11 โลเคชั่นในฟุกุโอกะและ ‘คิวชู’ ให้ใจมันฟูตลอด 5 วัน 4 คืน แล้วเธอจะรู้ว่าญี่ปุ่นแดนใต้น่าเที่ยวกว่าที่คิด!
แน่นอนว่าคนมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกก็ต้องอยากไปโตเกียว หรืออยากขึ้นไปเล่นสกีกับหิมะหนาวๆ ที่ซัปโปโร แต่อย่าลืมว่านี่เพิ่งเปิดประเทศ ทุกคนต่างหลั่งใหลไปที่เดียวกัน คนมันต้องเยอะมากแน่นอน เราเลยเลือกเส้นทางที่คนน้อยหน่อย อากาศดีเหมือนกันและยังให้ฟีลลิ่งแบบเที่ยวญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ เลยเลือกกลับมาที่นี่ก่อนเป็นที่แรก เป็นทริปเบาๆ ในฟุกุโอกะ และเที่ยวรอบๆ เมืองเล็กอีก 2-3 เมืองแบบ Day Trip ให้ทุกคน Pack Light เดินทางตามได้ง่ายๆ กับ 11 โลเคชั่นในฟุกุโอกะและเมืองเล็กๆ ที่ควรไปอย่างคิตะคิวชู โมจิโกะ และยุฟุอิน หรือจะเรียกรวมกันว่า ‘คิวชู’ ให้ใจมันฟูตลอด 5 วัน 4 คืนก็ได้เช่นกัน
ทริปนี้เราออกเดินทางกับ Galaxy Z Flip4 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เรือธงที่อยากชวนทุกคนมา #ยอมพับซะดีๆ ที่ไม่ว่าจะองศาไหนๆ ก็สามารถถ่ายรูปได้เท่ไม่เหมือนใคร เดินทางคนเดียวก็ยังได้ภาพสวยๆ กลับมาอีกเพียบเพราะนี่คือสมาร์ทโฟนที่ครีเอทมุมมองการถ่ายภาพและวีดิโอได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะตั้งที่องศาไหนๆ ก็ไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้องได้ตลอดการเดินทาง
บินตรงจากกรุงเทพกับการบินไทยด้วยบริการแบบ Full Service เพียงเจ้าเดียวในเส้นทางนี้ที่รวมอาหาร น้ำหนักกระเป๋าและที่นั่งทุกอย่างแบบไม่มีจ่ายเพิ่ม ด้วยเวลาบินเพียง 5 ชั่วโมงนิดๆ แล้วจะรู้ว่า ‘ฟุกุโอกะ’ เป็นเมืองที่ครบเครื่องมากๆ จนเธอต้องมาตามรอยแน่นอน!
Fly Direct Smooth As Silk
จริงๆ หลังจากเปิดประเทศมา ฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่เนื้อหอมมากๆ เพราะมีหลายสายการบินเลือกบินตรงจากกรุงเทพมาลงที่ฟุกุโอกะ แต่ทริปนี้เราเลือกเดินทางกับการบินไทยเหมือนเดิม สำหรับเที่ยวบินที่ไกลๆ อย่างญี่ปุ่นการเลือกบินกับ Full Service สำหรับเราเป็นอะไรที่จำเป็นมากๆ ด้วยบริการที่ครบถ้วนทั้งน้ำหนักกระเป๋า อาหารแบบจัดเต็ม และที่นั่งที่สามารถเยียดแข้งเยียดขาได้กว้างขึ้นทำให้เดินทางได้อย่างสะดวกสบายที่สุด ถึงปุ๊ปพร้อมเที่ยวกันที
เส้นทางฟุกุโอกะ การบินไทยให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Airbus A330 เป็นเครื่องบินทางเดินคู่ที่กว้างมากๆ แถมยังเป็นที่นั่งแบบใหม่ล่าสุดที่การบินไทยนำไป Retrofit มาใหม่และมีเพียงแค่ 3 ลำเท่านั้นที่ให้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุดสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางคนเดียว สำหรับเรื่องอาหารก็ต้องแชร์กันตามจริงว่ามีทั้งอร่อยและไม่อร่อย แต่สำหรับเราอาหารญี่ปุ่นที่เป็น Bento Set นั้นรสชาติดีใช้ได้มากๆ เลย
การบินไทยให้บริการบินตรงจากกรุงเทพสู่ฟุกุโอกะทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ข้อดีของการบินกับการบินไทยช่วงนี้คือ ทุกๆ เที่ยวบินขากลับไทยจะออกค่อนข้างเช้าทุกไฟลท์ ยกเว้นการบินไทยที่จะออกเดินทางจากฟุกุโอกะช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ทำให้ไม่ต้องรีบตื่นมากลับบ้าน ยังพอมีเวลาให้เดินอ้อยสร้อยซื้อของและละลายเงินเยนในสนามบินอีกเล็กน้อยด้วย
เครื่องของการบินไทยจะถึงที่ฟุกุโอกะช่วงเช้าตรู่ ช่วงนี้อาจจะต้องเผื่อเวลากันหน่อยเพราะญี่ปุ่นเพิ่งประเทศทำให้บุคลากรน้อยมากๆ ทำให้บางช่วงอาจต้องรอคิวผ่าน ตม.และศุลกากรค่อนข้างนานมากๆ ฟุกุโอกะเดินทางค่อนข้างง่าย มีสถานีรถไฟที่สนามบินแต่อยู่ในโซน Domestic Terminal ซึ่งต้องนั่ง Shuttle เราแนะนำว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงและของเยอะมากๆ ราคาแท็กซี่จากสนามบินไปที่พักไม่แพงจนเกินไปก็นั่งแท็กซี่ดีกว่า
เราเลือกพักกันแถวย่าน Tenjin เพราะตั้งใจว่าตลอดทั้ง 4 คืนจะพักที่เดียวไม่ย้ายโรงแรมไปมา เลือกย่านนี้เพราะคึกคักมากเป็นพิเศษจะเดินไป Hakata St. ก็ไม่ไกลเกินไป หรือจะไปช๊อปปิ้งย่าน Tenjin ก็ใกล้มากๆ หลังจากเอาของไปเก็บที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วก็พร้อมเที่ยวทันที!
DAY 1 Dazaifu Tenmangu
จากโรงแรมเราเดินไปที่สถานีรถไฟ Nishitetsu – Tenjin (Fukuoka) นั่งไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Nishitetsu-Futsukaichi แล้วต่อไปสุดสายที่สถานี Dazaifu จากด้านหน้าสถานีเราจะเจอปากทางเข้าเดินไปศาลเจ้าที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินช้อปปิ้งยาวไปตลอดทั้งทาง
หลังจากที่ห่างหายจากญี่ปุ่นไปนาน ถนนคนเดินเส้นนี้ก็ทำให้ใจฟูได้ไม่เบาเลย ร้านขนมเอย ร้านน้ำชา และของจิ้มลิ้มแบบญี่ปุ่นที่ล่อเงินในกระเป๋าตลอดทาง หรือร้านกาแฟอย่าง Starbucks ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับท้องถิ่นก็ดึงดูดให้ทุกคนยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่ด้วยตลอดทาง
พอเดินเข้ามาในศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu (ดาไซฟุเทนมังกุ) ก็ร่มรื่นมากๆ มีสะพานแดงทอดข้ามลำน้ำเล็กๆ เพื่อเดินไปสู่ตัวศาลเจ้า ที่นี่คนมักจูงลูกจูงหลานมาข้อพรด้วยการเรียนและขอให้พ้นเคราะห์ภัย ทุกข์โศกต่างๆ ที่นี่คนเลยแน่นๆ ตลอด โดยเฉพาะยิ่งช่วงสอบก็คนเยอะระเบิดระเบ้อไปเล้ย
ความร่มรื่นของที่นี่ทำให้เราเดินเล่นชิวๆ ได้ทั้งวัน แต่ช่วงที่เราไปคนค่อนข้างเยอะเพราะตรงกับวันอาทิตย์ แถมตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเลยยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม เอ้อ! อย่าลืมแวะไปลูบหัวเจ้า โกะชิงกิวกันด้วยนะ รูปปั้นวัวที่คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าได้ลูบหัวแล้วจะทำให้เราหัวดี ฉลาดขึ้น เราลองแล้วก้ฉลาดขึ้นจริงๆ
ใครกำลังแพลนมาเที่ยวที่นี่ต้นปีหน้าบอกเลยว่าถูกจังหวัดเพราะช่วงต้นปี ดอกบ๊วยหลายสายพันธุ์ที่ปลูกกันในศาลเจ้าจะเริ่มบานและส่งกลิ่นหอมไปทั่วแน่นอน
Mochi Beach & Fukuoka Tower
จาก Dazaifu Tenmangu เรากลับมากันที่ Mochi Beach ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมมันมีชายหาดใกล้เมือง แต่มารู้ทีหลังว่าเป็นชายหาดที่เป็น Man Made มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเอง ที่นี่ถ้าวันไหนฟ้าสวยๆ คงสวยมากๆ ด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่นที่มีร้าน Yatai บ้างตลอดข้างทางรวมไปถึงร้านทาโกะยากิ ข้าวโพดเผา และมันหวานเผาให้นั่งกินริมทะเลกันชิวๆ ได้ตลอดทั้งเย็น
แต่น่าเสียดายวันที่เราไปฟ้าไม่ค่อยสวย แต่อากาศดีมากๆ เลยได้โอกาสนั่งริมทะเล กินอะไรรองท้องเพลินๆ พร้อมดูวิวและสูดอากาศเย็นๆ ของญี่ปุ่นให้คิดถึงจนฉ่ำไปเลย
ที่นี่อยู่ติดกับ Fukuoka Tower สัญลักษณ์อีกอย่างนึงของเมืองนี้เลย แต่ด้วยฟ้าที่ไม่สวยและเวลาจำกัดเลยขอถ่ายรูปกับเจ้า Fukuoka Tower จากมุมด้านล่างแทนละกัน
ความพิเศษของ Galaxy Zflip 4 ที่เรารู้สึกว่ามันเท่และไม่เหมือนใครคือมันสามารถพับได้ แถมถ่ายรูปได้หลากหลายองศามากๆ สามารถครีเอทภาพในมุมต่างๆ ได้ดั่งใจแม้เที่ยวคนเดียว จะสาย Solo Traveller หรืออยากเซลฟี่กับเพื่อนฝูงในมุมใหม่ๆ #FlexEveryAngle ของ Galaxy Z Flip4 ก็ตอบโจทย์ทุกความสร้างสรรค์
DAY 2 : A day in Yufuin
เช้าวันที่ 2 ของทริปเราออกกันแต่เช้าเพื่อไป Yufuin แบบเช้าเย็นกลับ ที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นเล็กๆ ที่ขึ้นชื่อมากในคิวชู ด้วยความที่เดินทางสะดวก เมืองมันมีความคิ้วท์ และเดินทางมาจากฟุกุโอกะได้ง่ายๆ ที่นี่เราเลยเห็นคนมาเดินอ้อยสร้อยกันได้ทั้งวัน จะเป็นทริปถ่ายรูปน่ารักๆ หรือทริปกิน ก็ทำได้หมดเพราะตลอดสองข้างทางตรงยาวตั้งแต่สถานีไปจนถึงทะเลสาบคินรินที่สุดปลายถนนมีอะไรให้ทำให้แวะตลอดทางเลย
จากสถานี Hakata เดินทางมาลงที่สถานี Yufuin ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงให้ฟีลเพลินๆ นั่งดูวิวใบไม้เปลี่ยนสีสองข้างทางมาเรื่อยๆ แปปเดียวก็ถึงแล้ว จากด้านหน้าสถานีจะเป็น Yufuin Main Road ที่ตรงยาวไปจนสุดทางที่ทะเลสาบ สองข้างทางมีร้านน่ารักๆ เต็มไปหมด สามารถเดินเพลินๆ กันไปได้เลย
ใกล้ๆ กับปากทางเข้า Yufuin Floral Village มีร้านกาแฟร้านนึงที่กาแฟดีเลย และราคาไม่แรงมากชื่อ Nakashima Kyujo Coffee ถ้าเดินแล้วง่วงๆ หรืออยากได้กาแฟให้มันสดชื่นก็ไปลองได้ เราก็ลองกันไปหลายแก้วอยู่ 555
Yufuin Floral Village ที่ทุกคนฮิตมากเวลามา Yufuin ที่นี่เป็นเหมือนเล็กๆ แยกออกมาจาก Yufuin Main Road เพียงแค่เดินเข้าซอยมา เหมือนเราจะเดินอยู่ในหมู่บ้านนิทาน มีร้านขายของน่ารักๆ คาเฟ่แมว คาเฟ่นกฮูกให้เดินเล่นกันเพลินๆ เป็น Village Theme ที่มาเดินฆ่าเวลาเล่นได้
สุดทางของ Yufuin Main Road คือทะเลสาบที่สวยงามมากๆ ในยามเช้าอย่าง Kinrin Lake (ทะเลสาบคินริน) ทะเลสาบนี้เป็นน้ำที่ไหลมาจากน้ำพุร้อน ทำให้มีอุณหภูมิที่อุ่นตลอดเวลา และสวยมากๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ บริเวณรอบๆ ทะเลสาบยังมีเหมือนสวนและร้านอาหารเล็กๆ ที่ใบไม้เปลี่ยนสีด้านหน้าร้านสวยมาก สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปเล่นกันได้ แต่ระวังอย่าเกะกะทางเดินกันด้วยนะ
สำหรับใครที่กังวลเรื่องความทนทานของ Galaxy Z Fip4 ว่า หน้าจอเปราะบาง พังง่ายแค่เล็บสัมผัส หรือพับเยอะๆ จะทำให้จอร้าว ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะเราพิสูจน์มาแล้วด้วยการเคาะหน้าจอแรงๆ ก็ยังทนทาน แถมยังสามารถใส่ลงในกระเป๋ารวมกับสิ่งของอื่นๆ ได้ พับได้สูงสุดถึง 200,000 ครั้ง ไม่พังง่ายๆ แน่นอน
ด้านหลังทะเลสาบยังมีศาลเจ้าเล็กๆ ของหมู่บ้านและเสาโทโรอิกลางน้ำ เป็นมุมสงบๆ ให้ไปนั่งเล่นกันได้
เราว่า Yufuin เป็นเมืองที่น่ารักสมคำร่ำลือและมาเที่ยวได้ไม่ยาก แถมไปเช้าเย็นกลับได้ด้วยสำหรับคนไม่อยากย้ายโรงแรมหลายๆ ที่แบบพวกเรา ที่นี่ยังมีรถไฟขบวนพิเศษอย่าง Yufuin No Mori ที่ต้องจองไม่งั้นอดนั่งนะ เป็นขบวนฮิตที่เหมือนวิ่งกลางป่า เราเองก็จองไม่ทันสำหรับขาไป แต่ขากลับยังมีโอกาสได้นั่ง แถมสามารถใช้ Northern Kyushu Railway Pass ขึ้นได้ด้วยนะ อย่าลืมไปจองกันล่วงหน้าก่อนเดินทางเด้อ เข้าไปตรวจสอบขบวนรถและเวลาวิ่งได้ที่ https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/yufuin_no_mori.html
Day 3 : Around FUKUOKA
วันที่ 3 ในคิวชูของเราเศร้านิดหน่อย เพราะพยากรณ์บอกว่าช่วงสายจนถึงค่ำฝนจะตก 100% แบบไม่หยุดไม่หย่อนทั่วคิวชู จากแพลนเดินที่จะออกไปคุมาโมโต้ก็ต้องล้มเลิกเพราะฝ่าฝนไปแบบไม่ขับรถไม่ไหวแน่ๆ เลยทำได้เพียงเที่ยวเบาๆ ในฟุกุโอกะ แต่ไม่แย่เลย ตามมา
จากที่พักย่านเทนจิน เราเดินมาที่ Kushida Shrine (ศาลเจ้าคูชิดะ) ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของฟุกุโอกะคือประมาณ 1,200 กว่าปี เป็นศาลเจ้าของศาสนาชินโตซึ่งคนในพื้นที่นับถือกันมาก ที่นี่เลยมีคนแวะเวียนมาตลอดทั้งวันเพราะเชื่อกันว่าถ้าได้มีโอกาสมาขอพรเรื่องธุรกิจแล้วจะปัง หรือขอเรื่องสุขภาพก็จะทำให้อายุยืนสุขภาพแข็งแรง
ถ้าเทียบกับศาลเจ้าในญี่ปุ่นที่อื่นๆ ที่นี่ถือว่าเล็กมาก แต่มีศาลเจ้าต่างๆ ตั้งกระจายเต็มพื้นที่ทำให้คนไม่ไปกระจุกกัน ที่เราเลือกมาที่นี่เพราะอยากมาดู Yamakasa อีกครั้งใกล้ ชอบในดีเทลมากๆ เจ้า เทศกาล Hakata Gion Yamakasa ซึ่งเค้าจะเอาแท่น Yamakasa ใหญ่ๆ ที่ตกแต่งแบบดีเทลสุดๆ เนี่ยแห่รอบเมือง ซึ่งแต่ละปีมีคนมาดูเป็นหมื่นๆ คนเลยช่วงเดือนกรกฏาคมของทุกปี
ในวัดก็ยังมีโซนเครื่องราง หรือป้ายไม้ไผ่ให้เราเขียนขอพรและฝากไว้ที่ศาลเจ้าด้วยนะ ชุบใจคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญสุดๆ
จากนั้นเรานั่งรถไฟออกไปกันที่เมือง Sasaguri ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีจาก Hakata St. ตอนที่เราไปถึงฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้านหน้าสถานี Kido Nanzoin-mae St. มีตู้กดน้ำเรียงกันอยู่ และมีร่มให้ยืมฟรีด้วยเผื่อฝนตก เราออกมาที่นี่เพื่อมาดูพระพุทธรูปนอนทองสำริดน่าจะใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลกที่วัด Nanzoin Temple (วัดนันโซอิน)
ระหว่างทางเดินจากสถานีไปบริเวณพระนอนนั้นต้องบอกว่าดีมากๆ แม้ว่าฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางแต่ก็แลกมาด้วยบรรยากาศที่สงบ เงียบ ได้ยินแต่เสียงแมลงและเสียงฝน พร้อมกับหมอกจางๆ ที่เริ่มลอยมาตามฝน มันเป็นบรรยากาศที่ดูเหงาและก็สวยมากๆ ในเวลาเดียวกันไปเลย
พระพุทธรูปนี้ใหญ่มากๆ คือยาวกว่า 41 เมตร หนักกว่า 300 ตัน แล้วเค้าก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันใน Wikipedia ว่าเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้าง แต่อีกส่วนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือเงินจากการที่เจ้าอาวาสถูกรางวัลที่ 1 บ่อยๆ หลังจากที่เอาหวยมาวางไว้ใกล้ๆ รูปปั้นไดโกกุ เอาหละค่ะ! กองสลากต้องเข้าแล้วนะ สปอนเซอร์รอบหน้า มาอีกครั้งจะลองทำและเตรียมหวยมาจากไทยแน่นอน 55555
การเดินทางของเราฟุกุโอกะ เราเน้นใช้ Northern Kyushu Railway Pass โดยสารรถไฟของ JR เป็นหลัก และนั่งรถเมล์กับแท๊กซี่ในจุดที่ต้องเดินกันไกลๆ ทริปนึง 4 คนจะสามารถพอดีกับแท็กซี่ 1 คัน ยิ่งเดินทางในช่วงที่สภาพอากาศไม่เป็นใจด้วยแล้ว บางทีต้องยอมเสียเงินเพิ่มค่าแท็กซี่ เพื่อประหยัดเวลาและเที่ยวตามแลนด์มาร์คที่ตั้งใจไว้ให้ได้มากที่สุด
Galaxy Z Flip4 ยังสามารถกันน้ำ และกันฝุ่นได้ในระดับมาตรฐาน IPX8 เพราะฉะนั้นเวลาออกเดินทางแล้วเจอฝนก็มั่นใจได้ว่าเราจะยังสามารถเก็บภาพดีๆ และโมเม้นท์ที่ประทับใจได้เหมือนเดิมกันแน่นอน
teamLab Forest Fukuoka
ทุกคนรู้จัก teamLab กันดีอยู่แล้วเพราะเคยมาจัดที่ไทยด้วยครั้งนึง แต่หลายๆ คนจะคุ้นเคยกับที่สิงคโปร์และโตเกียวมากกว่าฟุกุโอกะ แต่บอกเลยว่าสำหรับเราที่เคยไปดูมาแล้วประมาณ 4-5 ที่ เราชอบที่นี่ที่สุด teamLab Forest Fukuoka มีอยู่ประมาณ 4-5 ห้องนิทรรศการ ที่ทุกห้องนั้นดีหมดเลย! สวยมากๆ
ที่เราชอบมากที่สุดคือห้องแรก The Catching and Collecting Forest เค้าจำลองเหมือนให้เราเดินไปในป่าที่มีสัตว์หลายๆ ชนิด แล้วให้เราจับสัตว์ด้วยแอปของ teamLab ผ่านมือถือแล้วสร้างหนังสือสะสมสัตว์ เรียนรู้เรื่องราวของแต่ละตัวที่เราจับได้ แต่จริงๆ แค่เดินดูสี ดูการจัดแสงต่างๆ ก็ถือว่าคุ้มมากๆ แล้วสำหรับเรา
นอกจากนี้ Galaxy Z Flip4 ยังสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้เป็นอย่างดีในโหมด Nightography แถมสามารถถ่ายภาพแบบรวดเร็วได้ผ่านทาง Cover screen ได้อีกด้วยนะ
เพื่อนๆ สามารถมาดู teamLab Forest Fukuoka ได้ที่ห้าง BOSS E・ZO FUKUOKA ชั้น 5 สามารถซื้อบัตรหน้างานได้เลย แต่ถ้าไปวันหยุดต่างๆ แนะนำให้ซื้อล่วงหน้าดีกว่า เพราะจริงๆ เค้าจะกำหนดเวลาเป็นรอบๆ กลัวจะต้องรอนาน
อีกหนึ่งเสน่ห์ของฟุกุโอกะคือร้านอาหารข้างทางหรือที่เรียกกันว่า Yatai (ยะไต) ริมแม่น้ำ Nakasu Island มีให้เลือกหลายร้านมากๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารทำสุกทั้งหมดเพื่อความสะอาดและอนามัย ร้านพวกนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่ดูอบอุ่นมาก เหมือนทุกคนรู้จักกัน 555 มาฟังเจ้าของร้านเล่าเรื่อง มานั่งคุยกับเพื่อน หรืออะไรอุ่นๆ กินรองท้องหลังจากเมาเสร็จ นี่คือเสน่ห์ของฟุกุโอกะที่อยากให้มาลองกันซักครั้งนะ!
เที่ยวหน้าหนาวญี่ปุ่นต้องแพลนแบบออกเร็วหน่อยและเสร็จไว เพราะมืดเร็วมาก และยิ่งเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลักอย่างโตเกียว โอซาก้า ต้องบอกเลยว่าพวกร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ปิดเร็วมากที่สุด เลยอยากเตือนทุกคนที่จะมา ถ้าหวังว่าจะได้เดิน ABC Mart ตอนสี่ทุ่มหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ต้องบอกว่าเลิกฝันนะ 555 ปิดตั้งแต่สองทุ่มแล้วงะ แต่ Yatai แบบนี้จะเปิดถึงดึกๆ หน่อย
Day 4 – Kitakyushu
เข้าวันที่ 4 ของทริป เราขึ้นไปเหนือสุดของเกาะคิวชูกับเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Kitakyushu (คิตะคิวชู) ทุกคนต้องเคยผ่านเมืองนี้แน่นอน ถ้ามีโอกาสเคยนั่งชินคันเซนเข้าฟุกุโอกะ จริงๆ เมืองนี้น่ารักมากๆ น่ารักจนน่าเสียดายที่เตรียมวันมาเที่ยวไว้แค่วันเดียว จากฟุกุโอกะ สามารถนั่งชินคันเซนมาได้เลยโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น หรือขบวน Sonic ประมาณ 35-45 นาที โดยนั่งจาก Hakata St. – Kokura St. ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมืองคิตะคิวชูนี้เลย
เราแวะไปที่ Sarakurayama Cable Car เพื่อขึ้นไปจุดชมวิวบนเขา Sarakura ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยนะ แต่น่าเสียดายมากวันที่เราไปมันครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดเวลา ลมแรงและหนาวมากๆ แต่ความสวยของวิวเมืองคิตะคิวชูก็ยังน่ารักซะไม่มี
ที่นี่จะต้องนั่ง Cable Car ขึ้นมาแล้วต่อด้วย Slope Car เพื่อขึ้นมาจุดชมวิวอีกที แนะนำให้มานะ มันสวย มาดูพระอาทิตย์ตกเผื่อเรากันหน่อยเร๊ว!
Mojiko
จากนั้นเรานั่งรถไฟไปต่อที่เมืองท่าเรืออย่าง Mojiko ในอดีตที่นี่เป็นอีกเมืองท่าสำคัญเหมือน Kobe และ Yokohama สถาปัตยกรรมที่นี่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องทรงยุโรปสวยงามมาก และสะอาดสะอ้านมาก ตอนมาถึงพอเห็นสถานีปุ๊ปก็รู้เลยว่าที่นี่ต้องน่ารักแน่ๆ แล้วก็คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มา
เอ้อ! แล้วมาถึงที่นี่อย่าลืมลองกิน Yaki Curry หรือแกงกระหรี่อบ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่เลย แกงกระหรี่ของที่นี่จะโปะด้วยชีสด้านหน้าแล้วนำไปอบคล้ายๆ กับ Lasagna คงเป็นเพราะที่นี่เป็นเมืองท่า และมีชาวต่างชาติวนเวียนมามากมายในสมัยก่อนจึงน่าจะมีการรับวัฒนธรรมของตะวันตกเข้ามาผสมผสานเป็น ข้าวแกงกะหรี่อบมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ อร่อยมากๆ นะ อยากให้ไปลอง ร้านที่เราแนะนำชื่อ Curry Honpo Mojiko Retro อยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟเลย
กินอิ่มแล้วก็อยากชวนกันไปเดินช้อปปิ้งต่อที่ย่าน Kaikyo Plaza ที่มีร้านน่ารักๆ เยอะแยะให้เดินดูของกันเล่นๆ เผื่อได้อะไรติดไม้ติดมือ แถวนี้ยังมีร้านไอศกรีมที่เราขอโหวตว่าอร่อยที่สุดในญี่ปุ่นอย่าง Cremia ด้วยนะ ไปชิมกันได้ มีหลายที่อยากให้รอง ขอใช้ชื่อไปไง มาไง การันตีให้ไปเลย 5555
Mojiko เป็นเมืองที่เที่ยวง่ายมากๆ ถ้าเวลาน้อยเหมือนเราก็เดินเล่นรอบอ่าวเป็นวงกลมได้เลย กินแกงหรี่ ต่อด้วยไอติม เดินช้อปปิ้ง และถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมสวยๆ สไตล์ยุโรปตามตึกต่างๆ ที่ทางเมืองเค้าอนุรักษ์ไว้ เช่น Former Moji Customs Office หรือ International friendship memorial library of Mojiko Retro มันดูคลาสสิคไปหมดทุกที่
ก่อนมาจบวันสวยๆ ในคิตะคิวชูที่ Blue Wing Moji สะพานของเมืองนี้กับวิวสวยๆ ยามเย็นก่อนกลับเข้าฟุกุโอกะ เรามั่นใจมากว่าทุกคนจะต้องชอบแน่นอน
นี่คือทริปง่ายๆ ของเราในฟุกุโอกะที่ทุกคนสามารถตามรอยได้เลยง่ายๆ ไม่ต้องเช่ารถ ไม่ต้องมีเวลาเป็นวีค ก็สามารถเอ็นจอยเมืองหลวงของภูมิภาคคิวชูอย่างฟุกุโอกะ และเมืองเล็กๆ อีก 2-3 เมืองได้ภายในเวลา 4 คืน 5 วัน สำหรับเรา ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น มีเสน่ห์ที่ทำให้คนไทยอย่างพวกเราหลงรักได้ง่ายๆ ตลอดเวลาจริงๆ