอย่าง เต้าหู้เหม็นกับชานมไข่มุกซักแก้วก็ฟินแล้วสำหรับไต้หวันทริปนี้ ?
Day 7 Good Bye Taipei!
วันสุดท้ายไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากนั่งเครื่องบินกลับบ้าน ไต้หวันรอบนี้เราเดินทางมากับสายการบินนกสกู๊ต สายการบินราคาประหยัดที่บินตรงด้วยเครื่องใหญ่อย่าง 777-200 ทุกวันและทุกไฟลท์จากดอนเมืองถึงไทเป ความดีงามของนกสกู๊ตคือเป็นเครื่องลำตัวกว้าง หมายความว่าถ้าแอร์กำลังเดินเสริฟ์อาหารอยู่ เราสามารเดินอ้อมไปเข้าห้องน้ำอีกฝั่งนึงได้โดยที่พี่แอร์ไม่ต้องเข็นเข้าเข็นออก 55555
นกสกู๊ตเป็นสายการบินราคาประหยัดสายการบินเดียวที่บินตรงโดยใช้เครื่องใหญ่ ทำให้ค่าตั๋วถูกกว่า นั่งสบายกว่า ไม่อึดอัดเพราะพื้นที่วางขากว้างขึ้น มีสเปซให้เหยียดได้เยอะขึ้นโดยเฉพาะ Silence Zone ฟินไปเลยจ้า แถมแอร์สายการบินนี้นอกจากจะดูแลความปลอดภัยเก่งแล้วที่เก่งอีกอย่างคือ อุ่นอาหารเก่ง ค่า! ข้าวเป็นเม็ดเรียงตัวสวยงามอิ่มแบบฟินๆ
Prepare yourself for Taiwan
ประเทศนี้ฟรีวีซ่าให้คนไทย 30 วัน แสดงว่าเราจะเดินทางไปเมื่อไหร่ก็ได้ชิวๆ และอยู่ได้ยาวๆ ถึง 1 เดือนโดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าอีกด้วย สำหรับกิจกรรมทั้งหลายที่เราทำในทริปนี้ไม่ว่าจะเป็น Paragilder , River Trekking , Private Tour TOROKO National Park และ Yehliu Shifen และ Jiufen หรือซื้อตั๋ว THSR ล่วงหน้าแบบ Non- Reserve Seat เราล้วนจองผ่าน KKDAY ทั้งหมด เพราะอะไร?
เพราะ KKDAY เป็นเว็บไซต์จองกิจกรรมและการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก ความดีงามของ KKDAY คือเป็นเจ้าที่เราไว้ใจได้จริงๆ จากประสบการณ์การจอง ตอนแรกๆ ก็แอบกังวลอยู่พอสมควรว่า เอ๊… เค้าจะมารับมั้ยน้า หรือจะติดต่อคนขับรถยังไงดี เพราะจ่ายเงินไปก่อนแล้ว Voucher ก็มีแล้ว แต่จะชัวร์ได้ยังไงว่าเค้าจะไม่ลืม ?
สรุปก่อนวันเดินทางประมาณ 1-2 วัน ในแต่ละวันจะมีคนขับรถหรือบริษัทที่จะมารับ มาส่งเราจากการซื้อผ่าน KKDAY จะทักไลน์มา หรือไม่ก็ติดต่อที่โรงแรมเพื่อแจ้งให้เราทราบว่า “ชั้นอยู่ตรงนี้จ้า ชั้นรู้แล้ว ไม่ต้องกังวลน้า” ให้เราสบายใจไปเปราะนึงว่ามีรถดีๆ นั่งระหว่างเดินทางและคนขับรถก็ไม่เทเราแน่นอน ดีจริงแนะนำเลย เพราะเป็นบริษัทของไต้หวัน และมีให้เลือกแทบจะทุกเมืองท่องเที่ยวทั้งในไต้หวันและทั่วโลกเลยนะ
Stay Cool and On The Budget!
ปกติจะไม่ค่อยรีวิวที่พักนะเพราะเลือกนอนสไตล์ใครสไตล์มัน บางทีเราก็นอนแพง แต่รอบนี้เรานอน Budget Hotel เพราะเพื่อนๆ ต้องถามแน่ๆ ว่าไปพักที่ไหน ขอตอบไว้ละเอียดๆ ในรีวิวกันไปเลยว่า ไต้หวันรอบนี้คือ 1 อาทิตย์เต็มๆ แต่นอนแค่ 2 โรงแรมเท่านั้น คือ คืนแรกที่ไทเป คืนที่สองที่ฮวาเหลียน และคืนที่ 3 จนคืนสุดท้ายเรากลับมานอนไทเปทุกคืน จุดประสงค์หลักๆ ของการไม่เปลี่ยนโรงแรมบ่อยๆ เพราะเพื่อนเราเกือบทั้งแก๊งค์เป็นผู้หญิง และข้าวของเยอะมาก การย้ายไปย้ายมามันไม่ค่อยสะดวก นอนที่เดียวกันไปเลย แล้วคืนที่สองก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ไทเป ก่อนกลับมานอนคืนที่สาม ไม่ต้องรื้อของเข้าของออกบ่อยๆ สบายมาก
และเราก็รู้ว่าคนจะตามรอยเราเยอะ เลยเลือกโรงแรมที่ เออ.. โอเค ไม่ได้แพงมากเกินไปแถมยังคูลๆ อีกด้วย คือที่ไทเป เราพักที่ Mr Lobster’s Secret Den ห้องพักสไตล์โฮสเทล ที่มีห้องพักหลายรูปแบบ เราเลือกนอนแบบที่มีห้องน้ำในตัวแยกของใครของมัน ไม่ใช่รวมกับใคร ราคาก็ไม่แพงเลยคืนละประมาณ 2,000 นิดๆ แถมมีอาหารเช้าแบบง่ายๆ ให้ทานด้วย ความสะดวกสบายอาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะเป็นอพาร์ทเมนต์ที่เอามาดัดแปลงเป็นโฮสเทลอีกที แต่โลเคชั่นนั้นสะดวกมาก เพราะอยู่ใกล้ Taipei Main Station และ Taoyuan Airport MRT เดินขึ้นมาอีกนิดหน่อยก็ถึงเลย จะกลับไฟลท์เช้าหรือไฟลท์ดึกก็ชิวละ เพราะมันเดินทางไม่ลำบากเด้อ
อันนี้ขอเพิ่มให้จากรอบที่แล้ว ที่เคยมานอนอีกที่นึงชื่อ Muiu Inn (มู่อี้) เป็นโฮลเทลเหมือนกันนี่แหละ อยากแนะนำเพราะเจ้าของหล่อ 555 ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ที่ Muin Inn จะตกแต่งโทนดูอบอุ่นๆ หน่อย แต่ห้องแคบมาก คอนเซ็ปต์มันคือโรงแรมแคปซูลที่มีห้องส่วนตัวอะ แต่สำหรับเรา เราโอเคนะ ถ้าเจ้าของเค้าหล่อ 555 ไม่ใช่ๆ มันกระทัดรัดดีมากๆ แถมยังใกล้ Ximending มากด้วย ลองดูนะว่าชอบแบบไหน
ส่วนที่ Hualien 1 คืนนั้นเราพักที่ Ocean Journey Café ที่นี่ค่อนข้าง Hidden มาก เพราะมีแค่ 4 ห้องเท่านั้นในแต่ละคืน แล้วแต่ละห้องก็จะเป็นสไตล์แตกต่างกัน แต่น่ารักคิ้วท์ๆ แน่นอน เจ้าของชื่อคุณโมโม่ พูดภาษาอังกฤษได้ฉะฉานที่สุดในโลก นางอยู่กับพ่อกับแม่ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ยิ้มเก่งและชอบเอานู่นเอานี่มาให้กินตลอด แม้จะอยู่คืนเดียว แต่ที่นี่น่ารักมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีก
ครั้งเดียวไม่เคยพอ!
ไต้หวันเป็นอีกประเทศที่เรารักมากกกก และอยากกลับไปอีกเรื่อยๆ ด้วยเรื่องของอาหารและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับบ้านเรา ทำให้อยู่ง่ายกินง่ายมาก แถมคนไต้หวันก็น่ารัก และ Welcome คนไทยเสมอๆ ที่สำคัญค่าเงินไม่ต่างจากบ้านเราอีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครกลับมาจากไต้หวันก็บอกรักที่นี่ ขนาดเรามารอบนี้เป็นรอบที่ 5 แล้วยังมีอะไรมาเล่าให้ฟังได้เรื่อยๆ แถมยังไม่ได้ไปอีกหลายที่มากๆ นี่แหละนะ ที่ใครๆ ก็บอกว่าแม้ว่าไปที่ซ้ำๆ ในแต่ละประเทศหลายๆ ครั้งแต่ความรู้สึกที่ได้กลับมามันแตกต่างกันแน่นอน … ยกเว้นเอธิโอเปียนะคะคุณ!