ทริปนี้ถูกวางแผนมาแบบ จิ้ม! คือ จิ้มเลยอยากไปไหน ผลจากการจิ้มโดยมีพื้นฐานที่ว่า ‘อยากเที่ยว บาเซ และดูงานแขก’ จึงออกมาเป็น Barcelona Sevilla-Granada ทริป 10 วัน วางแบบหลวมๆไปด้นเอาด้านหน้า มีเรื่องให้ใจสั่นตลอดเวลา เปลี่ยนใจกันง่ายๆทุกสองชั่วโมง และประทับใจจนอยากกลับไปอีกจนถึงทุกวันนี้
ถ้าใครเคยไปเที่ยวแบบ Backpack แบกกระเป๋าไปกันเองไม่พึ่งทัวร์ ไปกันเองแบบกลุ่มๆเนี่ย จะรู้ดีว่า เพื่อนที่ไปกับเราจะฉายแววแตกแขนงหน้าที่กันไป เพื่อ “เอาตัวรอด” กันให้ผ่านไปได้ตลอดทั้งทริป สมมติถ้าไป4 คน อาจจะมี หัวหน้า 1 คน เป็นตัววางเเผนวันนี้ไปไหน พรุ่งนี้ไปไหน ที่นั้นดี ที่นี้เด็ด ทำการบ้านมาเเน่น อีกคน จะเป็นตู้เซฟตัวเก็บเงินกลุ่ม คอยดูแลปากท้องของเพื่อนร่วมทริป อีกคน เป็นคนเจรจา เจื้อยเเจ้วซักถามจนได้เรื่องกับชนชาติอื่น คนสุดท้าย เป็นผู้ตาม เดินต้อยๆ คอยถ่ายรูปคนอื่นว่าไงเราว่าตาม ,คนๆนั้นในทริปนี้ก็คือเรานั่นเอง 555 ทำให้การตอบคำถามที่ว่า “ทำไมถึงไปสเปนวะ” (แบบที่ไม่สร้างภาพ)ของเราคงเป็น “ออ..พี่ชวนก็เลยไป”
พูดถึง Barcelona หลายคนคงรู้จัก หรือเคยได้ยิน Antoni Gaudi (วงการสถาปัตย์จะรู้ดี) ขอเรียกเค้าว่าพ่อมดเลยละกัน ก่อนไปเราก็ได้ลองเสิร์จหา
ว่าจะไปที่ไหนดีนะ อ่านรีวิวก็พอจะรู้ละแหละว่า ‘อ้อ คนนี้นี่สำคัญกับเมืองนี้จริงๆ’ หรือว่าถ้าไป Barcelona แล้วไม่เจองานเค้าเนี่ย ไปผิดเมืองละแหละ คือมีงานเค้าทั่วเมืองไปหมด เยอะจริงๆ ไม่เชื่อว่าช่วงชีวิต คน 1 คนจะสามารถสร้างงานได้มากขนาดนี้ แถมไม่ใช่ธรรมดานะ งานของเค้า คือสถาปัตย์แบบไม่มีเส้นตรง! ไม่ง่ายนะฮะในยุค20’s เนี่ย งานนี้เลยจัดไป BCN* 2 วันทัวร์งาน Gaudi มันทุกวัน พูดตรงๆก่อนไปไม่รู้จัก หลังๆโคตรอิน!
* BCN ขอใช้เป็นตัวย่อแทน Barcelona *
la Pedrera (Casa Milla)
วันแรก ที่แรกของ BCN นี้ เราไปบุกบ้าน Milla กัน ประวัติคร่าวๆของที่นี่คือ Mr. Pere Milà อยากจะสร้างบ้าน เลยให้ Gaudi มาออกแบบให้ พ่อมด Gaudi นี้นางเป็นคน หลงไหล และอินกับธรรมชาติมาก งานทุกงานของเค้าคือได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติหมด งานทุกชิ้นจึงไม่มีเส้นตรง !
น่าเสียดายที่ตอนเราไปเค้ากำลัง Renovate ส่วนหน้าจึงมีแต่ผ้าใบมาคลุม เลยอดเห็นความงามด้านนอก ที่เป็นจุดขายอยู่เหมือนกัน ไคลแมกส์จริงๆ ของที่นี่เลยคือ ดาดฟ้า แหล่งศูนย์รวมปล่องไฟ แบบกิ๊ปเก๋ ที่ซานต้าคลอสเข้าไม่ได้ ด้วยความที่อาคารหลังนี้เป็นห้องพัก เปิดให้เช่าเลยทำให้มีปล่องไฟเยอะ พ่อมด Gaudi เลยจับเอามารวมๆไว้ด้วยกัน มันเลยออกมาน่ารักแบบนี้แหละ
หลังจากเดินเที่ยวเยี่ยมชม La Pedrera เสร็จ ก็สักประมาณ 10-11 โมง ท้องก็เริ่มต้องการอาหารและน้ำ แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะ ถึงจะไม่มี 7-11 ทุกหัวมุมถนนแบบบ้านเรา แต่สเปนจะมีคาเฟ่ หรือ ร้านกาเเฟอยู่ทั่วไป สามารถเลือกเข้าได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ร้านไหนเราจะสามารถ พบเจอ เมนูประจำประเทศ คือมีทุกร้านอยู่ 2 อย่างคือ Jamon (ขาหมูตากลม กินเปล่าๆบ้าง กับขนมปังบ้าง) และขนมหวาน Churros (คล้ายๆเเป้ง เอเเคล์ทอด ชุบช็อคโกแลต)
สิ่งหนึ่งที่เราชอบ คือคาเฟ่ แบบยุโรป ที่จะมีโต๊ะโซนนั่งแบบ out door ส่วนใหญ่จะชอบนั่งตากอากาศ ดื่มด่ำกับเเดดอุ่นๆ หรือ อีกเหตุผลหนึ่งคงเพราะคนที่นี่ สูบบุหรี่จัดกันมากๆ การได้นั่งจิบไวน์ ไปสูบไป คงเป็นความฟินยามเช้า (จิงๆสายๆ แต่พวกนางเพิ่งจะตื่นกัน) สำหรับเรา การได้นั่งมองคนเดินไป เดินมาทำให้ กินเเซนวิชเหนียวๆ กลายเป็นเคี้ยวเพลินไปเลย
จากLa Padrera เดินบนถนน Passeig de gracia ลงมาอีกประมาณ 2 แยกและแล้วเราก็มาถึง Casa Batllo อาคารสำหรับพักอาศัยอีกเเห่งหนึ่งของ ปู่ เกาดี้ จากการที่ได้อ่านประวัติมา ปู่เกาดี้ วัยเด็กเนี่ยค่อนข้างเป็นเด็กขี้โรค ปวยบ่อย ช่วงที่ไม่สบายเนี่ยก็ไม่ได้ทำอะไรมองฟ้า มองอากาศไปเรื่อย ส่งผลให้งานออกแบบของปู่ มีเอกลักษณ์ที่การได้รับเเรงบันดาลใจจากธรรมชาติ กลายเป็น Art Nouveau ตัวพ่อ ในช่วงเฟื่องฟู
บ้านหลังนี้ก็เช่นกัน Casa dels ossos แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า House of Bonesหรือ บ้านกระดูก รูปนี้เป็นราวบันไดโถงกลาง รูปทรงกระดูกงู อีกทั้งระเบียงด้านนอกที่เป็นทรงกระโหลกสัตว์ (ภาพเเรกที่เรื่มเล่าเรื่อง) เเค่เห็นราวบันไดก็สนุกแล้วที่นี่ดีอยู่อย่าง คือ Audio guide แจกฟรี และเล่าเรื่องดีด้วยทำให้อิน และ อึ้ง ในการ คิดมาก คิดทุกส่วนของปู่เกาดี้ไปเลย
เจเเปนนิสสส vs สเปนิสสส (่japanese vs spainish)
ชาวเจเเปนนิส เป็นชนชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องกินของดิบ สด ชาว สเปนิช คงเป็นคู่ตรงข้ามชาตินี้ที่นิยม ของเน่า หมัก ตาก เก็บ ยิ่งนานยิ่งดี 555 แต่ยังคงกินในลักษณะดิบเหมือนกัน แต่ละอย่างนี้ เจ้าของเนื้อชิ้นนี้คงตายไปนาน ไปเกิดชาติใหม่หลายขุมแล้ว
jamon surrano – ขาหมูตากอากาศ เห็นทุกที่ ตากลมไว้ให้เเห้งเค็ม
Chorizo – ไส้กรอกเเบ iberia หมักแบบเผ็ดๆเค็มๆ กินดิบได้สุกได้
ถ้าได้ไป ขอให้ไปลองจิงๆ รสชาติเเปลกใหม่ อร่อยดี บางที่อร่อยจนปากย่นเลย (เพราะเค็มมาก55)
*ร้านขายแฮม ที่ la boqueria ตลาดอาหารสด บน La rambla
มาลุยตลาดทั้งที กินข้าวเลยละกัน ด้วยความหิวเข้าขั้นโหย กองทัพของเรา ดาหน้าเข้าหาร้านอาหารทันทีมองๆไปเห็นจานนี้ทุกคนตกลงปลงใจ ว่ากินกันเหอะ “อภิมหา หอย” ในหอยมีปลา ในปลามีหมึก ในหมึกมีกุ้ง! ประโยคสุดท้าย ไม่ได้ตลก เพราะในหมึกมีกุ้ง จิงๆ! ไม่รู้พี่เเกรีบ ไม่ล้างไส้หมึก หรือตั้งใจทำหมึกใส้กุ้ง บ่นๆไปงั้น สุดท้ายก็กินหมดอยู่ดี แต่จะให้แนะนำ ไปหาเอาริม BCN beach ดีกว่ามีร้านชิคๆ เก๋ๆ อีกเยอะ เดินไปสุดเส้น La Rambla ก็เป็นริมทะเลละ
ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น ผลงานชิ้นสุดท้าย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของเกาดี้ “Sagrada familia” 127 ปีที่กำลังสร้าง ตอนนียังสร้างไม่เสร็จ และกำลัง สร้างอยู่ แต่บอกได้คำเดียว ว่า แค่ 10% ที่ได้ไปเห็น น้ำตาแทบไหล แล้วปี 2026 ครบ 100% คงลง ไปกราบตั้งแต่หน้าประตูเกร็ดเล็กๆของ Sagrada familia
– ตามเเบบที่ เกาดี้วาดไว้ที่นี่จะต้องมีหอระฆังสูงมีแหลมๆ 18 ยอด ตอนนี้ มีแค่ 8 ยอด ต้องใช้เวลาอีกซักพัก-หอเก็บแบบ เคยถูกไฟไหม้ต้นแบบชิ้นส่วนหลายๆชิ้นถูกทำลาย ลูกศิษย์ทั้งหลายต้องช่วยกันออกแบบ ตามแบบที่คิดว่าอาจารย์จะทำ-ศพของ เกาดี้ถูกเก็บไว้ที่นี่ลงไปสักการะกันได้-ถ้าเสร็จ โบสถ์นี้จะบรรจุคนได้ 13,000 คน-ทางเข้าอีกด้านหนึ่งของโบสถ์จะทำให้คุณอึ้ง !-เกาดี้ทุ่มเท ชีวิตให้กับงานนี้มากช่วงชีวิตสุดท้ายของเกาดี้ เขาเดินออกจากโบสถ์หลังจากเลิกงาน เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจ
เกาดี้ ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถรางชนเสียชีวิต เกาดี้ แต่งตัวซอมซ่อ ไม่มีเงิน ไม่มีกระเป๋าตัง และที่เศร้าที่สุดคือไม่มีใครรู้ว่า นี่คือศิลปินเอก ที่กำลังสร้าง Sagrada familia ! เค้าเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แบบไร้ญาติอย่างสงบ แต่จะพูดว่าไร้ญาติก็อาจจะดูใจร้ายเกินไป
ถ้าเราเรียกเค้าว่าศิลปินเอกหรืออาจารย์..ลูกของเกาดี้ คงเป็นคนเก่งๆอยู่ทั่วโลก ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น.. จริงๆ
พอเห็นประตูด้านนอก ตะลึงในความสวย ทำให้ อะดรีนาลี หลั่งไหล ตื้นเต้น วี้ดวาย หยั่งกะมาดิสนีย์แลนด์ แต่พอได้เข้ามา เท่านั้นแหละ กุสโลบาย เพดานสูงของคนสมัยก่อนนี่ทำให้คนเราสงบลงได้จริง พอเข้าไปความซ่าก็ค่อยๆลดลงความรู้สีกเหมือนกับว่าเราตัวเล็กลง และจ๋อยไปโดยอัตโนมัติ
ความอลังการของที่นี่อยู่ที่เพดาน 100 ทั้ง 100 ในกล้องของนักท่องเที่ยว ต้องมีรูปเพดาน ตามสไตล์ของเกาดี้ ไม่มีส่วนไหน ไม่มีความหมาย และทุกอย่างมาจากธรรมชาติ และการคำนวณ และที่นี่ก็เช่นกัน ที่นี่ถูกเนรมิตให้เป็นป่า เสาทุกต้น คือต้นไม้ ส่วนที่แตกต่อจากด้านบนเป็นกิ่งก้านสาขา
แต่ละสาขาทำมุมกันจากการคำนวนทางคณิตศาสตร์ เพื่อทำหน้าที่สะท้อนเสียงร้องของคอรัสในพิธีการต่างๆ ให้กึกก้องและกังวาล ที่สุด…
นี่แค่ดีเทลเพดาน นะ symbolic อื่นๆมีอีกเพียบ *ถ้าใครอยากรู้ แบบลึกๆให้ดื่มด่ำกับตัวโบสถ์พอประมาณ แล้วรีบลงไป ที่พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใต้ดิน ที่เคยเป็นที่ทำงานของเกาดี้ เพราะเราเสียดายมากดูไม่ครบ เพราะพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างใหญ่ ใครได้ไปเก็บมาเล่าด้วยนะ
Sitges ต้อนรับเราด้วย บ้านเมืองสไตล์ สเปนิช ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ ทั้งระเบียง และถนน เรียกได้ว่าเดินเพลินมากๆ เมื่อเราค่อยๆเดินลัดเลาะตามเส้นทางสายดอกไม้ไปเรือยๆ เราจะมาถึง โบสถ์ บนยอดผา ที่ข้างล่างเป็นทะเล นั่นแหละ คือ วันนี้เป็นวันที่เหมาะเจาะ และอากาศดีมาก และวันนี้ sitges ก็คึกคักไปด้วยผู้คน เรียกได้ว่าระหว่างเดิน เพื่อให้ไปถึง ชายหาด กินเวลาไปได้เกือบชั่วโมง จนการมานอนเล่นชายหาดในตอนแรก กลายเป็นเรื่องรอง ไปเลยทีเดียว
หลังจากที่เราไปชมความตื่นตาตื่นใจ ของโบสถ์ Sagrada Familia ก็กูรีกูจอ กันไปที่ สถานีรถไฟ Renfe เพือที่จะได้มาชิวกันที่ หาดนอกเมือง ที่ Sitges จากแผนการที่ตกลงใจกันภายในไม่กี่นาที Sitges ไม่ทำให้ผิดหวัง ทำให้วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ดีที่สุดของทริปนี้ ย้อนกลับไปดู สองสามภาพก่อนหน้าบรรยากาศ Sitges คร่าวๆได้นะ เอาหละ หลังจากที่เดินผ่านบ้านเมือง และถนนสายดอกไม้กันมาแล้ว เราก็ได้เห็นชายหาดสักที ชายหาดที่ว่าก็ไม่ธรรมดาอีก ! วันนี้หาดแน่นมาก คนเยอะอากาศร้อนด้วย ชาวสเปนก็ออกมาตากผิวกัน มองไปมองมา เอ๊ะ หาดนี้มันแปลกๆ เเฮะ ทำไมมีแต่ชายหนุ่ม เดี๋ยวก่อนๆ เรื่มไม่ปกติละ สี่สาวเกิดความสงสัย คว้าlonely planet มาดู ลองเปิดไปหน้า sitges อ่านไปอ่านมา หาดนี้เป็นหาดสวรรค์
ของชาวสีม่วงจ้าาาาา เก้ง กวางเต็มไปหมด ถึงว่าล่ะ!! ชั้นว่าวันนี้ชั้นสวยละนะ แต่ไม่มีใครมองกูเลย โอเค๊ เสียเซ้วมากๆค่ะ เก็บของแล้ว เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยก็ได้ เดี๋ยวชะนี 4 ตัวจะทำหนุ่มๆ เค้าเสียบรรยากาศเปล่าๆ 5555
**บอกก่อนว่าทำไมตาราง 1 วันเราทำอะไรได้เยอะจัง นี่เป็นข้อดีของการ เที่ยวยุโรปหน้าร้อนเลยนะ
เพราะว่ามีกลางวันที่ยาวนานมากกกก นี่สองทุ่มยังนอนอาบเเดดอยู่เลย***
เอาหล่ะ หลังจากที่เล่นน้ำทะเล อาบเเดด จิบเบียร์ชมผู้ชายเสร็จvก็เตรียมตัวเก็บของหาอะไรกินกันอีกเหมือนเคย Sitges ไม่ปล่อยให้เรา หาร้านอาหารนั่งกินแบบธรรมดาๆ ทั่วๆไป เดินริมถนนเรียบ ชายหาย เราก็พบกับ Local Market หรือ Farmer Market คือชาวบ้านออกมาขายของ ทำมือ แฮนด์เมด ทั้งกินได้ และกินไม่ได้ เรียกได้ว่าอินไซต์ ชาวสเปนสุดๆ พวกเรามาถูกจังหวะมากๆ เพราะว่า นี่ไม่ใช่ตลาดสดแบบประจำทั่วๆไป เพราะว่า งานนี้เป็นคล้ายๆ งานแฟร์เฉพาะกิจเท่านั้น ตอนแรกกะว่าจะรีบ เดินช๊อป พอเดินจริงๆเดินกันไปเป็นชั่วโมงเลยจ้า เพลินจริงๆ
**จากรูป (รูปบน) ร้านขายChurrosทอดสด ต่อคิวยาววมากกกกแต่ก็คุ้มค่านะ
อร่อยที่สุดที่ได้กินมาเลย กินคนเดียวหมดจนเจ็บคอ
(ล่างซ้าย) ร้านขาย ลาเวนเดอร์ ผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์ทุกชนิด
เลยจัดหมอนลาเวนเดอร์ มา1 ใบหอมมากๆ
(ล่างขวา) คุณลุงขายชีส ไม่ได้ชิมมา แต่ชอบเพราะว่า สงสัยลุงกินเข้าไปทีเดียวทั้งก้อนเลย อิๆ
และสักพัก กองทัพพาเหรด ก็ เดินเหยียบ ผ่านพื้นดอกไม้ที่จัดเรียงเอาไว้ที่เราเห็นตอนแรกกก ทำให้ อออออ…วันนี้มันมีงานนั้นเองงงง
หันไปถามชาวบ้านชาวเมืองข้างๆ เค้าก็บอกว่า วันนี้ เป็นวันเฉลิมฉลองวันหนึ่งในหน้าร้อน ที่ยาวนานที่สุดในปีนี้ มันเป็นอย่างงี้นี่เองงงง พวกเราก็เลยเฉลิมฉลองวันยาวๆ แบบนี้ ด้วยการดูพาเหรดจนจบ ไม่ต้องกลัวว่าจะมืด แม้ว่าขณะนี้จะปาเข้าไปใกล้ 5 ทุ่มแล้วก็ตาม Sitges ก็สอนให้เรารู้ว่า การเดินทางแบบไม่มีการวางเเผน อาจจะไม่ได้ การเดินทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ โรยด้วยกลีบ คาเนชั่น และอื่นๆ มันยิ่งกว่ากุหลาบ ซะอีก!!!!
ตี 4 แล้ววววววววว ตื่นได้แล้ว ! ความทรมานก็บังเกิด เพราะพวกเราพึ่งได้นอนตอนเที่ยงคืน น้ำลายที่ไหลลงหมอนยังไม่ทันแห้งเลยต้องตื่นละ
ทำไงได้ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ก็ไม่ทัน เครื่องบินตอน 6 โมงไปเซบีย่า (seville) แหกขี้ตา ไม่แต่งหน้า แล้วออกเลย หน้าสดสวยๆเผื่อชายสเปนจะเหลียวมองบ้างถามว่ามีมั้ย ? ตอบเลยว่า ไม่ 5555555
เก็บเกี่ยวช่วงเวลาเเห่งการนอนไปได้ประมาณ2 ชม. สายการบินในประเทศก็นำเราเข้าสู่แคว้น Andalucia ณ เมืองหลวง Seville โบกแทกซี่กันต่อ บอกที่อยู่แล้วพี่แท๊กก็นำเราเข้าที่พัก ก่อนไปไม่รู้มาก่อนว่า เมืองนี้มีแม่น้ำสายใหญ่ๆพาดผ่านและเป็น จุดขายของเมือง ขณะขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ Guadalquivir แอบมองบ้านพักริมน้ำ แล้วก็กรี๊ดกร๊าด พากันอิจฉาชาวบ้านชาวเมืองที่ได้อยู่บ้านสวยๆ ริมแม่น้ำแบบนี้ ชีวิตช่างน่า อิจฉาจริงๆ
ไม่รู้ว่าจะมีเรือขายของแบบตลาดน้ำอัมพวาเหมือนบ้านเรามั้ย แต่วิวสวยขนาดนี้ถ้าไม่มี กูเดินไกลๆไปซื้อกิน กูก็ยอม เมื่อผ่านสะพานไป แท็กซี่ยูเทิร์นแล้วก็หยุด บอกว่าถึงแล้วนะยู ไม่อะไรมาก ไม่ต้องอิจฉาใคร บ้านเช่าที่จองไว้ “อยู่ติดริมแม่น้ำเลยจ้าาา” ฟินไปอีก ได้เข้าห้องก็กระโดดโลดเต้นเหมือนได้ เข้าบ้าน AF
เค้าบอกว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวยแต่วันนี้ขอหยุดวันนึง เนื่องจากบ้านที่เราจองไว้นักท่องเที่ยวกรุ๊ปเก่ายังไม่ เช็คเอ้าท์ เราเลยได้แค่เอากระเป๋าไปวางไม่ได้เข้าไปล้างหน้าล้างตาใดๆทั้งสิ้น เราจึงต้องหยุดความสวยของเราไว้ปล่อยหน้าสดๆแล้วออกมาเที่ยวสเปนกันเลย การเดินทางในเซบีย่าช่วงแรกตัดสินใจกันว่า เราจะหาจักรยานปั่นเล่นกัน เนื่องจากที่เราเดินหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยเลือกเดินเท้า และเข้าไปเยี่ยมชม Real Alcazar กันก่อน จากบ้านพักเดินเท่ามาได้ไม่ไกลก็มาถึง สารภาพก่อน ว่าก่อนไปไม่ได้อ่านอะไรเลย เกี่ยวกับสถานที่นี้ รู้ว่าเป็นวังแขกเท่านั้นแหละ ตามสไตล์สถาปัตยกรรมแขก สวย ยิปๆๆๆๆๆๆ ยิกๆๆๆ ลายละเอียดเยอะ เดินๆ ผ่านซุ้มประตูที ก็ต้องร้อง โอ้โห ที เดี๋ยวเป็นห้องกระเบื้องบ้าง ห้องปูนบ้าง หินอ่อนบ้าง หลากหลาย อารมณ์ดีเหลือเกิน หลังๆเดินๆ ไม่ค่อยร้องโอ้โหละ เพราะมันกว้างมาก เรียกได้ว่าสวยจนเอือมเลยทีเดียว
***ใครเป็นแฟน Games of thrones ได้ข่าวมาว่าที่นี่ได้เป็นฉากการถ่ายทำมาด้วยนะ อย่าลืมไปตามรอยกันหละ
หลังจากที่เดินเยี่ยมชม วัง Alcazar เสร็จ ตอนแรกไม่นึกมาก่อนว่า จะกว้างขนาดนี้ ทำให้พวกเราหิวโซ สั่งอาหารแบบไม่ยั้งคิด โดยเลือกร้านอาหารจาก บรรยากาศดี ไม่เเพงมาก (ในโซนวัง Alcazar จะเหมือนเป็นเวิ้งเมืองเก่า มีสถานที่ท่องเที่ยว ที่เป็น แลนด์มาร์ก หลายๆที่มารวมกัน แน่นอน รอบๆจึงประกอบไปด้วยร้านอาหาร ร้านของฝาก ถนนคนเดินชอปปิ้ง) เลือกร้านอาหารด้วย ระบบสุ่มอีกเช่นเคย มื้อใหญ่มื้อแรกที่ seville ไม่ทำให้เราผิดหวัง สไตล์การกินของชาวสเปน จะเรียกว่า Tapas อารมณ์แบบ ของเหมือนจะกินเล่นๆรองท้อง แต่ก็สามารถกินให้อิ่มได้นะ ส่วนใหญ่จะให้สั่งเป็น Portions (ขนาดสำหรับกี่ที่) ถ้าใครอยากทานหลายๆอย่างก็เลือกมาเลย แล้วสั่ง 1 portion พอ จะได้กินอะไร หยิบๆนิดๆ แต่หลากหลาย เราว่าอร่อย และ สนุกดี ไม่พูดอะไรมาก อธิบายอาหารดีกว่า
**(ซ้าย) โก๊ทชีส หรือ ชีสจากแพะ เอาไปนาบกับกระทะให้ด้านบนเกรียมๆหน่อย
กินกับเเยมรสชาติเเปลกๆ เช่น แยมพริก แยมหัวหอม และแยมเบอรี่ พูดเลยว่าชิส หอมมมากกกกกกก
ตัดกับรสชาติ แยมหวานๆ เค็มๆ อื้มหื้ม เปรี่ยวปาก
(ขวาบน) Paella หรือข้าวผัดสเปน ข้าวผัดซีฟู๊ด ใครที่ชอบซีฟู๊ด ต้องไปโดนเลยจิงๆ
เพราะว่าเหมือน ยกทะเลมาผัดกับข้าว กลิ่นความเป็นทะเลจะเข้าไปฝัง
ในเนื้อข้าวหอมสุดๆ ยึ่งตักก็ยิ่งเจอ กุ้งบ้าง หอยบ้าง ปลาบ้าง ซุกไซร้อยู่ในระหว่างข้าว
หอมๆตัดด้วยความเปรี้ยวของเลม่อนหน่อย อื้มมหื้มม portion เดียวไม่พอนะ บางที
(ขวาล่าง) เมนูง่ายๆ พื้นๆ มันทอด แต่คราวนี้ จับมายัดไส้ ชีสบ้าง เห็ดบ้าง
ดูภาพแล้วลองจินตนาการ ความอร่อยกันเอานะ หึหึหึ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด คือการ ท่องเที่ยวไปรอบๆ ด้วยจักรยาน เมื่อกินอิ่มแล้วจึงไม่รอช้า ออกไปเช่าจักรยานกันเถอะ ค่าจักรยานแบบ เต็มวัน ที่คิด 10 ยูโร (ประมาน 450 บาท T^T) เช่าเสร็จปุ๊ป ยังไม่ทันออกจากร้าน ฝนตกปั๊ปจ้า ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ ด้วยความงก ตามประสา เสียไปตั้ง 450 ต้องปั่นให้เต็มชั่วโมง ปั่นลุยฝน สิคะ จะไปกลัวอะไร มาถึงนี่แล้ว เเผนที่ 1 เเผ่น จักรยาน 4 คันแล้วออกไปลุยกัยเล้ยยยย
ฟ้าฝนก็ไม่ใจร้ายกับเรามากนัก ตกสัก 20 นาที เเดดก็ออก เปรี้ยงๆ กระหม่อมบางอย่างเราต้องกลับบ้านไป อัดพาราสัก สองสามเม็ดละกัน
เป้าหมายของเราคือ Plaza de España ที่คนให้เช่าจักรยาน วงไว้ให้ แล้วทิ้งบอมม์ไว้ว่า “ไปให้ถึงนะที่นี่เป็น Favorite ของนาง”
เอาวะ มองจากแผนที่ก็คือสุดของอีกด้าน ไหนขอไปดูหน่อยว่ามันจะสักเท่าไหร่กันเชียว โอเค โกวววว กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆ ( เสียงกระดิ่งถีบจักรยาน )
มองรอบๆ ไม่มองทางมั่ง ชิดซ้ายมั่ง ชิดขวามั่ง หวิดไปหวิดมาโดนด่ามั่ง ไรมั่ง ในที่สุดเราก็มาถึง สวนใหญ่ๆ เเห่งหนึ่ง เรานำหน้าสุด ประกาศศักดา การเป็นผู้นำที่ดีว่า ” เย้ๆๆๆ ถึงแล้วว” นี่แหละ Plaza de España ปั่นวนๆ ไปรอบๆพร้อมความคาดหวัง ไหนว้าที่เค้าว่าสวยยย ไหน ว้าาาา
วนๆไปรอบๆ สวน วนไม่นานก็รอบ บ่อน้ำพุก็ไม่มีน้ำ นี่หรออ ที่เค้าปราบปลิ่มกันนักลางชักไม่ดี ควักแผนที่ออกมาให้ชาวบ้านดู โออวววว โนวๆๆ ยูว ผิดทางจ้าาา นี่เพิ่งครึ่งทางจ้าา
แทบโยนจักรยานทิ้ง ถือซะว่ามานั่งพักละกัน นั้งไปนั่งมาเพื่อพักเหนื่อย ก็เจอสาวๆแก๊งนี้ เหมือนพ่อแม่พามาเดินเล่นมั้ง เลยจัดเต็มนิดหน่อย เป็นชุดสำหรับมาเดินเล่นวันหยุดกับเพื่อนสาว สวยจนอดขอถ่ายรูปไม่ได้ พอยกกล้องขึ้นมาเท่านั้นฟลามิงโก้โพสส มาเต็มจ้า สมกับเป็นเมือง กระทิง และ ฟลามิงโก้จิงๆ เป็นอีกครั้งที่หลงทางแล้วเจอเรื่องสนุกๆ
เป็นไทยอดทน เหนื่อยแต่ไหนก็ต้องปั่นกันต่อไป Plaza de España Plaza de España ท่องไว้ๆ ปั่นๆๆๆ ผ่านถนนใหญ่ ผ่านชุมชนเมือง จนในที่สุด ก็มาถึงรั้วประตูใหญ่โต มีต้นไม้ และ รถม้าอยู่ด้านใน อ่านป้ายเพิ่มความมั่นใจ นี่แหละ ! Plaza de España!!! ถึงแล้วโว้ยยยPlaza de España ถูกสร้างขึ้น ตอน 1929 ตอนนั้น เซบีย่าได้เป็น เจ้าภาพ world fair งานนี้ตามธรรมเนี่ยม งานโชว์พาว พลังพาวเวอร์ต้องมา งานนี้เซบีย่าจัดเต็ม สร้างอาคาร ครึ่งวงกลม ความยาว ครึ่งไมล์ขึ้นมา ล้อมด้วยน้ำอีกยิ่งใหญ่อลังการ ด้านหน้า มีลานกลมๆ และน้ำพุใหญ่โตมโหฬาร มาถึงทั้งที พวกเราจึงขอพายเรือเล่นรอบๆ หน่อยละกัน พายก็พายไม่เป็น ให้พาย ครึ่งชั่วโมง วนรอบตัวเอง สัก สิบ นาที สนุกจริงๆ กรี๊ดกร๊าดกันกลางบ่อ จนสเปน งง เกาะรั้วมองกันเลย 555
ตื่นมาเช้าวันใหม่ สดใสและร่างกายที่รีบูทกันใหม่แบบ 100% วันนี้เป็นวันสบายๆอีกวันหนึ่งที่ปล่อยให้เป็นการเดินเที่ยว เเวะชมอะไรก็ได้แบบสบายๆ กันไป ที่แรกที่เราจะแวะ ก็คือ Plaza de toros ซึ่งก็คือ สนามล่อกระทิง อันมีชื่อเสียงของชาวสเปน นั่นเอง เล่าก่อนหลายคนคงเคยได้ยินแหละ ว่ามันคือการเอากระทิงมาล่อๆ ให้โมโห แล้วก็ฆ่าให้ตายแค่นี้ก็น่าสงสารพอ แต่ความจริงแล้วมันน่าสงสารกว่านั้นอีก!!!!
**บอกก่อนว่า เราไม่ได้ไปดูหรอกนะ นี่เป็นความรู้ที่ได้จากการเข้า ชมพิพิธภัณฑ์ การล่อวัวกระทิงยังทำอยู่ จัดแสดงเรื่อยๆ เดือนละครั้ง สองครั้ง ตารางจะออกทุก ๆปีไป ตอนแอดมินไปถึงเพิ่งแสดงไปเมื่อ 2 วันก่อน ดีที่ไม่ได้ดูไม่รู้ว่าจะทนดูจบรึป่าวแค่ฟังเค้าเล่าก็ น้ำตาจะเล็ดแล้ว***
ในการล่อวัวกระทิงมันไม่ได้มีแค่ มาธาดอว์ กับกระทิง มาต่อสู้กัน สอง ต่อ สอง แบบที่เราคิด รอบแรก จะมีม้าก่อน ม้าจะออกมากับผู้ช่วยมาธาดอว์ 4 คน ! ล่อให้งง ให้เหนื่อยให้โมโห หงุดหงิด จากนั้น ก็เป็น มาธาดอว์ 3 กระทิง 1 ออกมาล่อ และแทงด้วยหอกแทงจนกระทิงโมโห และเหนื่อยมากๆ จนถึงคนสุดท้ายเป็น มาธาดอว์ตัวจริง ที่จะออกมาวาดลวดลายกับผ้าสีแดง คือจะต้องล่อให้กระทิงมาใกล้ที่สุด แล้วก็ต้องหลบให้ตัวอ่อน ตัวเอน สวยงาม เป็นศิลปะว่างั้นเถอะ และในที่สุด ก็จะนำดาบเเหลมๆยาวๆ ปักลงไปให้ตัด เส้นเลือดใหญ่ที่ต่อหัวใจพอดี ฮืออออ พูดแล้วก็เศร้าถ้าเกิดได้เข้าไปดู ทีจะต้องเห็นกระทิงตาย 6 ตัว อาจจะทำใจไม่ได้ ตั้งแต่ตัวแรก ละหละ
ออกมาจากสนามสู้วัวกระทิง สิ่งที่รู้สึกคือ มีแต่ความหดหู่ ไม่ใช่เรื่องกระทิงนะ รู้สึกไม่คุ้ม 555555 ! คือที่สนามสู้วัวก็มีจัดให้เข้าชม พิพิธภัณฑ์ เป็นรอบ รอบละ 9 ยูโร เข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จบ แถมไม่พอ ไกด์ที่อธิบาย นี่ก็เหมือนกระทิงมาเกิด ดุอย่างกะหมาอยากจะถามคำถามเป็นเด็กใฝ่รู้หน่อย ก็ทำหน้าตูดอธิบายส่งๆ แบบไม่อยากตอบ เออออ ไปก็ได้วะไปบำบัดจิต ด้วยการช้อปปิ้งก็ได้
พอตกเย็นเราก็กลับมาที่ย่าน Santa Cruz แหล่งรวมอารยธรรม และการท่องเที่ยวขายของอารมณ์สวนลุมไนท์ คืออะไรที่มีคำว่าสเปน กระทิง
ชุดฟลามิงโก้ ประมาณนั้น แต่ที่เราสนใจ คือการแสดง ฟลามิงโก้ และ กีต้าร์อคูสติก ภาพแรกๆที่จินตนาการไว้ สำหรับการเต้นฟลามิงโก้คือ
สะบัดกระโปรงไปมา ร่าเริงเเจ่มใส อยากลุกมาสะบัดกระโปรงด้วย ฟรุ้งๆ ฟริ้งๆ เหมือนผับสมัยก่อน ในหนัง แต่..เปล่าเลยจ้า การเต้นฟลามิงโก้
ถ้าเรียกง่ายๆ คือการเต้น ที่ โคตรดราม่า คือ ร้องไห้ ออกมาเลย เป็นอะไรชีวิตเศร้า ผัวทิ้ง ไปมีชู้ ลูกสาวหนีไปกับผู้ชาย เกียรติศักดิ์ ความเป็นหญิงถูกทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี เหมือนชะนีเสียพรหมจรรย์ให้ชายโฉด ร้องเลยแบบวัวตาย ควายล้ม กระทืบเท้าเข้าไป กระทืบๆๆๆ ระบายมันออกมาลูก
นี่อุตส่าห์ใส่กระโปรงฟรุ้งฟริ้ง กะจะไปสะบัดด้วย ปล่าวเลย นั่งกำหมัดแน่นเหงื่อมือออกซิกๆๆ
** ป.ล. จริงๆแล้วการเต้นคือจะประมาณว่า ตามท้องเรื่องไปแล้วแต่เพลงอีกเพลงหนึ่ง ก็อารมณ์ถ่ายทอดชีวิต ชาวบ้านริมหาด ก็สนุกดีแต่พอดีเปิดเพลงแรกก็เครียดเลย ตกใจ
สุขสมดั่ง อารมณ์หมาย กินข้าวฟังเพลง นี่คือ Seville Cathedral ยามค่ำคืน เห็นก่อนนอน ก็หลับพักผ่อนฝันดี พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า เพราะเราจะต้องบอกลา Seviile แล้วขึ้นรถ ไป Granada กัน !
นั่งรถจาก Seville ประมาณ 2 ชม. เราก็มาถึง Granada เมื่องใหญ่อีกเมืองหนึ่ง ทางตอนใต้ของแคว้น Andalucia เอาง่ายๆ ถ้าเมืองนี้เป็นจังหวัดหนึ่งในไทย คงจะมีคำขวัญที่ว่า
“ดอย Sierra nevada เป็นศรี
Alhambra เด่นเป็นสง่า
ลูกสาว ลูกบ่าวแขกมัวร์ ล้วนงามตา
งามล้ำค่า บารากุจากโมรอคโค”
นั่นแหละ เมืองนี้เด่นดีเรื่องความเป็นเมืองบนเขาจริงๆ มีทั้งเมืองบนเขา ตลาดบนเขา วังบนเขา(ที่อลังการที่สุดในยุโรป) แถมยังเป็นที่ตั้งของ Sirra nevada ยอดเขาที่สูงที่สุดในสเปน ถ้าใครเหมาะเจาะจับจังหวะได้ไปหน้าหนาวขอให้ได้ไปปีนเขา ชมธรรมชาติที่อุทยานนี้ เค้าบอกว่าสวยงามตระการตา ทะเลสาบ ฟ้าใสมากกกกก ตามมากันเร๊วววววว !
ร้อยทั้งร้อยของนักท่องเที่ยวที่มา Granada ต้องมาดูวัง Alhambra วังแขกที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเหนือเมือง มีความอลังการล้านแปด ปฏิเสธไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ความงามที่สามารถเสพได้จากที่นี่ มี 3 อย่างใหญ่ๆ คือ
1. ความงามของสิ่งก่อสร้าง
ความมะลังมะเลืองเรืองรองของสถาปัตยกรรมแขกนี่ ต้องยอมเค้าจริงๆ แขกจักแร้เหม็นยังไง ความอลังการก็สุดยอดแบบนั้น คือเหมือนว่าถ้าแกเห็นที่ว่างแล้วคงขัดตาคันไม้คันมือมั้ง เลยอยากจะเอาปูนไปแปะ กระเบื้องไปปิด เขียนคำสลักอวยพร อะไรว่ากันไป(ตามผนังลวดลายบางลวดลายเป็นอักษร อาหรับบิดไปบิดมา) คือแขกคงคิดว่าขออย่าให้มีที่ว่างเถอะ พอใจละ เลยทำให้วังนี้ปราณีตมาก แทบไม่มีที่ว่างเลยทุกที่มีลายจริงๆ มูลค่าก็ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง ลองนึกตามนะ ร่องที่เห็นพื้นเป็นสีฟ้าๆ ในรูป ก็เเค่เอาพลอย มาบดๆๆแล้วยาไปตามร่องเท่านั้นเอง 55555555555
สีติดทนทาน ยาวนานมาจนถึงบัดนี้เลย ! แต่ถึงจะเยอะแต่ก็ไม่ได้เยอะเลอะเทอะ สะเปะสะปะนะ แต่เป็นเยอะที่รวมๆกันแล้วดูดีมาก สงสัยชาติที่แล้วเจ๊ไก่วรายุธ คงจะมาเกิดที่นี่แน่ๆ
2. มุมมองของเจ้าหญิง
จะเป็นออโรร่า แอเรียล ราพันเซลก็เลือกเอาตามใจ แต่ความอลังการอีกอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้ คือความอลังการในจิตใจของเราเอง เวลาที่เราได้ไปยืนริมระเบียงชมวิวความรู้สึกยิงใหญ่ได้บังเกิด เหมือนเราได้อยุ่เหนือทุกคน อารมณ์แบบผู้ยิ่งใหญ่สุดๆ อารมณ์เหมือนมองจากบนยอดดอยแค่คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะที่นี่มันคือวังนะจ้ะ ก็มโนกันไป อาจจะมีนกพิราบมาเป็นเพื่อน กระรอกน้อยมาช่วยซักผ้าร้องเพลงอะไรทำนองนี้ อารมณ์เจ้าหญิงบังเกิดกันเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นวังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอย่างที่บอก มองลงมาก็จะเห็นบ้านเล็กๆ ของ ‘ประชาชนของข้าทุกคนเป็นอยู่อย่างไรกันบ้างนะ’
‘โอ้วดูชายผู้นั้นสิ เอาสุนัขออกมาวิ่งเล่นน่าสนุกเชียว’ บ้านเมืองในความดูแลของชั้นนี้ช่างสงบสุข และงดงามอะไรอย่างนี้ มโนขั้นสุดจริงๆ
บ้านทุกบ้านเหมือนถูกบังคับให้ทาสีขาว และหลังคาน้ำตาลทุกอย่าางจึงถูกคลุมโทน น่าดูชมไปหมด
3. ส่วนที่เป็นส่วนสำคัญของAlhambra
คือ สวนสวยที่ชื่อ General life (ชื่อเหมือนขายตรงเลย) ชื่อนี้คงจะเเปลว่า ชีวิตธรรมดาๆ อยู่ในวังเดินเล่นในสวน ดอกไม้อย่างดี สวนก็ธรรมดา ไม่อะไรมากกกกกกกกกกกกกกก เป็นสวนสนสร้างเป็นกำเเพงเลยละกัน สลับกับมีน้ำพุ มีหอคอยเอาไว้ชมสวนจากด้านบนอีกที ชีวิตแบบ ธรรมด๊า ธรรมดา จริงๆนะ อยากจะเกิดเป็นหนอน เป็นไส้เดือนที่นี่จริงๆเลย
“Freedom from fear and freedom from want.”
หลังจากที่เที่ยววัง Alhambra เสร็จ เมื่อลงจากเขาทั้งร้อน หิว และเหนื่อยใครเคยเที่ยวแล้วเหนื่อยมากๆจะเข้าใจอารมณ์นี้ดี มันจะไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรต่อเลย อยากพักจนต้องร้องขอชีวิตกันเลยจริงๆ แต่แล้วเราก็พบกับคนที่เหนื่อยจริงๆ และเหนื่อยกว่าเรา..ที่ไม่ได้สวยงามเหมือนอยุในวังหรือเจ้าหญิงในนิยาย ในช่วงบ่าย พวกเราหลง และ งง มากว่าจะทำอะไรต่อดี ด้วยความเคว้งคว้าง จึงหาอะไรลงท้อง แล้วปล่อยตัวเองให้เดินไปตามตรอกซอกซอยเรื่อยๆ
ก่อนมาจะได้รับ คำเตือนเกียวกับประเทศนี้ว่า “ยิ่งลงใต้ ให้ยิ่งระวังตัว” เราเห็นโฮมเลส เราเห็นคนพิการ เราเห็นคนจน ที่สวัสดิการของรัฐครอบคลุมไม่ถึงพวกเขาหรือยังไงไม่ทราบ เราทำได้แค่มองและเห็นใจอย่างเข้าใจจริงๆ. แต่ก็ต้องระวังตัว บางคนน่าสงสารแต่บางคนเอาความขี้สงสารของเรา มาเป็นเครื่องมือ
ถ้าหากเราเดินไปตามตลาดหรือ แหล่งขายของ จะพบพวก ป้า เเก่ๆ คอยยื่นใบสนบ้าง ใบโรสแมรี่บ้าง โดยไม่มีเหตุผล ห้ามโลกสวย “ว้ายคนที่นี่ใจดีจัง” สานสัมพันธ์ไทย-สเปน แจกของแจกมิตรภาพ คงอยากให้เราสร้างสะพานมิตรภาพให้แน่ๆ คิคิ แต่ขอร้อง “อย่าไปรับเด็ดขาด” เพราะว่าเมื่อใดที่เรา จับของ หรืออะไรก็ตามที่เค้ายื่นให้แล้ว ถือว่าเราได้ซื้อเค้าเรียบร้อย นางจะทำการไถตังเราทันที มากน้อยแล้วแต่ แต่ถ้าไม่ได้ตามจำนวนที่นางพอใจ นางจะเรียกเพื่อนมารุมเรา เยอะขึ้นๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ต้องนึกภาพตามก็สยองแล้ว !
หลังจากเดิน วนไปวนมา โง่งมได้สักชั่วโมง ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใน tourist information เพื่อที่จะถามว่า “นอกจากเเหล่ง ช้อปปิ้งในเมือง และ Alhambra เมืองนี้จะไม่มีอะไรให้เที่ยวอีกแล้วหรอคะ” นางเจ้าหน้าที่ก็จัดหา อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้มาให้ มากมาย แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือการ ทัวร์แหล่งชุมชน และเเหล่งรวมศิลปิน ที่ย่านอยู่อาศัย ที่ชื่อ Albayzin ถ้าขี้เกียจเดินขึ้นเขา ให้นั่งรถเมล์ สาย 31 และดูพระอาทิตย์ตก ที่ Mirador de San Nicolas โอเคร เกร๋เริ้ดดด ฟังดูดี
หลังจากได้ขี้นมา ความรู้สึกที่มีต่อเมืองนี้ จากเฉยๆ กลายเป็นชอบมากขี้นมาทันที บน Albayzin เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยจริงๆแหละ ตัวอย่างบ้านหลังนี้เป็นบ้าน ศิลปิน สีน้ำที่โด่งดังในช่วงยุคหนึ่ง ศิลปินที่เสียชีวิตไปแล้ว ปล่อยให้บ้านตัวเอง เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ให้เข้าชมโดยไม่เก็บตังค์ แล้วบ้านคือ สวยมากก งานก็สวยมากแล้วก็มีอย่างนี้เรื่อยๆ สตูดิโอ ศิลปะบ้าน ร้านอาหารบ้าง วิวสวยๆ จากยอดดอย มองลงไปเห็น ทิวทัศน์ด้านล่างบ้าง บรรยากาศดีๆ เหมาะสมกับการทำงานศิลปะจริงๆ
อีกอย่างนึงคืออยากจะแนะนำว่าไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน ให้ลองหาเวลาหนีออกจากตารางเที่ยวที่ๆใครก็ไปกัน เดินไปดูบ้านดูเมืองและชุมชน ดูเพื่อให้รู้ว่าเค้าอยู่กันยังไงเราจะเห็นอีกมุมหนึ่งที่นอกเหนือจากหนังสือท่องเที่ยวที่แนะนำเรา.
และแล้วเราก็มาถึง Mirador de San Nicolascมันเป็นลานกว้างๆหน้าโบสถ์ ที่อยุ่สูงทัดเทียมกับ Alhambracสิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุดนี้ๆ คือความฟินแบบไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มค่ำอากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆแต่ไม่ถึงกับหนาว ชาวบ้านชาวเมืองก็ออกมานั่งพูดคุยกัน อาจจะนั่งเล่าเรื่องลูกที่กำลังโต สามีที่ขยันทำงาน นินทาเมียชาวบ้านว่าทำอาหารอร่อยกว่าเมียตัวเอง วัยรุ่นเอากีต้าร์ออกมาเล่น นั่งร้องเพลงกัน วิวก็ดี อากาศก็ดี โอ้ยยยยย !! เบียร์ก็เย็น เพลงก็เพราะ ผู้ชายก็หล่อ โอ้ยยยยยย !! ตอนอยู่บนนี้ ถ้าใครมาถามว่ามาจากไหนจะตอบว่าสเปนจริงๆ แม้จะพูดสเปนไม่ได้ และชอบกินปลาร้ามากๆก็เถอะ55 นั่งตั้งแต่เย็นๆไปจนถึงมืดค่ำจะวันใหม่ มองไปก็คิดอะไรไปเพลินๆ ถ้าเราเป็นเจ้าหญิงในวัง คงไม่ได้เห็นความงามของวังที่ตัวเองสร้าง ถ้าเป็นเจ้าหญิงในวัง คงไม่ได้มาฟังคนนั่งคุยอะไรสนุกๆแบบนี้ และแล้วอารมณ์เพ้อภพที่อยากเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ก็ค่อยๆหายไป สู้อยู่เป็นคนธรรมดา อยู่กับบรรยากาศสบายๆ กับคนทั่วๆไปที่ไม่ถือตัว สุขบ้าง ทุกข์บ้างให้ชีวิตเปรี้ยวจี๊ด เพราะไม่รู้ว่าการเป็นเจ้าหญิง จะสนุกและมีความสุขแบบนี้รึเปล่า.
ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่มีวันเลิกรา ในที่สุดพักผ่อน 10 วันของเราก็หมดลง พร้อมกับการฟกช้ำ สะบักสะบอม ไม่ใช่ที่เนื้อตัว แต่เป็นที่กระเป่าสตางค์
ไปกับเราเรื่องกินไม่มีเค็ม อารมณ์อาจารย์ยิ่งศักดิ์ กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ทิ้ง แต่เช็คบิลมา ขมคอเลย 555
ราคาด้านล่างนี้คือราคา ต่อหัวที่โดนกันไป บางอย่างก็สามารถประหยัดได้กว่านี้อีก
*** คำเตือน ถ้าเกิดมีใครในกลุ่ม”ออกไปก่อน” เช่นตอน จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน ขอย้ำให้รีบเคลียร์เงินกันก่อน เพราะว่าอาจจะ
ช็อปจนลืมตัวไปว่า เงินกูติดลบอยู่นี่หว่าาา (จะทำให้เหมือนพวกเรา กินกันซะราชา เลย T^T)