ถ้ามานั่งเรียง Wish-list สถานที่ๆ ควรไปเยือนก่อนตาย เรามั่นใจว่าหลายคนต้องมีดูไบ เมืองอาหรับกลางทะเลทรายที่เจริญแล้วเจริญอีก กระพริบตาถี่แค่ไหนก็อาจตามไม่ทันดูไบ เมืองที่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้..ตึกสูงเสียดฟ้า ทะเลทรายที่มองไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ถมทะเลเป็นเกาะ สร้างโรงแรมอลังการล้านแปด ที่นี่มีทุกอย่างที่เราคิดไม่ถึง หรือถ้าคิดถึงบ้านเราก็อาจจะสร้างแบบนี้ไม่ได้ 55555 นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาดูไบให้เห็นกับตาซักครั้งในชีวิต คือเครื่องแลนด์ปุ๊ปอยากให้ทุกคนหันมาตะโกนเรียกแรงๆ ว่า “มิเชล จากฟ้าจรดทราย” เฮ้
ทริปนี้เราใช้เวลา 3 คืน 5 วัน ตะลอนๆ อยู่ในดูไบ ไปทุกที่ ที่เป็น Toursit Attraction เค้าบอกกันว่า มารอบนี้แล้วไม่ต้องมาดูไบอีก 5 ปีก็ได้! แล้วค่อยกลับมาดูใหม่ว่ามันเจริญมากขึ้นขนาดไหน ทริปนี้เราพาเพื่อนใหม่ไปด้วยชื่อ Samsung Galaxy S7 Edge เพื่อนใหม่ที่กันน้ำ กันฝุ่น สวยอึดถึกทน และถ่ายภาพด้วย Dual Pixel ให้ความคมชัดมากถึง 12 MP คือถ่ายอูฐนี่เห็นชัดถึงรูขุมขนที่อยู่ข้างในกันเลยทีเดียว 55555 เพราะฉะนั้นทริปนี้เราจะใช้ S7 ถ่ายภาพทั้งหมดด้วยออโต้โหมด จะพาไปดู highlight เด็ดโคตรแซ่บของดูไบ ให้ทุกคนรู้ว่ามีมือถือเครื่องเดียวก็เที่ยวได้ เราเที่ยวได้…เพื่อนๆ ก็เที่ยวได้เหมือนกัน
วันแรกที่มาถึงนั่งรถเข้ามาในตัวเมือง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกระต่ายน้องจูดี้ ฮอปส์ กำลังนั่งรถไฟความเร็วสูงเข้าซูโทเปีย อาหารบ้านเรือนในเมืองมีรูปร่างแปลกตามาก ทำออกมาแต่ละตึกนี่สวยๆ ทั้งนั้น เราชอบความคม เงา และสะท้อนแสงเวลาพระอาทิตย์ส่องมาโดนของตึกที่นี่ มันให้ความรู้สึกแบบ… ศิวิไลซ์!
At The Top, Burj Khalifa
พูดก็พูดเถอะว่าเวลาไปเที่ยวประเทศต่างๆ อย่างนึงที่พยายามเลี่ยงตลอดเลยคือขึ้นตึกสูงๆ ไปดูวิว เพราะบางทีรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า และไม่ได้สวยแบบที่ภาพโปรโมต แถมบางทีก็แพงเหลือเกิน เราเลยเลี่ยงมาตลอด แต่ไม่ใช่กับที่นี่.. ตึกที่สูงที่สุดในโลก
ด้านล่าง Burj Khalifa จะมีห้าง Dubai mall เดินยังไงก็เดินไม่หมดหรอก เพรามันกว้างมาก ใครที่ชอบช๊อปปิ๊งจะต้องกรี๊ดใส่ที่นี่แน่นอน เพราะมีหลายอย่างถูกกว่าบ้านเรา อย่างตอนที่เราไป Bioderma ขวดใหญ่เหลือขวดละ 400 กว่าบาทแค่นั้นเอง และไปตะวันออกกลางทั้งทีอย่าลืมซื้ออินทผาลัมกลับมาด้วย ยี่ห้อที่ดีที่สุดที่คนดูไบแนะนำคือ Bateel
ตัดกลับไปที่ Burj Khalifa ที่นี่เป็นตึกสูงกว่า 162 ชั้น แต่ชั้นดูวิวที่สูงที่สุดที่เราจะขึ้นไปได้คือชั้น 148 ตอนแรกก็นึกว่าต้องใช้เวลานานมากในการขึ้นลิฟท์ แต่ลิฟท์ที่นี่ก็เก๋ออกแบบมาให้มีความเร็ว 10เมตร/1วินาที ทำให้รู้สึกเหมือนลอยได้เบาๆ ตอนอยู่ในลิฟท์ ขึ้นไปชั้น 148 ที่สูงกว่า 500เมตรแบบพุ่งปรี๊ดดดดดด
หมาไข่ ไก่เห่า เต่าบิน เหลือเชื่อมากกกกก ตื่นเต้นจนขาสั่นที่พาตัวเองไปยืนบนตึกที่สูงที่สุดในโลก มองลงไปนี่ฉี่เกือบแตกเพราะมันสูงมากจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองของเล่น มีมนุษย์จิ๋วขับรถ และเดินกันให้ขวักเลยแหละเวลามองจากตรงนี้
เราใช้เวลาอยู่บนตึกนี้เกือบ 2 ชั่วโมงตั้งแต่พระอาทิตย์กำลังคล้อยลงจนมันลับตาไป ที่รอก็เพราอยากจะรู้ว่าตอนกลางคืนมันสวยขนาดไหน และก็บอกเลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ดูไบวันที่เราไปไม่มีพายุทะเลทราย ท้องฟ้าปลอดโปร่ง .. โอ้ยยยย แม่ใจ๋บ่ดี รีบหา Wifi ทันทีพร้อมอัพเดตชีวิตดีๆ อวดเพื่อน ดูๆ ไปก็อดชื่นชมในความสามารถของมนุษย์เราไม่ได้ ที่สร้างสรรค์ออกมาได้ใหญ่โตและน่าประทับใจมาก น้ำตาไหลเลยข่ะ แสงน้อยก็สวยได้ที่แท้จริง
วันต่อมาเราไป Dubai Museum หลายๆ คนรวมทั้งเราด้วยก็จะเข้าใจว่าเมืองนี้มันร่ำรวยมาจากน้ำมันแน่นอน แต่แปลกกลับไม่ใช่ ที่นี่ดั้งเดิมแล้วทำประมง เก็บหอยมุกขายอะไรทำนองนั้นต่างหาก ก่อนจะกลายเป็นตึกระฟ้า ขายน้ำมัน ที่ดินและอสังหาต่างๆ จนร่ำรวย ที่นี่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ความเป็นมาของชาติพันธุ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยแหละ น่าแปลกอย่างนึงคือเรากลับรู้สึกว่าคนมาเที่ยวดูไบ อาจจะนึกถึงแต่ตึกระฟ้าสูงๆ ความทันสมัย แต่จะไม่ได้คิดถึงความเป็นไปเป็นมากันซักเท่าไหร่ ที่นี่ในมุมของเราแม้ว่าคนจะเยอะ มันก็ยังดูหงอยเหงาอยู่ดีนั่นแหละ
กิจกรรมนึงที่ไม่ควรพลาดเลยเวลามาเที่ยวตะวันออกกลางไม่ว่าจะไปฝั่งโดฮา มัสกัต อาบูดาบี หรือดูไบ ควรที่สุดคือการนั่งรถตะลุยทะเลทราย วิธีการตะลุยกันง่ายๆ คือนั่งรถ 4WD ที่ปล่อยลมยางแล้วตะลุยเข้าไปในทะเลทราย โดยที่โซเฟอร์ที่โคตรชำนาญทางเป็นคนขับพาเข้าไป ถ้าเข้าไปกันเองนี่หลงแน่นอน เรายังงงอยู่เลยว่าคนขับจำทางได้ยังไง ในเมื่อมันคือเนินทรายเหมือนกันทั้งหมด แต่เค้าก็สามารถพาเราขับเข้า ขับออกไปไหน มาไหนได้เต็มที่มาก ก่อนจะเข้าไปในทะเลทราย คนขับพามาแวะที่ฟาร์มอูฐก่อนเพื่อปล่อยลมยาง ตอนแรกถามคนขับว่า เข้าไปข้างในได้ป่าว.. นางบอกว่าไม่ได้ ของคนอื่นเค้า
คือเราว่ามันเป็นสัตว์ที่น่ารักมากเลยนะ ตามันจะดูเชื่องๆ จับได้ หอมได้ ป้อนหญ้าก็ได้ แต่อย่าเดินเข้าด้านหลังนะ ระวังจะมันจะดีดใส่เอา เราเล่นอูฐพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาไปตะลุยทะเลทราย บอกไว้ก่อนเลยว่าใครขี้เมา แพ้และเวียนหัวง่าย ควรกินยาก่อนเลยย เพราะไม่งั้นอ้วกแน่นอน
เรานั่งรถตะลุยไปในทะเลทรายเรื่อยๆ ขับขึ้นเนินนั้น เหวี่ยงลงเนินนี้ มีการทิ้งตัวลงเนินและให้รถไหลลงแบบเร็วๆ กรี๊ดกันสนั่นสิงานนี้ 55555 แนะนำว่าให้บอกคนขับเปิดเพลงอาหรับให้ด้วย จะได้อารมณ์มากกกก คุ้มค่ากับทุกบาที่เสียไป เหมือนอยู่ในอาละดินนึกสภาพตัวเองให้เหมือนกำลังนั่งพรมวิเศษมันก็เก๋อยู่นะ
ข้อดีของการใช้กล้องมือถืออย่าง Galaxy S7 ถ่ายทั้งหมดในทริปนี้คือมันลุยได้เต็มที่มาก ไม่ต้องกลัวฝุ่นเข้าเครื่องเลยเพราะกันมาเรียบร้อย จะเปิดกระจกรถเอากล้องถูทรายก็ไม่มีปัญหา ควรมาลองนะให้ลงตีหน้าแรงๆ คิดซะว่าตัวเองเป็นอะลาดินกำลังล่องลอยไปไกลๆ หูยยยย เท่ระเบิดระเบ้อ
ขับไปซักพัก คนขับจะจอดให้เราพักหายใจหายคอกันประมาณ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที บางคนก็อ้วก บางคนก็ชิวไปถ่ายรูปเก๋ๆ คือจะวิ่งไปให้ทั่วทะเลทรายก็ได้ไม่มีใครว่าแต่พาตัวเองกลับมาให้ถูกด้วยละกัน เราเป็นคนชอบมองอะไรที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาอยู่แล้ว เหมือนมองฟ้า มองทะเลแล้วมีความสุข ที่ทะเลทรายนี่ก็เหมือนกัน มันสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ซักครั้งในชีวิตควรหาโอกาสให้ตัวเองมาเที่ยวทะเลทรายในตะวันออกกลาง ทะเลทรายในดินแดนอาหรับราตรีของจริงอะ ต้องลองเลย
ฟ้าเริ่มมืดท้องก็เริ่มร้อง เรารีบอ้อนวอนพี่คนขับให้พาไปร้านอาหารหน่อยเถอะ ถ้าไปเที่ยวทะเลทรายนะ เราแนะนำให้ไปกินที่ร้าน BAB Al SHAMS DESERTRESORT& SPA เป็นร้านอาหารแบบ 5 ดาวที่อร่อยมาก มีไลน์บุฟเฟต์อาหารสไตล์อาหรับและซีฟู๊ดให้เลือกเยอะแยะมาก เนื้อแกะ เนื้อวัว และพิซซ่าชีสคือดีงามที่สุด เอ้อเวลาอยากได้เนื้อแบบ Medium rare ให้สั่ง rare ไปเลย ไม่ก็ยืนดูแล้วบอกเอาว่าพอรึยัง เพราะเจอมาหลายร้านมากที่ดูไบจะทำเนื้อให้สุกเกินตลอดเลยสำหรับที่นี่ เอ้อๆๆๆ เค้กอิทผาลัม และอิทผาลัมสดๆ ก็อร่อยมากกก ไปถึงที่แล้วอย่าลืมกินกันเด็ดขาด
ใครว่าดูไบมีแต่อะไรแห้งๆ ไม่จริงหรอก ที่นี่น้ำก็เยอะ มันติดทะเลนะ แล้วที่นี่ก็ไม่ธรรมดาถมทะเลกันเป็นว่าเล่น ถมแล้วถมอีก สร้างเกาะเยอะแยะมากมาย เราไปพักกันที่ The Atlantis โรงแรมนี้อยู่ที่โครงการ The Palm หลายๆ คนน่าจะเคยเห็นภาพมุมสูงที่เป็นรูปต้นปาล์มแยกออกเป็นแฉกๆ นั่นแหละ เรานั่ง Monorail เข้าไปมันให้ความรู้สึกตื่นเต้นดีนะ เหมือนเด็กบ้านนอกจะเข้าไปในวังอะไรทำนองนั้น เห็นโรงแรมอยู่ไกลตาลิบๆ และใหญ่มาก จนมันเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ ทีละนิด ที่นี่ตั้งอยู่ริมอ่าวเปอร์เซียเลยด้วยนะ
ที่นี่มีสวนน้ำใหญ่ติดอันดับโลกอยู่ด้วยนะชื่อว่า Aquaventure เป็นสวนน้ำที่ใหญ่มากกกกก คนที่พักที่ The Atlantis ก็เข้าพักที่สวนน้ำนี้กันฟรีๆ เลย ไฮไลท์มันอยู่ที่สไลเดอร์ Leap of Faith และ Shark Attack เป็นสไลเดอร์ที่สูงมากกกก และจะลอดอุโมงค์ที่มีฉลามเป็นสิบๆ ตัวว่ายอยู่รอบตัวเรา แต่เอาจริงๆ มองไม่เห็นหรอก เพราะมันเร็วมากกก เราว่าเล่นแบบธรรมดาคือ Shark Attack ก็พอยังจะได้ถ่ายรูปบ้าง ข้างในจะมีปลาเล็กปลาน้อย กระเบน ฉลาม ว่ายเต็มไปหมดเลยแหละ
เป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวแล้วได้เอามือถือลงน้ำแบบเต็มที่ เพราะว่า Galaxy S7 เอาลงไปเล่นน้ำได้ด้วยนะ จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็ลงได้เหมือนกัน แต่ลงได้ครั้งเดียวแล้วพังเลย แต่เครื่องนี้ไม่พัง 55555 เพราะมันมีระบบกันน้ำมาตรฐาน IP68 ลึกสุดได้ 5ฟุตและนานถึง 30 นาที เอาเส่ะ แช่ถ่ายใต้น้ำให้เปื่อยกันไปข้างนึงเลย! และที่นี่ศูนย์แสดงสัตว์น้ำด้วยนะ ถ้าพักที่นี่ก็เข้าได้ฟรีๆ เลยเหมือนกัน เรียกว่า The Lost Chamber ดูปลา ดูปูว่ายน้ำกันไปเด็กๆ น่าจะชอบ ถ้าผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกเฉยๆ แต่ก็สวยดีเหมือนกัน
ก่อนกลับเราไปล่องเรือ Catamaran ดูความชิวของทะเลดูไบ Jumeilah Beach ให้ลมตีหน้าแรงๆ และวันที่ไปคลื่นลมก็แรงสมใจเหลือเกิน เรือมันก็โล่งๆ เนาะนี่ก็กลัวจะตกลงไป ครีบไม่โผล่แน่นอน 55555 เราชอบอะไรหลายๆ อย่างที่นี่นะ มันดูทันสมัยแต่ยังมีความเป็นอาหรับนิดๆ อยู่ทุกที่เลย มีคนบอกว่ามาดูไบแต่ละครั้งให้เว้นไว้เลย 5ปี แล้วกลับมาใหม่ จะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราเซอร์ไพรส์เราได้เสมอที่ดูไบ สำหรับ Galaxy S7 สรุปง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านคือกันน้ำ กันฝุ่นได้ดียอดเยี่ยม ภาพคมและชัดขึ้นมากๆ และมีดีไซน์ที่สวยงาม ดังนั้นมันเลยจะไม่ได้อยู่กับเราแค่ทริปนี้ แต่ Galaxy S7 จะกลายเป็นเพื่อนใหม่เราอีกคน ที่จะออกเดินทางไปเก็บอะไรที่ประทับใจด้วยกัน ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาเพื่อนใหม่สำหรับการเดินทาง เราว่า Galaxy S7 อาจจะทำให้คิดใหม่ คิดอีกทีว่ามันทำอะไรได้มากกว่าโทรศัพท์จริงๆ
เรามีความสุขกับการใช้เงินที่เก็บมาคนละแบบ เธออาจจะชอบซื้อหุ่นยนต์หรือเครื่องสำอางค์ ส่วนฉันเอาไว้เดินทาง ..แค่ได้มองท้องฟ้าแปลกที่ ฉันก็เรียกมันว่าชีวิตดีๆ ได้แล้วจริงๆ และถ้าฉันเศร้าการเดินทางก็กอดฉันแน่นขึ้นทุกๆวัน เจอกันใหม่นะดูไบ