จากเกาะกูดข้ามมาที่เกาะช้างกันบ้าง! เราเคยมาเที่ยวเกาะช้างเมื่อ 4 ปีก่อนจำได้ว่าชอบพระอาทิตย์ตกดินริมหาดที่นี่มากๆ วันนั้นฟ้าระเบิดจากสีส้มค่อยๆ กลายเป็นสีชมพูอมฟ้าและสีแดงจนลับขอบฟ้าไปในที่สุด เป็นภาพที่เราจำได้ขึ้นใจกับวิวในเกาะช้างพร้อมกับอาหารซีฟู๊ดเริ่ดๆ ที่ยิ่งหน้า Green Season แบบนี้ไม่ต้องพูดถึงเพราะ ‘สด ใหม่ ถูก อร่อย!’
หากเพื่อนๆ เดินทางจากเกาะกูดข้ามมาเกาะช้างในช่วง High Season จะมีเรือวิ่งระหว่างเกาะ แต่ช่วง Green Season แบบนี้ไม่มีเรือวิ่ง ยกเว้นเหมา Speed Boat แบบส่วนตัว เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องกลับขึ้นฝั่งที่ตราดก่อน ก่อนเปลี่ยนท่าเรือ โดยเรือข้ามไปเกาะช้างสามารถขึ้นเรือได้ทั้งที่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ และท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์ ราคาเท่ากันคือไป-กลับคนละ 160 บาท หากเอารถข้ามไปด้วย ไป-กลับคันละ 240 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-45 นาที เกาะเล็กๆ รูปช้างที่อยู่ด้านหน้าคือ Paradise On Earth ที่มากกว่าหาดทราย สายลม และแสงแดด ยังมี Fine Dining หรูๆ ที่วัตถุดิบมาจากท้องถิ่น และปลายอดฮิตอย่างปลาย่ำสวาท ที่เราจะตระเวนกินกันให้หนำใจตลอด 3วัน 2คืน กันไปเลย!
เกาะช้างตลอด 3 วัน เราพักกันที่ KC Grande Resort & Spa โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาวชื่อดังบนเกาะช้าง เราพักที่ห้องพักแบบ Paradise Beachfront Villa อยู่หน้าหาดเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแบบเต็มตา แถมเดินต่อไปอีกไม่กี่สิบก้าวเธอก็เล่นน้ำทะเลกันต่อได้เลย
ดูรีวิวโรงแรมพร้อมรูปจุกๆ ต่อได้ที่นี่ คลิกเลย!
KC Grande Resort & Spa มีโรงแรมอยู่ทั้งสองฝั่งถนน ทั้งฝั่งที่ติดหาด และฝั่งภูเขา สิ่งนึงที่เราคาดหวังทุกครั้งเวลาไปพักตามโรงแรมต่างๆ ไม่ว่าจะเปิดมานานแล้วแค่ไหนก็ตามคือเรื่องของการ Maintenance ให้ห้องพักดูสะอาดสะอ้านและใหม่อยู่เสมอ ให้ได้ฟีลแบบเปิดประตูเข้าห้องครั้งแรกแล้วได้กลิ่นหอมไม่ใช่กลิ่นอับ ซึ่ง KC Grande Resort & Spa ทำได้ดีมาก ณ จุดนี้ ขอปรบมือให้ค่า
แถมสระว่ายน้ำก็มีให้เล่นทั้งฝั่งชายหาดและฝั่งภูเขาที่มีสไลเดอร์ให้เล่นน้ำกันได้มันส์ๆ และบรรยากาศรอบๆ โรงแรมก็ร่มรื่นไปด้วยต้นมะพร้าว หญ้าสีเขียว และรอยยิ้มของพนักงานที่ไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางไหนก็ทักทายเสมอ ประทับใจจริงๆ
เราพักผ่อนในโรงแรมหลังจากมาถึงช่วงเที่ยง ก่อนช่วงบ่ายแก่ๆ ก็เตรียมตัวออกไปหาของอร่อยทานกัน มื้อเย็นนี้เราไปทาน Dinner กันที่ สลักเพชรซีฟู๊ดแอนด์รีสอร์ท ร้านนี้ต้องบอกก่อนว่านอกจากอาหารอร่อยแล้ว เราประทับใจวิวมากที่สุด เป็นร้านริมน้ำที่มีกระชังปลาเป็นของตัวเอง แล้วมองออกไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นที่จอดเรือใบและเรือยอร์ชต่างๆ พร้อมวิวภูเขาเป็นพื้นหลัง ถ้าช่วงเช้าหรือฝนตกน่าจะมีหมอกให้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศ ถ้ามาตอนเย็นเยื้องมาทางด้านซ้ายมือคือวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยไม่แพ้กัน
สลักเพชรซีฟู๊ดแอนด์รีสอร์ท อย่างที่บอกว่ามีกระชังปลาเป็นของตัวเอง พี่ๆ เลยให้เรามาดูวิธีการจับปลาย่ำสวาทแบบสดๆ เพื่อนำมาทำเป็นอาหารมื้อเย็นของเราวันนี้ ออกตัวก่อนว่าไม่กล้ายืนดูด้วยตัวเองเพราะกลัว เลยบอกว่าให้พี่ๆ ตัดสินใจเองเลยละกัน 555 และแผ่เมตตาถึงเจ้าปลาพร้อมบอกกันในใจว่าเราจะทานมันอย่างรู้คุณค่า ซึ่งเมนูปลาย่ำสวาทเย็นนี้พี่ๆ ถามว่าเคยทานแบบซาซิมิแล้วใช่มั้ย งั้นวันนี้ขอลองทำแบบนึ่งซีอิ้วให้ทานดูบ้างละกัน ปรากฏว่าเจ้าปลาย่ำสวาทนึ่งซีอิ้วนั้นรสชาติโอ้โห.. ดูแพงมากจริง อร่อย เนื้อแน่นแต่นุ่มและลื่น ทานพร้อมกับปลาหมึดแดดเดียว กุ้งแช่น้ำปลา หมูทอดและหมึกไข่นึ่งมะนาวเป็นมื้อเย็นท่ามกลางพระอาทิตย์ตกดินที่เพอร์เฟคมากกับร้านโลคอลติดดาวร้านนี้ ?
Day 2
เช้าวันที่ 2 ของเราอย่างที่บอกว่าทริปนี้เน้นกินหรู นอนสบาย และใช้ชีวิตดีๆ หลังจากตื่นแต่เช้าเดินเล่นชื่นชมบรรยากาศรอบๆ โรงแรมและทานอาหารเช้าคู่กับวิวทะเลแบบพอหอมปากหอมคอแล้วก็พร้อมเดินทางต่อ ใครที่บอกว่า Green Season ไม่น่าเที่ยวนี่ต้องคิดใหม่นะ เพราะฟ้าไม่ได้แย่ตลอดเวลา มีบ้างที่ฝนตกแต่หลังฝนนั้นสวยงามกว่าใครเสมอจริงๆ
เราแวะไปที่จุดชมวิวเกาะช้างน้อยไปดูวิวและถ่ายรูปสวยๆ กันซัก 2-3 แชะ ก่อนที่จะเดินทางไปกระชังปลาผู้ใหญ่มิตร ผู้ใหญ่ใจดีที่เลี้ยงปลาย่ำสวาทไว้กลางทะเล ทำให้เราต้องนั่งเรือเล็กออกไปดูอย่างใกล้ชิดทำให้เห็นวิธีการเลี้ยงแบบธรรมชาติเพื่อให้ได้ปลาที่มีคุณภาพ ตัวใหญ่ ปลาไม่เครียด และกระแสน้ำต้องไหลเวียนตลอด ทำให้ขายได้ราคาดีมากถึงตัวละ 1,200 บาท แต่เห็นราคานี้อย่าคิดว่าโก่งราคานะคะ เพราะต้นทุนการเลี้ยงดูก็สูงไม่แพ้กันเลย!
ตามที่ได้เกริ่นเอาไว้ว่าทริปนี้เน้นกินหรู ทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นของวันนี้เลยจะกินเฉพาะ Fine Dining เท่านั้น เริ่มมื้อเที่ยงเป็น Lunch ริมหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเกาะช้างชื่อว่าร้าน The Beach Club เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Peninsula Beach Resort Koh Chang ซึ่งเชฟใหญ่ใจดีชาวอิตาเลียนที่ชื่อว่า คุณ Alberto เป็นคนดูแล คิดค้นและทำอาหารด้วยตนเองทุกอย่าง นี่คือเชฟที่ใจดี อารมณ์ดีและมีความสุขในการทำงานอาหารให้แขกรับประทาน ดูได้จากสีหน้า แววตา การอธิบายเมนูต่างๆ และมุกตลกที่คอยแทรกเข้ามาทำให้การทานอาหารนั้นไม่มีติดขัดหรือชะงักเลย
นี่คือเสิร์ฟเป็นทั้งหมด 4 คอร์ส ราคาคนละ 1,500 บาท โดยจะมี Appertizer / Soup / Main Course / Desert สำหรับจานแรกที่ออกมาคือ หอยเชลล์เนื้อแน่นท็อปด้วยมะเขือเทศอบแห้ง และตามมาติดๆ ด้วยซุปมันฝรั่งเข้มข้นพร้อมหอยแมลงภู่ตัวโตผัดกับซอสให้ทานแบบเข้ากัน และเมนคอร์สหลักที่ทำมาจากปลาย่ำสวาทอย่าง Oven Roasted Coral Trout fillet with Tropical Fruit and Lemon Butter จานนี้จัดจานมาสวยมากเพราะเป็นไฮไลท์เนื่องจากทำจากปลาท้องถิ่นอย่างปลาย่ำสวาท มีการฝานมะม่วงรองเป็นฐานแทนชายหาดของเกาะช้าง มีการนำมะละกอและสัปปะรดท้องถิ่นชื่อดังอย่างพันธุ์ ‘ตราดสีทอง’ มาทำเป็นดวงอาทิตย์ช่วง Sunset เป็นการทานอาหารที่สนุกและมีเรื่องราวมาก ตบท้ายด้วยของหวานเป็นพานาคอตต้ามะม่วงเนื้อเนียนละเอียดที่ทานปิดท้ายมื้อนี้แบบฟินมาก
เอ้อ! หากมาตรงวันที่อากาศดีๆ เหมือนเราแนะนำเลยค่ะว่าให้จัดเต็มกับเครื่องแต่งกายเพราะชายหาดที่นี่สวยมาก ช่วงน้ำลงเธอสามารถเดินถ่ายรูปชิคกับครีเอทมุมใหม่กันได้เลยเพลิดเพลินเลยนะคะ
ทานอาหารกันเสร็จแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนเราเลยเลือกกับไปนอนพักผ่อนที่โรงแรม 555 เที่ยวแบบคนมีอายุนิดนึง แนะนำว่าอย่าจัดแพลนแน่นมากไป เอาชิวๆ ที่โรงแรมมีเสื่อให้เรายืมนอนอาบแดดด้วยนะ หรือจะว่ายน้ำเล่นกับเพื่อน เล่นสไลเดอร์มันส์ๆ ก็สนุกกันไปอีกแบบ
เราใช้เวลาพักผ่อนในโรงแรมประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนออกไปหาขนมทานเล่นที่ร้าน เลอเจ้าจอม คาเฟ่ที่ตกแต่งแบบจัดเต็มและอาหาร เครื่องดื่มแต่ละจานนั้นใหญ่เบ้อเร่อ แนะนำให้ดูรอบๆ ตัวก่อนนะคะ ว่าโต๊ะที่มาถึงก่อนเรานั้นมันกินกันหมดรึเปล่า เพราะใหญ่จริง แต่รสชาตินั้นไม่เลวเลย แนะนำให้สั่งเครื่องดื่ม และเค้ก Signature ของร้านซึ่งบางอย่างหมดเร็วมาก แนะนำว่าให้ถามพี่พนักงานได้เลยว่า ‘วันนี้เค้ก Signature เหลือตัวไหนบ้างคะ’ สั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ไปถ่ายรูปเล่นบริเวณริมหาดหน้าร้านเพราะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการทำแคร่ไว้บนต้นไม้ให้เราขึ้นไปถ่ายรูป แนะนำเลยว่าดีงาม
ส่วนมื้อเย็นแนะนำให้ไปฝากท้องกับร้านหรู Fine Dining อีกร้านนึงซึ่งมีดีกรีเป็นถึงหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันและผู้ท้าชิงเชฟกระทะเหล็ก นั่นก็คือเชฟบิลแห่งร้าน ‘Chef Studio Koh Chang’ ที่นี่เน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการทำอาหารเช่นกัน และพิเศษไปกว่านั้นผักสวนครัวต่างๆ หรือผักตกแต่งนั้นมาจากบริเวณรอบๆ ของร้านด้วยนั่นเอง 5555 สด ใหม่ และปลอดสารพิษแน่ๆ ราคาของ Fine Dining ที่นี่เพียงหัวละ 1,300 บาทเท่านั้น แต่เสิร์ฟมากถึง 7 คอร์สทั้งคาวและหวาน ซึ่งบอกก่อนว่าเมนูของทางร้านจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในแต่ละช่วงฤดูกาล
เพราะฉะนั้นเราขอไม่รีวิวอาหารทีละจาน ขอยกตัวอย่างจานโปรดต่างๆ มาให้ดูเป็นตัวอย่างนะคะ แต่.. เมนคอร์สของที่ร้านคงจะหนีไม่พ้นปลายอดฮิตที่หาทานได้ที่ตราดที่เดียวเท่านั้นอย่างปลาย่ำสวาทแน่นอน บอกเลยว่าเนื้อแน่น แม้เอาไปย่างเนื้อก็ยังไม่ยุ่ย แถมเข้ากันกับซอสมะม่วงที่เชฟบิลเตรียมไว้ ส่วนเมนูอื่นๆ อย่างของหวานที่เป็นช็อคโกแลตและสัปปะรดท้องถิ่นชื่อดังอย่างพันธุ์ ‘ตราดสีทอง’ ส่วนเมนูผักต่างๆ ก็เป็นวัตถุดิบที่ทางร้านทำขึ้นมาเองทั้งหมด เลยมั่นใจได้ว่าสะอาด ปลอดภัย และอาหารดินเนอร์ที่เธอทานอยู่นั้นทำพิเศษขึ้นมาเพื่อให้เธออิ่มแปล้และนอนหลับฝันดี
ย้ำอีกครั้งว่าหัวละ 1,300 บาทเท่านั้นและมีมากถึง 7 คอร์สเมนูกันเลยนะ แต่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ
Day 3
วันสุดท้ายก่อนกลับจากเกาะช้างของเรา เลือกใช้เวลาช่วงเช้าชิวๆ ในโรงแรม ก่อนออกจากเกาะช่วงสายๆ เราแนะนำให้ออกจากโรงแรมประมาณ 10.30 น. หากนำรถส่วนตัวมาเองแบบพวกเราเธอจะถึงกรุงเทพก่อนค่ำพอดี ไม่ต้องขับรถดึกๆ ดื่นๆ นะ
สำหรับเราเกาะช้าง เกาะกูด และจังหวัดตราดเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็น Comfort Zone ของเราก็ไม่ผิด เพราะมันทำให้เราสงบ ได้พัก ได้กินของอร่อยๆ ที่หาที่ไหนไม่ได้อย่างปลาย่ำสวาท ย้ำอีกครั้ง! ปลาย่ำสวาทมีเฉพาะที่จังหวัดตราดเท่านั้น
สำหรับใครที่กังวลว่า Green Season ฝนจะตกหนักจนเที่ยวไม่ได้ อยากให้รูปสวยๆ เหล่านี้ของเราเป็นคำตอบเพราะเราไป 5 วัน ฝนตกทุกวันเช่นกัน 555555 ตราดรอให้ทุกคนมาสัมผัส หลบหนีความวุ่นวายในเมือง หนีความน่าเบื่อของช่วงวิกฤตครั้งนี้ มาพักผ่อนที่ตราดกันนะ :)