“Hello Bro!” อินเดียรอบล่าสุดของเราได้ยินคำนี้บ่อยกว่านมัสเตซะอีก หรือไม่ก็หนีห่าว แต่พอบอกว่านี่ไทยแลนด์นะจ้ะ มาหงมาเห่าอะไรแถวนี้ …เท่านั้นแหละ อินเดียทั้งหลายรีบบ้วนน้ำหมากทิ้งหวิดโดนหน้าไปนิดเดียวพร้อมยิ้มร่าแสดงความดีใจ “โอ้ ไทยแลนด์ๆ สมุย ภูเก็ต เลดี้บอย พัทยา!!” 55555555 เห็นมั้ยหละบอกแล้วว่าคนที่นี่อารมณ์ดีกว่าที่ไหนที่เคยเจอ แม้จะมีเล่ห์กล สารพัดแต่ก็รับมือได้ไม่ยาก บางคนกลัวอินเดียเกินไปจนเข้าขั้นไร้สาระจนอยากจองตั๋วให้มาดูเองให้รู้แล้วรู้รอด ก่อนอ่านรีวิวมาดู Recap VDO กันก่อนดีกว่าว่าสีสันแค่ไหน
รอบนี้ขออัพเดตอินเดียแบบไม่ใช่เลห์ ลาดักห์ หรือแคชเมียร์ ทัชมาฮาลให้ฟัง มันจะเป็นอีกเส้นของอินเดียที่น่าลอง!
เรากลับมากันที่ KOLKATA อีกครั้ง หลังไม่ได้มา 3ปี เมืองนี้เป็นอินเดียเมืองแรกของเราที่เคยมา อยู่ทางรัฐเบงกอลตะวันตก เค้าเคลมกันว่าเป็นเมืองแห่งสีสัน ด้วยความที่มันเป็นเมืองหลวงเก่าตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษเมืองนี้เลยมีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างความอลังการแบบอังกฤษ และวัฒนธรรมดั้งเดิมแบบอินเดีย ทำให้ที่นี่มีที่สวยๆ ค่อนข้างเยอะ เราจะเห็นความดิบแบบเท่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร โกลกาตาจะบอกเราว่าต้องมา! เพราะที่นี่โดดเด่นและมีสีสันจนอยากใส่ส่าหรีเดินเล่นให้ทั่ว
ความดีงามของโกลกาตาคือมีบินตรงจากดอนเมือง ล่าสุดคือ ไทย แอร์เอเชีย พึ่งเปิดเส้นทางบินใหม่ล่าสุดจากดอนเมือง-โกลกาตา บินตรงทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ไป-กลับรวมแล้วแค่ประมาณ 4,xxx เท่านั้น บางคนบอกว่าเออเครื่องออกดึกจัง ไปถึงก็กังวลว่าโรงแรมจะมีที่พักมั้ย แขกจะเล่นตลก ยกเลิกของเรารึป่าว จะบอกว่าโรงแรมที่อินเดียควรจองนอนแบบดีๆ หน่อย เพื่อความปลอดภัยด้วยส่วนนึงและสะอาดด้วย โรงแรมดีๆ ที่นี่ตกคืนละพันกว่าบาทสองพันก็ถือว่าโอเคแล้ว ไม่โดนยกเลิกแน่นอนเพราะเมืองนี้คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี บินตรงกับไทย แอร์เอเชียแค่ 2 ชั่วโมงกว่า เราว่าโอเคมาก เลือกบินคุ้ม คุณภาพครบแบบไม่ต้องลังเลเลย
พวกเรามาอินเดียรอบนี้เป็นรอบที่ 5 เราว่าโกลกาตาเป็นเมืองที่วุ่นวายน้อยกว่าเดลี และมุมไบ มีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ราคาเริ่มต้นที่ 2.50 บาท เออเขียนไม่ผิด ถูกมากจริงๆ อินเดียเป็นประเทศที่ถ้าผู้ชายหล่อหน่อยเปไปก็ไม่เสียดายเงินเพราะถูกอย่างถูกหมด (ถ้ารู้จักต่อรองอะนะ)! ถ้าเป็นชะนีก็เหมือนพวกแต่งตัวเยอะๆ ทาปากแดงๆ แต่ไม่ใช่คนขี้วีนอะไรแบบนั้น
เราแพลนการเดินทางรอบนี้เป็นทริปแบบสวย ตลกและได้บุญไปด้วยพร้อมกัน คาดหวังไว้สูงมากว่าเป็นทริปสิ้นปี 2016 ที่จะทำให้ปี 2017 เบิกบานและไม่นกทั้งปี เห็นดาราเน็ตไอดอลหลายคนบอกว่าทำบุญเยอะๆ จะสวย เลยเอาวะ! ทริปนี้แหละ สวยไม่นกแต่ตลกแล้วได้บุญ มีอินเดียเป็นตัวช่วยนะโว้ยยย เพราะเราตั้งใจไม่อยู่แต่ในโกลกาตา โกลกาตาเป็นอีกเมืองที่ต่อรถไฟไปทั่วอินเดียค่อนข้างสะดวก จริงๆ ทริปนี้ พาเพื่อนมาด้วยรวมกันเป็น 6 คนเลยแพลนนั่งรถไฟกันออกไปพายเรือล่องแม่น้ำคงคาที่พาราณสี และแวะไปสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่พุทธคยา เออเป็นไง เป็นกันดูสิเป็นสายบุญกันเหลือเกิน … หน้านี่อิ่มตั้งแต่เครื่องออกจากดอนเมืองแล้ว
KOLKATA – โกลกาตา
ที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าของอินเดียสมัยอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคม เราจะเห็นชีวิตที่อยู่แบบขนบเดิมๆ กับอีกส่วนนึงที่กำลังพัฒนาร่วมกัน โกลกาตาเป็นเมืองที่ถ่ายรูปตรงไหนก็เท่ ความน่ารักเป็นกันเองของคนที่นี่ทำให้ยิ้มได้เสมอ นางจะมีกิมมิคมาเล่นกับพวกเราตลอด บอกให้ยิ้มก็ยิ้ม หันข้างก็หันข้าง โบกมือสิ้ นางก็บ๊ายบายให้อย่างเต็มใจ อาจจะมีบ้างที่ถ่ายเสร็จแล้วขอเงินเหมือนเด็กตามดอยต่างๆ ของภาคเหนือแต่ส่วนใหญ่ไม่เจอและไม่ขอ ที่เจอบ่อยๆแล้วจะงง คือบอก Thank You แล้วสั่นหัวดิ๊กๆๆๆ กลับมา 55555 ไม่เชื่อลองมาดูเป็นแบบนี้เกือบทุกคน
เดินทางในโกลกาตานั่ง TAXI สะดวกที่สุด TAXI ที่นี่เป็นสีเหลืองให้อารมณ์อยู่แถวๆ เซ็นทรัล ปาร์ค นิวยอร์ค ราคาแท๊กซี่ถ้าตามมิเตอร์จะโคตรถูก แบบนั่งเป็นชั่วโมงยังไม่ถึง 50 บาท เพราฉะนั้นส่วนใหญ่แท๊กซี่จะเรียกเหมาไปเลย ราคาก็อยู่ตามที่พอใจนั่นแหละว่าอยากจ่ายกี่บาท ยิ่งพอตีกลับเป็นเงินไทยแล้ว จะรู้สึกว่าเออจ่ายๆ ไปเถอะ ไม่ต้องเถียงละ แล้วเห็นคุณลุงทั้งหลายยืนกันเยอะๆ แบบนี้ไม่ต้องกลัวและวิตกจริตนะว่า แบบฉันจะโดนข่มขืนหรือลวนลามมั้ยคะ ..พักค่ะ! เธอไม่สวยขนาดนั้น ถึงจะสวยนี่ก็ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน คุณลุงพวกนี้ก็เหมือนอารมณ์สภากาแฟบ้านเรา ยืนเมาท์ๆ คุยกันเฉยๆ ยืนเยอะๆ แบบนี้ยิ่งดี มีคนให้ถามทางเยอะ ช่วยบอกทางเยอะ เราชอบถามเวลานางยืนกันเยอะๆ แบบนี้แหละ รวดเร็วดีเวลาถามทาง
ใน KOLKATA ให้จำชื่อ 2 ถนนหลักๆไว้คือ Park Street กับ Sudder Street เวลาหาโรงแรมพักให้พักแถวนี้เพราะเป็นย่านCity Center ไปไหนมาไหนสะดวกและใกล้สถานที่ท่องเที่ยว ในรีวิวนี้แต่ละที่ๆ ไปเราจะยึดราคาจากถนนแถวนี้เป็นหลักเด้อ
Dakshineswar Kali Temple
นี่เป็นวัดฮินดูอยู่นอกเมืองโกลกาตานิดนึงใกล้ๆ กับสนามบิน เค้าก็เล่ากันว่ามีหญิงหม้ายที่ศรัทธาต่อศาสนาเหลือเกินมาสร้างไว้บูชาเทพเจ้า เทวาลัยหลังที่ใหญ่โตที่สุดมีถึง 9ยอดด้วยกัน ข้างในก็จะมีหลายๆ หลังเป็นสวนตรงกลาง รอบๆก็จะมีอาศรมของเทพองค์ต่างๆ ให้เคารพบูชา
เดินทางจากแถวๆ Sudder Street ไม่ควรเกิน 200-300รูปีนะ
และวัดนี้มันตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮูคลี แม่น้ำสายหลักของเมือง ก็จะมีคนมาทำพิธีลอยดอกไม้อะไรซักอย่างเหมือนกระทง บางคนก็เอามาพรมๆตัว บางคนก็อาบ ตอนแรกนึกว่าอาบเป็นศิริมงคลเหมือนบ้านเราเวลาไปวัดแล้วเอาน้ำมนต์มาพรมหัว แต่ยืนดูซักพักหันไปคุยกับเพื่อน..”มึง กูว่าไม่ใช่ละ เค้าใส่แชมพูกับสบู่ด้วย เค้าซักกางเกงในด้วยมึง” 55555555
จากวัดนี้เราสามารถนั่งเรือข้ามฝั่งไปอีกที่นึงได้นั่นก็คือ Belur Math ค่าเรือข้ามฝากประมาณ 3-10 บาท จำราคาที่แน่นอนไม่ได้แต่รู้ว่ามันถูกมากๆ ถูกจนแบบเฮ้ยราคานี้จริงหรอวะ หรือเค้าเห็นพวกเราสวยเลยไม่เก็บแพงก็ไม่น่าจะใช่ 5555 ถูกจนอยากให้ทิปคนเก็บเงินด้วยเลย
Belur Math นี่เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามใช้ได้ บอกตรงๆ ว่าข้ามได้ก็ข้าม เพราะข้างในห้ามถ่ายภาพออกมา และคนเยอะแบบเหมือนมดแตกรังออกมา ด้านในเป็นเทวสถานสำหรับบูชารามากฤษณะ ที่นี่ฟรีไม่เสียค่าเข้า
การข้ามมา Belur Math จาก Dakshineswar Kali Templeด้วยเรือเนี่ยมันอยู่คนละฝั่งกัน Belur Mathจะอยู่ฝั่ง Howrah คือหารถมาอะง่าย แต่หารถกลับค่อนข้างยาก ไม่สิ ยากเลยแหละ ถ้าจะมาอย่ามาเย็นเกิน เดี๋ยวจะกลัวและวิตกจริตตอนหารถกลับไม่ได้ จริงๆ มันไม่มีอะไรหรอก เราจะกลัวกันไปเองนั่นแหละ 55555 ค่ารถกลับไปแถวๆ Park Street /Sudder Street ไม่ควรเกิน 300รูปีเด็ดขาด ถ้ามันบอกไม่ไป ก็ไม่ต้องไปหาคันใหม่ ซักพักก็จะง้อเราเองนั่นแหละ เพราะถ้าตามมิเตอร์แล้ว 100-150 เท่านั้นแหละ
การข้ามสะพานที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกอย่าง Howrah Bridge กลับมาฝั่ง KOLKATA คือสะพานนี่อลังการจริงๆ คนอินเดียเคยเล่าให้เราฟังว่า “มันน่าจะเป็นสะพานที่วุ่นวายที่สุดในโลกด้วยเพราะวันๆ นึงรถผ่านไปมาเป็น แสนๆ คัน นี่ยังไม่นับวัว นับควายที่จูงกันเดินข้ามอีกนะ” 555555 พอหันไปมองก็จริงอย่างที่เค้าว่านั่นแหละ
เรายังมีเวลาอีก 1 วันเต็มๆ สำหรับเก็บแลนด์มาร์คต่างๆ ในโกลกาตาให้ครบตามที่เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันอยากดู แต่เสียใจมากที่สุดสำหรับรอบนี้คือเราพลาด Indian Museum ที่เค้าว่ากันว่าที่นี่เก็บสมบัติและสิ่งที่น่าสนใจของชาติไว้เยอะมาก น่าเสียดายวันที่เรากลับมาถึงโกลกาตาเป็นวันจันทร์พอดีซึ่งมันปิด ฮือ ไว้จะมาใหม่นะ
” Intense love does not measure… just gives.” นี่คือคำพูดของแม่ชีเทเรซ่าที่กินใจสายเปอย่างพวกเรา
Mother House คือบ้านของแม่ชีเทเรซ่าผู้ที่อุทิศตนช่วยเหลือคนยากไร้ในสังคมอินเดีย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ พยายามที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำของสังคมออกไป สิ่งที่แม่ชีทำไว้คนทั้งโลกเห็นและรับรู้ รวมถึงชาวโกลกาตาเองก็เทิดทูนและรักแม่ชีเทเรซ่ากันมากๆ เราไปบ้านของท่านมา ข้างในสงบ และมีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับแม่ชี ทั้งยังมีแม่ชีท่านอื่นๆ ที่คอยสายต่องานที่ท่านทำอีกด้วย น่ารักมากๆเลย
ส่วน Victoria Memorial , St. Paul’s Cathedral และ New Market มันจะอยู่เยื้องๆ กันในย่าน Sudder street และ Park Street หมดเลย ถ้าไปหน้าหนาวอากาศเย็นๆ เราว่าเดินได้ ไม่ต้องไปต่อราคากับแท๊กซี่ด้วย 5555 แต่ถ้าจะเรียกจาก Sudder street ให้เดินไปแถวๆ New Market ก่อน แล้วค่อยเรียกไป Victoria Memorial ราคา 100 รูปีห้ามเกินนี้ ถ้าเกินด่ามันเลย บอกว่า “ไม่ไปโว้ยยยยยยย”
Victoria Memorial
ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวโกลกาตา เหมือนชาวกรุงเทพมีสวนลุมให้เดินเล่น โกลกาตาก็มีที่นี่แหละ เพราะค่าเข้าแค่ประมาณ 20 รูปีเท่านั้น ถูก อลังการสถาปัตยกรรมอังกฤษตอนเย็นๆ อากาศดียิ่งโรแมนติก
Victoria Memorial หรือ อนุสาวรีย์สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระนางตั้งแต่สมันอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ที่นี่ยังได้รับการดูแลอย่างดี สวยงาม คุ้มค่ากับเงิน 20 รูปีนั่นแหละ
St. Paul’s Cathedral
อยู่ตรงข้ามฝั่งถนนกับ Victoria Memorial เหมือนสยามเดินข้ามไปมาบุญครอง โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ในนิกายแองกลิกัน ความสวยงามข้างในมันขลังดีเพราะดูเก่าๆ ผสมกับกระจกสีแบบโกธิคภายใน แต่ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดเลยได้แต่เก็บภาพรอบๆ ให้ดู
New Market
ถ้าคนมาเดินแบบผิวเผินจะรู้สึกได้เลยว่า กูมาดูอะไรมาวะเนี่ย ที่นี่เหมือนตลาดแบบเอาของจีนแดงรวมๆ กันมาขาย 55555 5 ตุ๊กตาหมีสีเรืองแสงต่างๆ คิดตี้ตาเข หรือมินเนี่ยนสีชมพูงี้ นี่มันต้นขั้วของสำเพ็งชัดๆ
แต่ถ้าเดินให้ลึกเข้าไปเค้าบอกจะมีขายพวกผ้าสาหรี่ต่างๆ ของเก่า ของฝาก แต่สำหรับเรานะ เราแนะนำให้ซื้อพวกขนมและของฝากตามห้างหรือ
มินิมาร์ทมากกว่า เพราะของน่าจะสดและใหม่กว่าที่นี่ แต่ที่นี่ให้มาเดินชมบรรยากาศก็พอแล้ว มาดูความวุ่นวายที่อยู่กันได้อย่างสบายใจเฉิบ
และข้อดีของโกลกาตาอีกอย่างนึงนอกจากตั๋วที่เดินทางกับไทย แอร์เอเชียจะถูกแล้ว ยังสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ ได้ง่ายมาก อย่างรอบนี้เราเลือกนั่งรถไฟออกไปเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์โลกอย่างพาราณสีและแวะไหว้พระแทนพ่อแทนแม่ที่พุทธคยาก็โคตรสะดวก บอกเลยว่าอย่าดูถูกหรือกลัวรถไฟอินเดีย ความดีงามของมันคือถูกและดี!
เรารีบกลับมาเตรียมของที่ฝากที่โรงแรมไว้ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เรียบร้อย (ทิชชู่เปียกควรพกไปเยอะๆ) ล้างหน้าล้างตาและเอากระเป๋าที่ฝากไว้เตรียมไปขึ้นรถไฟ พูดถึงรถไฟอินเดียซะหน่อย อินเดียเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟที่ตรงเวลาพอสมควร ถ้าไม่ติดหมอก ติดฝนตกหนักมันจะมาตรงเวลามากๆ แล้วสามารถเช็คออนไลน์ได้ด้วย รถไฟอินเดียสร้างขึ้นมาเพื่อสำหรับคนทุกชนชั้น จะรวยจะจนก็นั่งรถไฟ แบ่งแยกคลาสกันชัดเจน สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ถ้าอยากประหยัดให้จองรถไฟเพื่อนอนข้ามคืนไปซะ ปลอดภัย หายห่วงแต่..ต้องเลือกให้ถูกคลาส
รถไฟคลาสที่เราอยากแนะนำมากที่สุดคือ AC 2 Tier หรือตู้นอนชั้น 2 แบบรถไฟบ้านเรานั่นแหละ แต่ก่อนจะซื้อได้โคตรวุ่นวาย เพราะมันต้องลงทะเบียน ส่งอีเมล์คอนเฟิร์ม ขอรหัส OTP เพื่อใช้ในการจอง แต่ถ้าทำทุกอย่างครบถ้วนครั้งต่อไปจะมาอินเดียก็สบายเลย แนะนำให้ดูวิธีการสมัครเพื่อจองใน http://seat61.com/India และจองออนไลน์ก่อนเดินทางผ่าน www.cleartrip.com มีบอกหมดรถขบวนไหนวิ่งกี่ชั่วโมง ผ่านเมืองไหนบ้าง ราคากี่บาท ขบวนที่ดีส่วนใหญ่จะลงท้ายด้วยชื่อที่หรูหราเวอร์วังเช่น มหาบดีเอ็กซ์เพรส ราชธานีเอ็กซ์เพรส ชาตบดีเอ็กซ์เพรส ขบวนพวกนี้จะใช้เวลาน้อยกว่าขบวนอื่นๆ สะอาดและตู้นอนดี แต่จะเต็มเร็ว ต้องรีบแพลนและรีบจอง!
จริงๆ ทริปที่ถูกต้องมันต้องเป็น โกลกาตา-พุทธคยา-พาราณสี แล้วนั่งยาวๆ กลับโกลกาตาแต่นี่ก็เผลอเรอ คอนเฟิร์มทุกอย่างช้าไปหมดเลยต้องนั่งไปพาราณสีก่อน เราจับรถไฟตู้นอนแบบ AC 2 Tier ไปพาราณสีประมาณ 12 ชั่วโมง นอนไปยาวๆ มีปลั๊กไฟ มีทุกอย่างที่นอนได้แบบรถไฟไทยนั่นแหละ สบายๆ หลับๆไปตื่นเช้ามาเดินไปทักทายเพื่อนตู้ขบวนต่างๆ จิบ Chai Tea ยามเช้ากับคุ๊กกี้ แปปเดียวถึงพาราณสีละ! แต่ถ้าจะมาตามรอยเราแนะนำให้เริ่มจากโกลกาตา-พุทธคยา-พาราณสีแล้วกลับโกลกาตา
VARANASI – พาราณสี
เมืองนี้เป็นเมืองที่โคตรชอบ ชอบมากที่สุดในอินเดียตั้งแต่เดินทางมา เพราะมันวุ่นวาย สนุก มันส์และสวยงามในเวลาเดียวกัน พาราณสีเป็นเมืองฮินดูของแท้ และเป็นเมืองที่คนอาศัยอยู่ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลกมากกว่า 400ปี คือเมืองอื่นล่มลายไปหมดแล้วแต่ที่นี่ยังอยู่! เก๋าปะหละ แถมยังมีวัวของพระศิวะเดินทั่วเมือง ใครๆต้องหลบให้ ถือของมาก็ต้องหลบลิงที่เพ่นพ่านอันธพาลอยู่บนหัวอีก โอ้ยยยย เมืองนี่มัน…
ถ้านั่งรถไฟมาจะลงที่ Varanasi Junction จากสถาทีรถไฟให้นั่ง Auto Rickshaw มาบริเวณท่าน้ำ(Ghat) ค่ารถไม่ควรเกิน 150 รูปีต่อคัน คันนึงนั่งได้ 3-4 คน ที่นี่สามารถเดินหาที่พักได้ตามท่าน้ำต่างๆ ได้เลย เพราะมันมีเยอะ ราคาก็ไล่ไปตั้งแต่คืนละ 150 ไปจนถึงคืนละเป็นพัน แต่ถ้ากังวลกลัวเต็มก็จองมาก่อนก็ได้ผ่านเว็บจองต่างๆ เยอะแยะ
รอบนี้เราจองที่พักแถวๆ Dashaswamedh Ghat ชื่อ Hotel Alka ห้องดีเลยแหละคืนละเกือบ 2พัน มีระเบียงให้ดูวิว แม่น้ำคงคายามเช้าด้วยแต่ช่วงที่เราไปหมอกลงจัดมาก ต่างจากครั้งแรกที่มา แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบนึง มาพาราณสีต้องพักริมน้ำ แล้วก็อย่าตกใจถ้าต้องเดินผ่านตรอกซอยซอยเล็กๆ เข้าลึกเข้าดึกไปหาโรงแรมเพราะมันเป็นเรื่องปกติของเมืองที่อายุมากกว่า 4,000 ปีอยู่แล้วแหละหน่า
เรารีบเก็บกระเป๋าให้เสร็จแล้วออกมาหารถไป Sarnath (สารนาถ) ทำหน้าที่ชาวพุทธที่ดีซักหน่อย เกิดมาชาติหน้าอั้ม ญาญ่าก็แพ้ชั้นแน่นอน สารนาถเป็นเมืองข้างๆ พาราณสี ความสำคัญของเมืองนี้คือมีพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 ของพระพุทธเจ้า (ค่ารถAuto Rickshaw ไปกลับไม่ควรเกิน 500 รูปี จ้างไปทั้งไปและกลับจะได้หารถง่ายๆ และให้นางจอดรอ ค่อยจ่ายขากลับ)
ถ้าจำกันได้ตอนเด็กเวลาครูพระพุทธสอนจะบอกว่า “เอ้า นักเรียนคะ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาที่ไหนเอ่ย?” เด็กโง่ๆ แบบเราก็จะตะโกนตอบว่า “สวนลุมค่ะ!” 5555555 ผิดเด้อ ที่แรกคือ “ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน” คุ้นๆ หูบ้างปะแปลสวยๆ คือป่าที่ยกให้แก่หมู่กวางทั้งหลายเพราะแถวนี้เมื่อก่อนกวางเยอะ
ภายในก็จะมี ธรรมเมกขสถูป ที่เชื่อกันว่าจุดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาครั้งแรก! ค่าเข้าสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ของอินเดีย ค่าเข้าคนไทยจะเท่ากับอินเดีย เคยได้ยินว่าเพราะประเทศไทยมาช่วยทำนุบำรุงศาสนสถานและฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดียค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นค่าเข้าก็หลักสิบบาทยี่สิบบาทถูกมากกก
เรารีบกลับมาที่เมืองพาราณสีเพราะอยากล่องเรือยามเย็นชมแม่น้ำคงคาพร้อมดูพิธีคงคาอารตี แม่น้ำคงคานี่มีความยาวมากถึง 2500 กิโลเมตร ไหลและละลายมาจากเทือกเขาหิมาลัย คงคาเหมือนเป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวอินเดีย คือคนที่นี่ทั้งอาบน้ำ ซักผ้า หรือแม้กระทั่งเผาศพตามที่เคยได้ยินๆ มากันก็เผาลงแม่น้ำแห่งนี้เหมือนกันหมด!
คนฮินดูเชื่อกันว่าถ้าตายแล้วได้มาลอยลงแม่น้ำคงคาเนี่ยถือเป็นบุญ จะตายก็ต้องมาตายที่นี่เพราะแม่น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์สุดๆ ล่องเรือในแม่น้ำคงคาจะมีราคาแบบ 1 ชั่วโมง กับ 30 นาที เราว่า 30 นาทีก็พอ ต่อคนไม่ควรเกิน 100 รูปี
ล่องๆ ไปอาจจะมีเรือมาขายอาหารนกให้โปรยรอบๆ เรือ นกจะมากิน เราก็ได้รูปสวยๆ แต่ช่วงที่เราไปหมอกหนามากจริงๆ
พอตกกลางคืนแต่แทนที่มันจะให้บรรยากาศแบบวังเวงแสนเงียบเหงา พาราณสีกลับกลายเป็นครึกครื้นไม่เปลี่ยนแปลงและวุ่นวายใต้แสงไฟสลัว ส่วน Ganga Aarti (พิธีคงคาอารตี) นั้นมีขึ้นทุกคืนจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ดู จัดขึ้นเพื่อบูชาพระแม่คงคานั่นแหละ เริ่มประมาณ17.45 น.
พิธีมีประมาณ 1 ชั่วโมงจัดริมน้ำแถวๆ Dashaswamedh Ghat ดูฟรีไม่เสียเงิน แขกที่ไหนมาหลอกเอาเงินหยิกแขนนางเลย 555555
เราแนะนำให้ตื่นแต่เช้ามาเดินดูรอบๆ ท่าน้ำจะเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ ทั้งหญิงและชายมาทำกิจกรรมริมน้ำ มีนักบวช โยคี พราหมณ์เต็มไปหมด แขกวัยรุ่นก็จะตะโกนทักทายๆ หนีห่าวๆ อยู่นั่นแหละ นักบวชก็ขอตังค์กูจังเลย หน้าเหมือนรวยแต่จริงๆ จนมากเน้อ เอาเงินมาพอดีวัน ถ้าหลงหรือตกรถไฟนี่ลำบากพ่อแม่กันแน่นอน แล้วเมืองนี้ถ้าถามว่าใครเป็นใหญ่ ก็ตอบได้เลยว่า “วัว” สัตว์พาหนะของพระศิวะ เหมือนรถเบนซ์ของท่าน สงสัยมีเยอะมั้งเลยปล่อยเพ่นพ่านเต็มเมืองมนุษย์อย่างพาราณสีเลย
พาราณสีตรอกซอกซอยมันเยอะ เวลาเดินก็ต้องระวังทรัพย์สินของตัวเองกันด้วย แต่เท่าที่เราเคยมาสองรอบเดินดึกๆ ดื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น แต่ต้องไม่ประมาทนั่นแหละถูกแล้ว น่ากลัวกว่าคนคือลิงที่อยู่บนหัวนี่แหละ หัวขโมยชั้นหนึ่ง แถมตำรวจที่นี่จะคอยอยู่ตามตรอกต่างๆ ถือปืนกระบอกยาวๆ กันด้วย สร้างความมั่นใจว่างั้นเถอะ
จากพาราณสีนั่งรถไฟย้อนกลับไปพุทธคยาใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงแค่นั้น ค่ารถไฟประมาณ 200 รูปี ต้องจองล่วงหน้าอีกเช่นกันนะ ถ้าอยากจะนั่งแบบมีที่นั่งหรือถ้าไม่จองรถไฟอินเดียจะมีแบบ Unreserved Seat คือไม่ระบุที่นั่งถึงก่อนนั่งก่อน แบบนี้ขนลุกมาก อย่าลองเลย 5555 เคยลองแล้วแทบร้องไห้เลยนะ ถ้าจำกันได้ที่แมลงสาบบินว่อนนั่นแหละ 5555
ขอเมาท์ก่อนว่าทัวร์ไทยที่พามาพุทธคยาและสักการะสังเวชนียสถาน นี่ราคาแรงแบบแรงไม่ธรรมดาเลยเกือบๆ แสนได้ไม่เชื่อลองหาดู พอๆกับไปเที่ยวยุโรปเลยแหละ แต่ถ้ามาแบบวัยรุ่นหน่อยนั่งไทยแอร์เอเชียลงโกลกาตาแล้วต่อรถไฟแบบเรามาเที่ยวรวมทั้งทริปกินหรูอยู่สบายซัก 7 วัน 25,000 ก็ไม่เกิน!
GAYA – คยา
ข้ามจากเมืองฮินดูอย่างพาราณสีมาสู่คยา และตรงดิ่งไปยังศูนย์รวมพุทธศาสนาอย่าง Bodh Gaya ค่ารถไม่ควรเกิน 200 รูปีต่อคัน อย่าไปต่ออะไรน่าเกลียดนะ แบบ “50รูปีได้มั้ยพี่” อันนั้นต้องเป็นแม่ชีหรือพระเนาะ 55555 ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที พอไปถึง Bodh Gaya ที่นี่จะเป็นศูนย์รวมของศาสนสถานเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด ทั้งวันไทย วัดจีน วัดญี่ปุ่น วัดธิเบต วัดเนปาล มีทั้งหมดจริงๆ
ที่นี่เราพักกันที่วัดไทยพุทธคยา อยู่ใกล้ๆ กับเจดีย์พุทธคยา ห่างกันเดินไม่ถึง 10 นาที ตอนเดินเข้ารั้ววัดไทยไปเหมือนเดินออกจากสนามรบเข้าสู่สวนดอกไม้ 55555 เสียงแตรที่ดังตลอดทั้งวัน ฝุ่นที่เยอะแยะตามถนน หายวับไปกับตาตอนเดินเข้าวัดไทย
วัดมีห้องพักไว้บริการผู้แสวงบุญที่เดินทางมาสักการะเจดีย์พุทธคยาด้วย โดยกำหนดไว้ว่าไม่ให้เข้าพักเกิน 3 คืนเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้แสวงบุญท่านอื่นๆ แถมยังมีอาหารมังสวิรัติแบบไทยๆ ฝีมือแม่ชีไว้บริการด้วยนะ น้ำตาจะไหล ยิ่งตอนวันแรกที่มาถึงดึกๆ แม่ชีบอกพวกเราว่า “อร่อยก็ทานกันเยอะๆ เลย” ซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
ตอนเช้าๆ ยังมีชาและขนมปังแบบอินเดีย ฝีมือคนอินเดียแท้ๆ คอยบริการอีกด้วย และบริจาคได้ตามจิตศรัทธาเลย
( ภาพพระครูป้อมภาพนี้เราถ่ายเมื่อครั้งแรกที่ไปเยือนอินเดีย ประมาณเดือนมีนาคม 2014)
พวกเราได้สนทนาธรรมสั้นๆ กับพระครูปลัดปิโยรสหรือพระครูป้อม เราบอกว่าเด็กๆ วัยรุ่นแบบเราไม่ค่อยมีใครมาเส้นทางนี้กันหรอก เพราะเป็นเส้นไหว้พระทำบุญ ใครๆ ก็กลัวจะเบื่อกัน เรามาครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำให้ดูว่ามาได้จริงๆ สนุกจริง พระครูป้อมบอกว่า เป็นเด็กยิ่งต้องมา มาแทนพ่อ แทนแม่ เราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เป็นตัวแทนมาสักการะที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พระพุทธเจ้าจนถึงวันที่ตรัสรู้ โฮะๆ กลับไปขอเงินพ่อกับแม่เพิ่มอีกคนละ 20,000 บอกว่าเป็นค่ามาแทน ไม่ต้องมาแล้ว มาให้แล้วเอาเงินมางี้
สำหรับเราที่เดินทางบ่อยๆ การได้มาที่นี่อีกครั้งถือเป็นโอกาสชีวิตมากกว่า ไม่ใช่ใครจะมาได้ง่ายๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาถึงที่นี่ บางคนกลัว บางคนท้อ บางคนยังไม่คิดจะมาเลยเพราะเป็นอินเดีย อยากให้ลบความรู้สึกนี้ทิ้งไปก่อน เพราะลองได้มาเองแล้วมันดีมาก
มาถึงไฮไลท์ของที่นี่กันบ้าง Mahabodhi Temple ที่นี่เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 1 ใน 4 ที่สำคัญที่สุดเพราะที่นี่มีต้นพระศรีมหาโพธิ์และแท่น
วัชรอาสน์ที่พระพุทธเจ้าทรงนั่งตรัสรู้
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าแต่มือถือเอาเข้าไม่ได้มีที่ฝากที่ไว้ใจได้เป็นของวัด กล้องถ่ายรูปเอาเข้าได้เสีย 100 รูปี กล้องวิดีโอ 300 รูปี พอเข้าไปข้างในเราจะเห็นได้ถึงความศรัทธาของชาวพุทธจากทั่วโลกที่เดินทางมาสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์และเจดีย์พุทธคยา เราเองก็มีโอกาสได้ไปนั่งไหว้พระสวดมนต์ด้วยนะ ไม่ธรรมดาๆ
เดินออกมาก็เจออาบังกับงูด้วยจ้า พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เหมือนในการ์ตูนเลยพอเป่าปุ๊ป นางก็ชูหัวขึ้นมาเหมือนเต้น ถ้าไม่ใช่งูคงน่ารักกว่านี้อะ อันนี้ได้แต่ยืนดูอยู่ไกลๆ ไม่ไหวเด้อออ
ขากลับจากพุทธคยาเข้าโกลกาตาอย่างที่บอกว่าเราจองทุกอย่างช้าเอง กว่าจะได้รถไฟแบบที่อยากได้คือ AC2 Tier ก็เหลือแต่ขบวนที่ต้องนั่ง 16 ชั่วโมง ทำไงได้..ก็ต้องนั่งไง เพราะแบบอื่นก็นั่งกันไม่ไหวจริงๆ นั่งตั้งแต่ประมาณเที่ยงครึ่งจนถึงตีสี่ของอีกวัน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การนั่งนาน 5555 เพราะเป็นเบาะนอนก็นั่งใครนั่งมัน อ่านหนังสือกันไปชิวๆ ฟังเพลงกินหนม หลับตด หลับตดเดี๋ยวก็ถึง 55555
แต่! ไม่ใช่อย่างที่คิด ขบวนที่เรานั่งมามันจอดหลายสถานีหลักๆ ตามชนบทระหว่างวันตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาจนถึงประมาณ 2ทุ่ม เบาะที่เราซื้อมาราคาเต็มมันอาจจะไม่ใช่ของเราคนเดียว เพราะมีคนพร้อมจะมานั่งด้วยตลอดเวลา! อาจจะขึ้นสถานีนี้ ลงสถานีหน้าเหมือนสยามไปชิดลม แบบอาศัยเนียนๆ นั่งกันฟรี พอลุกปุ๊ปเสียม้า 55555 (เอ้า กูซื้อมานะ 555) แลกๆ เราก็ไม่ยอมหรอก ไล่แม่งไปนั่งที่อื่นให้หมด กูซื้อมาคนเดียวก็ต้องนั่งคนเดียวสิ หงุดหงิดและอารมณ์เสียมาก
นอนเหยียดยาวเต็มเบาะแบบใครก็ห้ามนั่งกับกู 5555 ซักพักมีคุณป้าคนนึงเดินมาแล้วก็หย่นก้นลงที่ปลายเท้าเรา ป้าบอกเราว่าขอนั่งเถอะแปปเดียวจริงๆ เอาขาเหยียดมาได้เต็มที่ตามสบายแต่ขอนั่งด้วยเถอะนะ เรากวาดสวยตามองไปรอบๆ ไม่มีเบาะไหนนั่งหรือนอนคนเดียวแบบเราเลย รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เลยให้ป้านั่งด้วย ป้ากลายเป็นคนเฝ้ากระเป๋าให้เราเวลาไปเข้าห้องน้ำ เพราะต้องนั่งแยกกับเพื่อนทุกคน จองเบาะติดกันไม่ทัน ป้าจะซื้อขนมให้เราแต่เราก็เกรงใจ ทำให้เราเข้าใจว่าคนที่นี่พึ่งพากันในภาวะจำกัดจำเขี่ยได้ดีมาก เราเองแหละที่ขี้งก (ทั้งๆ ที่จ่ายเต็มก็เถอะ) คนอื่นก็จ่ายเต็มเค้ายังแบ่งกันนั่งได้เลยนี่นา เราถามคนดูแลขบวน ได้คำตอบว่ามันมีขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้เรื่อยๆ ในช่วงกลางวันสำหรับขบวนที่จอดหลายๆ สถานีแบบนี้ หลังสองทุ่มไปทุกอย่างจะดีเหมือนเดิม ทำไงได้หละ…ก็ต้องยอมไง แต่ยอมด้วยความยินดีนะ 555555
สำหรับเพื่อนเราที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโบกี้ นั่งไปนั่งมาจากตอนแรกที่กะนั่งกันตามเลขเบาะนอนสบายๆ ใครมาขอก็ไม่ให้นั่งบอกว่าชั่นซื้อที่มาแล้ว แต่สุดท้ายหลังๆก็ต้องยอมใจอ่อนเพราะพี่แขกมาทั้งเด็ก สตรี และคนชราครบ!!! มาคะ อยากนั่งก็เข้ามา เอาเป็นว่านั่งด้วยกันทั้งหมดนี่แหละคะ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้แย่แบบที่เราคิด ด้วยความที่เก้าอี้นั่งจัดแบบหันหน้าเข้าหากันมันก็เลยไม่มีสิ่งบันเทิงอื่นใด นอกจากหน้าแปลกๆของคนที่นั่งตรงข้ามนี่แหละ ป้าก็เปิดวงสนทนาถามนั่นถามนี่ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พอพูดว่า ห๊ะ??? ป้าก็จะโซโล่ฮินดีใส่ เราเลยรู้แกวให้ตอบว่า อืมมมม…อืมมมม….เข้าไว้ป้าก็จะเข้าใจไปเอง 55555 หลังๆก็ขอเซลฟี่ด้วยกันไปเลย ถ่ายเสร็จป้าบอกไม่สวย ขอจัดสาหรีใหม่ด้วย 555
Park Street
ไฟลท์ขากลับไทย แอร์เอเชียออกตอนกลางคืนเราแนะนำให้ไปเดินเล่นแถว Park Street ที่นี่เป็นย่านกลางคืนของโกลกาตา ก็เหมือนสยามร้อนบ้านเรานั่นแหละมีหลายๆ ร้านเป็นตึกร้านอินเดียบ้าง Junkfood ต่างๆ ก็เต็มไปหมด เหมาะแก่การพักผ่อนยามค่ำคืน ซึ่งไม่รู้จะผ่อนคลายรึป่าวนะ แต่เดินเล่นก็สนุกดี แล้วจะรู้ว่ามันเป็นเมืองเจริญเหมือนกันนั่นแหละ
เราขอแนะนำแค่ 2 ร้านคือ Peter Cat ร้านนี้ชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นร้านที่ดีที่สุดในโกลกาตา ขายสเต็กแบบอินเดียๆ อาหารเหมือนฝรั่งแต่เป็นอินเดียเฉยเลย รสชาติอร่อย ราคาเหมือนกินในห้างบ้านเรา แต่แพงสำหรบที่นี่
อีกร้านคือร้านหนังสือ Oxford อินเดียขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่หนังสือถูกและดีมีเยอะมาก ถ้าได้ไปควรเข้าร้านหนังสือเดินดูหนังสือดีๆ ติดไม้ติดมือซักเล่ม หรือนิตยสารตามข้างทางส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ง่ายต่อการซื้อและอ่านมากๆ
เป็นไงหละ บอกแล้วว่าที่นี่เที่ยวง่าย ด้วยความที่ราคาค่ารถมันไม่ตายตัว ราคาขึ้นอยู่กับความพอใจทั้ง 2 ฝ่าย 5555 อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็เท อาหารนี่เราไม่กล้าแนะนำเลยแต่ก็มีหลายอย่างที่อร่อยแต่บางคนก็ไม่ชอบ ขอแนะนำของกินเล่นซัก 2 อย่างละกันนะ แถวๆ หน้า Victoria Memorial จะมีร้านขนมเอยอะไรเอยขายอยู่ แนะนำให้กิน Pufffed Rice กับ Papri – Chat เหมือนข้าวเกรียบ ข้าวพอง ราดน้ำยำแบบอินเดีย ความสะอาดไม่ต้องพูดถึงแต่รสชาติดีใช้ได้ กินได้อยากให้ลองราคาบ้าน 10-20 บาท
แต่แนะนำว่าให้พกมาม่าไปเยอะๆ ส่วนขนมที่อินเดียพวกขนมถุงอร่อยมาก คุ๊กกี้และชาอินเดียคือที่สุดของอาหารรองท้อง
ความขี้เล่นของคนที่นี่มีเยอะ เพื่อนเราไปสลับกันนั่งกับคนขับแล้วบอกให้ยืนแอ๊คติ้งถ่ายรูป นามก็ยอมทำนะ เพราคนที่นี่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้วด้วย
อินเดียต่างจังหวัดจะไม่ค่อยมีมินิมาร์ทใหญ่ๆ เพราเค้าต้องการอนุรักษ์ร้านโชว์ห่วยบ้านๆ แบบนี้ไว้เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ด้วย
ขากลับตอนเห็นเครื่องไทย แอร์เอเชียมาจอดปุ๊ปน้ำตาแทบไหล อินเหรอ? ก็เปล่า แต่คิดถึงกระเพราบนเครื่องมากกว่า 55555 ก่อนกลับ อย่าลืมเลือกที่นั่ง Hot-Seat ด้านหน้าไว้ เพื่อความสะดวกสบายส่วนตัว จะได้งีบหลับได้อิ่มๆ ก่อนถึงกรุงเทพ และอย่าลืม อันนี้ขอย้ำส่วนตัวเลยคือการสั่งอาหารล่วงหน้าหรือ Prebook-Meal ไว้ก่อน เพราะกลับจากอินเดียดึกแค่ไหนยังไงก็โหย เราสั่งกระเพราไก่หม่อมหน่อยขึ้นมา สั่งทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ รสชาติเหมือนถึงบ้านแล้ว รักหม่อมหน่อยมากแม้จะไม่รู้ก็ตามว่านางเป็นใคร 555555555
ถ้าเลือกแล้วว่าจะไปโกลกาตาแล้วแน่ๆ ไทย แอร์เอเชียนี่แหละที่ดูเอ็นจอย บินคุ้ม คุณภาพครบกับสายการบินที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
สำหรับ Budget ทริปนี้นั้นรวมทุกอย่างตั้งแต่ไปทำวีซ่าอินเดียจนถึงเครื่องบินแลนด์กลับมาที่ดอนเมืองอีกรอบ 5 คืน 6 วัน เราใช้ไปแค่คนละประมาณ 15,851 บาทเท่านั้น กินอิ่ม นอนหลับ รถไฟดี โรงแรมโอเค ไม่ลำบาก ค่าเงินอินเดียถูกกว่าบ้านเราประมาณครึ่งนึง ( 1 รูปี – 0.54 สตางค์)
เห็นงบถูกๆ โคตรคุ้มแบบนี้ ควรไปเองซักครั้งแล้วจะหลงรักมันจริงๆ
รวมๆ แล้วอินเดียเป็นประเทศที่จอยดีเหลือเกินทั้งคน ทั้งเมือง ทุกอย่างดูวุ่นวายแต่ก็อยู่กันได้ เราถึงบอกว่าที่นี่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนจริงๆ เวลาเจอเรื่องที่คนอินเดียน่ารำคาญทำให้หงุดหงิด ซักพักนางจะส่งอีกคนมาทำให้เรารักและหัวเราะหนักกว่าเดิม เหมือนอยู่กับผัวที่มือหนักๆ ชอบเล่นแรงๆ 55555 ซักพักก็มาจี้เอวใหม่อีกรอบ สนุก ตื่นเต้น ดิบๆ และน่ามาเยือน บางคนอาจจะบอกว่าที่นี่ยังมีความรุนแรง สกปรก อันตราย ไม่น่าอยู่ ไม่ควรมาเที่ยวหรืออะไรก็ตาม ความเห็นส่วนตัวของเราคือการมาเที่ยว ก็เหมือนกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ และโมเม้นท์ดีๆ ที่เราไปเจอและไปเยือน เราไม่ได้ออกเดินทางเพื่อเปรียบเทียบว่าที่นี่แย่ หรือที่ไหนดีกว่ากัน ทุกๆ เมืองมีเรื่องราวผสมผสานกันไป เราว่าอยู่ที่คนไปเยือนนั่นแหละว่าจะเลือกหยิบและเก็บมุมมองไหนกลับมา ส่วนของเราเลือกเก็บอินเดียในมุมที่ประทับใจไว้เสมอ