เวลาถามถึงญี่ปุ่นใครๆ ก็บอกว่าไม่เบื่อ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงเสมอสำหรับประเทศที่ใครได้ไปเที่ยวก็หลงรักในความทันสมัย สะอาดสะอ้าน และอ่อนน้อม จนไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ใครๆ รวมทั้งเราจะหลงรักเข้าง่ายๆ แบบหัวปักหัวปำ ญี่ปุ่นในวันนี้ก็เหมือนกับผู้หญิงสวยที่เรียบร้อย แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์มากมายที่ซุกซ่อนเอาไว้ แล้วค่อยๆ เผยออกมาให้เราได้ตื่นเต้นกันทุกครั้งเวลาได้ไปเจออะไรใหม่ๆ ในประเทศนี้
ญี่ปุ่นครั้งล่าสุดของเราก็ยังไม่พ้นโตเกียวอีกนั่นแหละ! แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเส้นทางใหม่ๆ ที่สำหรับเราแล้วน่าสนใจมากๆ เป็นทริปนอกกรุงโตเกียวแบบใกล้แค่ปลายจมูก แต่เป็น 3 วัน 2 คืนที่กลับมาแล้วยังโหยหากับความไม่จอแจแต่เติมเต็มที่จังหวัด KANAGAWA และเมืองเล็กๆ แต่สวยอย่าง ODAWARA / YUGAWARA / MANAZURU / HAKONE และ MINAMIASHIGARA 5 เมืองน้อยแต่น่ารักที่เที่ยวได้ครบ วนได้ทั้งหมดภายใน 3 วัน 2 คืน
DAY 1 ODAWARA / YUGAWARA
ODAWARA เป็นเมืองแรกของเราสำหรับเริ่มต้นทริปสั้นๆ นอกโตเกียวครั้งนี้ จากโตเกียวหรือชินจูกุ สามารถนั่งรถไฟยิงตรงมา Odawara Station ได้ทันที โดยรถไฟสาย Odakyu ประมาณ 1 ชม. นิดๆ หรือรถไฟด่วน Romancecar ประมาณ 75 นาทีเท่านั้น ตามแพลนของเราคือเดินทางด้วยรถยนต์ไปตามเมืองต่างๆ ที่เที่ยวในช่วง 2 -3 วันนี้เพราะจะสะดวกกว่าและเป็นพวกของเยอะกันเป็นบ้าหอบฟาง 5555
ที่แรกที่เราอยากแนะนำให้มาคือ Odawara Castle ปราสาทของเมืองที่ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์ความเป็นมาและที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นปราสาทและสมัยยุคที่มีโชกุนปกครอง ทีเด็ดของมันคือจุดชมวิวด้านบนสามารถมองเห็นได้ทั้งเมืองและมองออกไปไกลๆ ก็จะเห็นวิวทะเลสวยงาม คุ้มค่าเข้า อ้อ ตอนกลางคืนช่วงที่เราไปเค้ามี Light and Sound ด้วยนะ เหมือนเล่นอยู่ใน Teamlab แต่เป็นงานกลางแจ้งเก๋ๆ ฉายไฟไปที่ปราสาท
และถ้าใครที่ชอบกินอาหารทะเลหรืออาหารญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจอย่าลืมแวะไป HAYAKAWA – PORT ที่นี่เหมือนตลาดปลา TSUKIJI ในโตเกียวนั่นแหละมีหลายๆ ร้าน เรียงกัน แต่ขนาดเล็กกว่าและอย่าลืมว่าเมืองนี้ติดทะเล อาหารทะเล ซาชิมิสดๆ อร่อย หวานกรอบไม่แพ้ใครเลยค้า
ช่วงบ่ายเราขับรถกันไปต่อที่เมือง YUGAWARA ด้วยความแบ๊วส่วนตัวเราแวะไปที่ร้าน Mirakuan ร้านขนมชื่อดังของเมืองที่ไม่ใช่แค่ขายขนมอร่อยและหน้าตาน่ารักเฉยๆ แต่ยังมีคลาสสอนให้ทำด้วย! ราคาอยู่ที่คนละประมาณ 1,500 เยน เป็นขนมที่เราต้องบรรจงปั้นเองกับมือ ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดนั้นทำมาจากถั่วไม่ว่าจะ แดง เขียว ขาว แล้วใส่สีผสมอาหารทำให้สามารถปั้นได้หลากหลาย ลวดลายที่เราจะปั้นแต่ละรอบจะแตกต่างกันไปแต่ละซีซั่นเช่นช่วงนี้ที่เราไปก็จะได้ปั้นพวกดอกซากุระ ดอกพีชสวยๆ น่ารักเชียวแต่กินได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง 555
เราขับไปต่ออีกแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึง Yugawara Bairin สวนดอกบ๊วยที่มีมากกว่า 4,000 ต้น 30 สายพันธุ์ ขึ้นเต็มภูเขา Makuyama ไล่เรียงอย่างสวยงามจะบอกว่าช่วงที่ควรมาและสวยที่สุดของดอกบ๊วยที่นี่คือช่วงเดือนมีนาคมได้ทั้งเดือนเลยแหละ ค่าเข้าแค่คนละ 200 เยนเท่านั้นและไม่จำกัดเวลาด้วย จะอยู่ถ่ายรูปให้ครบ 4,000 ต้นเลยก็ไม่มีใครว่า!
น่าเสียดายมากๆ ช่วงที่เราไปยังไม่ Full Bloom เต็มที่แต่เห็นแบบน้อยๆ ก็สวยใช้ได้เลย เราชอบความรีไซเคิลของที่นี่นะ ตรงบริเวณที่ขายของอะ พื้นถูกปูด้วยเปลือกไม้ที่มีกลิ่นหอมเบาๆ ไม่เตะจมูก กับอากาศเย็นๆ เป็นฟีลลิงที่โคตรใช่จริง อ้ออ! เค้ามีไอศกรีมดอกบ๊วยขายด้วยโคนละแค่ 300 เยน หวาน หอม อร่อย และได้กลิ่นบ๊วยที่ปลายลิ้นนิดนึง
ช่วงประมาณเดือนเมษายน-มิถุนายนเป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นบอกว่าอากาศเย็นสบาย ทำให้เที่ยวแถบนี้ได้สนุก แม้อากาศมันจะเปลี่ยนบ่อยแต่ความทึมๆ มึนๆ ก็เป็นเสน่ห์ของ KANAGAWA เค้าเลยแหละ! ที่สุดท้ายของวันมันก็จะชิวๆ หน่อยเพราะเราแพลนไปแช่ออนเซ็นแถวๆ Yugawara onsen area แต่ไม่ได้แช่ทั้งตัวเพราะเราจะแช่แค่เท้าเท่านั้นที่ Doppo no Yu
Ashiyu คือชื่อเรียกประเภทบ่อของญี่ปุ่น คือเป็นบ่อที่เติมน้ำแค่ข้อเท้าเท่านั้นแล้วให้เราแช่เท้าเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนที่อื่นอาจจะมีแค่ 1 – 2 สระ แต่ที่นี่มีมากถึง 9 สระ และแต่ละสระจะสร้างไม่เหมือนกัน บางสระร้อนมาก บางสระร้อนน้อย คุณสมบัติของแต่ละสระที่จะช่วย Heal อาการเจ็บป่วยที่เท้าจะแตกต่างกัน และความฟินของมันเป็นบ่อกลางแจ้ง อุ่นเท้าแต่หนาวกายน่าจะมีผู้ชายซักคนมาด้วยจริงๆ ค่ะพี่ชาย
อ้อ ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมาแบบค้างคืนนะ สามารถไปเช้า เย็นกลับได้เลย ผู้ใหญ่ราคาแค่ 300 เยน เด็กราคา 200 เยน ปกติเปิด 10.00-18.00 น. แต่เดือน พ.ย.-ก.พ. เปิด 10:00-17:00 และหยุดทุกวันพฤหัสสุดท้ายของเดือนเท่านั้น อย่าลืมแพลนกันมาดีๆ อากาศดี ธรรมชาติโอบกอดที่สุดค่ะ
DAY 2 MANAZURU / HAKONE
เราเริ่มต้นวันที่ 2 ใน Manazuru กันที่เมืองที่คนเมืองนี้บอกว่า บ้านชั้นสวยเหมือนฝรั่งเศสเลย 5555 เค้าบอกว่าเมืองท่าที่นี่สวยเหมือนกับเมือง Marseille ที่ฝรั่งเศส ด้วยความที่เคยไปมาแล้วก็บอกได้ว่าเหมือนจริงแต่สะอาดและเงียบกว่ามากแวะมาเดินเล่นยามเช้าที่ Manazuru Port พร้อมกับวิวถ่ายรูปสวยๆ ได้เลย เมือง MANAZURU เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าอาหารทะเลสดมากถึงมากที่สุด เพราะชาวประมงที่นี่จะเอาอาหารทะเลสดๆ ที่จับได้ในทะเลแปซิฟิกขึ้นมาที่ท่าเรือเมืองนี้ก่อนจะกระจายไปที่อื่นต่อ เค้าเลยบอกกันว่าถ้าอยากกินปลาที่สดจริงๆ ในละแวกนี้ให้แวะร้านไหนก็ได้ใน Manazuru
อีกที่ที่เราแนะนำมากๆ เรียกว่า Recommend เลยคือ Mitsuishi Beach บีชตรงนี้ไม่ใช่หาดทรายที่เดินลงไปพร้อมห่วงยางแล้วเล่นน้ำได้นะ เพราะเป็นพื้นหินซะส่วนใหญ่ แต่ลมเย็นๆ ริมทะเลและมีคาเฟ่น้อยๆ หันหน้าออกพร้อมจิบชาซักแก้วเป็นโมเมนท์ที่ละมุนมากสำหรับปลายหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นแบบนี้ 5555
และหินกลางทะเลสองก้อนตรงนั้น คนเมืองนี้บอกว่าถ้าวันไหนแดดดีๆ ฟ้าใสๆ พระอาทิตย์จะขึ้นตรงกลางระหว่างหินสองก้อนนั้นพอดี ไม่ได้มีความเชื่ออะไรกันหรอกนะคะว่าต้องขอพร แค่บอกว่าสวยและต้องมาดู เสียดายที่เราอยู่ไม่ถึง ฝากเพื่อนๆ ที่ไปช่วยดูแทนหน่อยนะฮ้า
มาถึง Manazuru อย่าพลาดกินซาชิมิ ของที่นี่เด็ดขาด เราแนะนำร้าน Hara-tyuu สั่งเซ็ทใหญ่ไปเลยแชร์กับเพื่อน ราคาพอรับได้ หอยเชลล์เอย กุ้งล๊อบเตอร์สดๆ เลย และสารพัดปลาที่ขาดอย่างเดียวที่ชาวประมงไม่ได้ตกมาคือนางเงือก 555 สดอร่อยและเทียบกับคุณภาพราคาไม่แพงเลยจริงๆ กินก่อนเที่ยวต่อแล้วจะฟินกับเมืองนี้มาก!
จาก Manazuru เราขับรถกันมาต่อประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง Hakone – Ropeway นั่งข้ามหุบเขา Owakudani ขึ้นไปที่ Owakudani Valley เพื่อขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาด้านบน ที่นี่มีของขึ้นชื่อคือไข่ดำ ที่นี่คงไม่ต้องแนะนำกันมากเพราะคนไทยมากันให้ลึ่มอยู่แล้ว หันไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงคนไทยว่า “ไข่ดำนี้กินหนึ่งฟองอายุยืนตั้ง 7 ปี นี่กินไปจนเป็นอมตะแล้ว” เสียงอาม่า อาซิ่มที่มาเที่ยวดังขึ้นเป็นระยะจริงๆ 555
Owakudani Valley กลิ่นกำมะถันค่อนข้างแรงมาก ถ้าฟ้าใสๆ ไม่มีเมฆบังบนนี้จะเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยมากๆ อีกจุดนึง แต่เราไปฟ้าใสแต่เมฆเยอะมากเลยอดเห็นเลยจ้า ได้แต่กินไข่ ไข่ และก็ไข่ 555
จากนั้นเราก็นั่ง Ropeway ต่อกันมาที่ Togendai Station สถานีสำหรับคนที่อยากมาล่องเรือโจรสลัดในทะเลสาบอะชิ แต่ส่วนตัวเรานั้นไม่อินกับเรือพวกนี้เท่าไหร่เลยขอบาย แล้วไปวัดไปวาสายหน้าสวยเพราะสวดมนต์แทน 55555555555 Hakone Shrine เป็นศาลเจ้าที่มีเอกลักษณ์เพราะมีเสาโทโรอิ อยู่ในทะเลสาบหน้าวัด ตัววัดที่นี่เข้าฟรีและร่มรื่นมากกเอาจริงๆ อากาศแบบนี้มันน่านอนมากกว่าน่าเที่ยวอีกนะเนี่ย อยากย้ายมาอยู่เลยแหละ เค้าว่ากันว่าศาลเจ้าที่นี่แม่นมากในเรื่องการให้โชคให้ลาภให้พรเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางให้แคล้วคลาดปลอดภัยค่า
DAY 3 MINAMIASHIGARA
เมืองสุดท้ายของวันกลับเข้าโตเกียวเราเดินทางไปบ้านเกิดของคินทาโร่ ไม่แน่ใจว่าจำการ์ตูนเรื่องนี้กันได้มั้ยตอนเด็ก ที่พูดถึง เจ้าหนูน้อยที่มีพละกำลังมหาศาลเท่ากับผู้ใหญ่ตอนที่ยังเด็กๆ พอโตขึ้นก็ยิ่งมีพละกำลังมหาศาล แถมยังเป็นเพื่อนกับสัตว์เล็กน้อยใหญ่แทบจะทั้งป่า… เมืองนี้แหละจ้ะที่คินทาโร่ถือกำเนิดขึ้นมาตามตำนานของคนญี่ปุ่น
เจ้าหน้าที่ที่น้ำตกถือตุ๊กตาคินทาโร่มาต้อนรับด้วยน่ารักเชียวแหละ ที่เที่ยวของเมืองนี้ที่เราแวะไปคือน้ำตก Yuhi Falls เป็นน้ำตกสูงประมาณ 23 เมตร ต้องเดินเข้าไปในป่าถึงจะเห็นและอากาศค่อนข้างเย็นม๊ากกก เค้าเชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่ๆ คินทาโร่มาอาบน้ำหลังจากคลอดเสร็จ คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ชายชอบทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายคือไปยืนในน้ำตกในฤดูหนาว เค้ายังบอกอีกว่าก้อนหินก้อนมหึมาที่คินทาโร่เคยยกเล่นตอนเด็กๆ ก็ยังอยู่แถวนี้
Daiyuzan Saijoji Temple
จากน้ำตกก็ไปเป็นสายบุญกันต่อคืออีกวัดที่มีชื่อเสียงมากๆ ใน Kanagawa ด้วยความที่มันร่มรื่นและมีขนาดใหญ่โต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักท่องเที่ยวจะชอบมาที่นี่กัน ที่นี่มีความเชื่อว่าวัดนี้ถูกสร้างด้วยพลังของเท็งงุหรือคล้ายๆกับเทพ และยังคอยคุ้มครองวัดด้วย ที่วัดนี้เป็นนิกายเซน
อ้อ! ที่นี่ยังมีจุดถ่ายรูปยอดนิยมด้วยนะคือ รองเท้าเกี๊ยะ รองเท้าแบบญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนะว่าไม่ได้ คนก็แห่แหนเข้ามาถ่ายรูปกันเต็มไปหมด
จุดสุดท้ายที่รอคอยก่อนกลับเข้าโตเกียวคือ Asahi Beer Kanagawa Brewery โรงเบียร์อาซาฮีที่เปิดให้คนนอกสามารถเข้าไปชมวิธีการและกระบวนการผลิตที่ได้คุณภาพของที่นี่ รวมถึงอธิบายและบอกเล่าความเป็นมา ที่มาที่ไปของเบียร์ยี่ห้อนี้ ที่นี่เข้าฟรี และใช้เวลาเดินทัวร์โดยมีเจ้าหน้าที่นำ ประมาณ 1.30 ชม. แถมตอนท้ายมีเบียร์ฟรีให้กินด้วยนะว่าไม่ได้ เมาเพลินไปเลย จากประสบการณ์ที่ไม่ค่อยชอบกินแอลกอฮอล์เพราะมันขม แต่รสชาติเบียร์อาซาฮีสดๆ จากโรงเบียร์เรากลับกินได้ไปตั้ง 2 -3 แก้วเพราะมันละมุนและอร่อยมากค้า
รถที่เช่ามาจะต้องส่งคืนที่สถานี Odawara Station ซึ่งยังพอมีเวลาหลือนิดหน่อยเราเลยแวะไปเดินเล่นสวนดอกบ๊วยที่ Soga Bairin ซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับไปที่สถานีห่างกันประมาณ 30 นาที เอาจริงๆ ทุกวันนี้เราก็ยังแยกดอกบ๊วยกับดอกซากุระไม่ค่อยออก เพราะมันสวยเหมือนกันและมองได้เพลินๆ ไม่มีเบื่อ แถมถ้าวันไหนฟ้าใสและมีลมอ่อนๆ อยากจะปลิวตามดอกพวกนี้ไปกับสายลมเลยแหละแก๊
สำหรับเรา Kanagawa เป็นอีกจังหวัดนึงที่ควรมาเที่ยวแบบแปปๆ ไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้องแพลนมาเที่ยวแบบหลายๆ วันแต่เต็มที่ซัก 2-3 วันน่าจะโอเค จะทำให้รู้ว่าจังหวัดนี้จริงๆ มีอีกหลายเมืองเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่รอให้เราไปค้นหาเรื่อยๆ นั่นแหละ เพราะญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นดินแดนที่ใครต่อใครไปก็ต้องหลงรักจริง ?