ข้อดีอีกอย่างของการเที่ยวในอาเซียนนอกจากจะไม่ต้องใช้วีซ่าแล้ว งบยังน้อยเหมือนเที่ยวในประเทศแถมได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ ใกล้บ้านที่บางทีก็หลงลืมกันไป พอไปเจออีกทีก็จะนึกขึ้นได้ว่าเฮ้ยประเทศใกล้บ้านเราก็มีแบบนี้ด้วยนี่นา ทริปสุดท้ายของปี 2018 ที่อยากรีวิวและเมาท์ให้ทุกคนอ่านคือ ‘ปีนัง’ มาเลเซีย เมืองที่หลากหลาย อาหารอร่อยกินกันจนลืมอ้วน เพราะมันถูกปากคนไทยอย่างเรามาก และใกล้ไทยกว่าที่คิดจนอยากไปเมื่อไหร่ก็จองตั๋วไปได้ทันที!
ทริปนี้เลยขอพาเที่ยวเมืองนี้กันแบบชิลๆ เหมือนไปเดินสยาม 3 วัน 3 คืนที่ปีนัง หยิบแผนที่แล้วเตรียมตามรอยได้เลย อ่ะ! แล้วอย่าลืมพกเอาเพื่อนที่แสนรู้ที่สุดอย่าง Galaxy Note9 ไปด้วยนะ จะได้มีภาพสวยๆ กันทั้งทริป
*** วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note9
และภายในเครื่องเท่านั้น ภาพนิ่งที่ไม่ได้ขึ้น Credit ใต้ภาพว่า ‘Capture by Galaxy Note9’
และภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ภายในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น***
DAY1 : Keep Walking and street art tour
ปีนังเป็นเมืองทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย ซึ่งมีอาณาเขตที่ใกล้กับประเทศไทยมากๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเดินทางมาจากหาดใหญ่กันก็มี เช่นกันคนปีนังหลายคนก็พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วเหลือเกินจนนึกว่าเป็นคนไทย ปีนังเป็นเมืองขนาดกะทัดรัด ไม่เล็กไปและไม่ใหญ่ไป เมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวกันจริงๆ เรียกกันว่า George Town
ตลอดทั้ง 3 วัน 3 คืนเราก็จะวนเวียนกันอยู่แถวนี้แหละ และถ้าใครเป็นนักเดินจะบอกว่าที่นี่เดินเที่ยวได้สนุกมากกกกกกก เพราะแต่ละที่ไม่ไกลกันมากเกินไป หรือถ้าใครเมื่อยก็สามารถเรียก Grab ได้ ราคาค่อนข้างถูกกว่าประเทศไทยพอสมควร นั่งจากจุดนึงไปจุดนึงแค่ประมาณ 30-50 บาทไม่แพงเล้ยย
ทริปสิ้นปีแบบนี้เต็มไปด้วยความชิลจ้ะ เราออกจากกรุงเทพช่วงสายๆ มาถึงปีนังก็ช่วยบ่ายนิดๆ ใช้เวลาบินไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว สายการบินที่มีบินมาปีนังมีทั้งไทยสมายล์ และ ไทยแอร์เอเชีย รอบนี้เราก็นั่งไทยแอร์เอเชีย เหมือนเดิม เพราะตัวเลือกของไฟลท์นั้นมีมากกว่าและเวลาบินค่อนข้างโอเคกว่า แต่ไทยสมายล์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากเลยนะสำหรับเพื่อนคนไหนที่ชอบบินดึกถึงแล้วนอนเลย เราถึงปีนังช่วงบ่ายๆ เลยแพลนให้วันแรกเป็นวันเดินดู Street Art ทั่วเมืองเลย
จุดตั้งต้นของการเดินดูเราเริ่มที่ Jetty 35 ที่นี่เหมือนเป็น Community มีพื้นที่ให้อาร์ตติสมาขายของทำมือต่างๆ และบางครั้งก็จะมีอีเวนท์พิเศษๆ มาจัดด้วย อย่างตอนที่เราก็ไปก็มีนักศึกษามาลองทำ Business Plan กันเลยได้กินของอร่อยเยอะเลย
จาก Jetty 35 เธอสามารถเดินเล่นได้รอบๆ เลยมี Street Art หลายจุดมากให้แวะถ่ายรูปกัน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เข้า Google Map จะเห็นว่า Street Art แต่ละที่สามารถเดินถึงกันได้หมดในระยะ 5 นาที อาทิเช่น Brother & Sister on a Swing / Boy on Motorbike / Boy with Pet Monster และระหว่างทางอาคารหลากสีก็ยียวนชวนให้ถ่ายรูปจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ความเร่งรีบสำหรับการมาเดินเล่นแถวนี้ ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไป แล้วเธอจะได้รูปเท่ๆ อีกตรึม
ละแวกนั้นถ้ามาวันหยุดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็จะคึกคึกและรื่นเริงมากเป็นพิเศษเพราะจะมีร้านค้าต่างๆ มาตั้งแผงขายของที่ระลึกกันเต็มไปหมด น่าสะสมหรือเดินดูเฉยๆ ก็เพลินดี ไม่ก็ลองหาขนมท้องถิ่นชิมดูกันซักอย่างสองอย่างก็แปลกใหม่แล้ว
DAY 2 : Up to the hills and City Sightseeing
ข้อดีมากๆ ของปีนังคือเที่ยวแต่ละวันไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเลย สามารถเริ่มเที่ยวตอนสายๆ ได้สบายมาก! วันที่สองของทริปเราเดินทางไป Penang hills กัน อ่านรีวิวเค้าบอกห่างจากตัวเมืองไปนิดหน่อยให้นั่งรถเมล์ แต่ดูแล้วน่าจะวุ่นวายและช้าเกินไป เราเลยเรียก Grab อีกแล้วซึ่งราคาตกอยู่เที่ยวละประมาณ 150-200 บาทเท่านั้นหาร 4 คนก็ต้องบอกว่า นั่งเถอะ 55555 มันไม่แพงเล้ยยยย
Penang hills คือจุดชมวิวเมืองมุมสูงนั่นแหละ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นมาประมาณ 800 เมตรทำให้อากาศด้านบนที่มีต้นไม้เยอะ เย็นกว่าในเมืองขึ้นมานิดนึง เดินเล่นได้และมีลมโกรกทั้งวัน วิธีขึ้นมาด้านบนนี้คือให้นั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นมาราคาไปกลับตกคนละประมาณ 300 บาท แต่… ถ้ามาช่วงวันหยุดคนจะเยอะมาก ที่นี่มี Fast Lane ด้วย แนะนำว่าถ้าไม่อยากเสียเวลาซื้อ Fast Lane เฉพาะขาขึ้นไปอย่างเดียว ส่วนขากลับค่อยไปซื้อด้านบนก่อนจะลง จ่ายเพิ่มนิดหน่อยแต่ประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก แถมได้ยืนหน้า รถรางด้วยนะ เห็นวิวสวยก่อนใครเพื่อนเลยจ้า เราว่าด้านบนนี้แวะมาอยู่ซัก 2 ชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการดูวิวอย่างเดียว สวยดี สวยแบบอาเซียนๆ
เสร็จจาก Penang hills เรากลับเข้ามากินข้าวในเมืองกันต่อเพราะแถวนั้นช่วงเที่ยงก็ร้อนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ร้านที่เราเล็งไว้คือ Bean Sprout Café เป็นคาเฟ่ที่ช่วยกันทำทั้งครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้องช่วยกันทำครัวและเสิร์ฟน่ารักมากๆ แถมใจดีอีกด้วย ร้านนี้ขาย Brunch เก๋ๆ ไปจนถึงช่วงบ่ายอาหารจะเป็นพวกเค้ก สปาเก็ตตี้ แซนด์วิชเปิดหน้าและไอศกรีมต่างๆ รสชาติดีเลยแหละ ใช้เวลาทำแต่ละจานค่อนข้างพิถีพิถัน คิดแพงหน่อยแบบนี้เราไม่ว่าเลย แถมร้านก็เป็นปูนเปลือยผสมไม้น่ารักมากๆ มีทั้งโซนที่ติดแอร์ และไม่ติดแอร์เลือกนั่งกันได้ตามสะดวก เป็นร้านที่เราใช้เวลากันพอสมควรเลย เพราะชิล นั่งกินข้าวเสร็จเมาท์มอยกินกาแฟกันต่อ แฮปปี้จริงแม่คุณ
มาค่ะ! เข้าสู่ช่วงขายดิบขายดีกับไปไง มาไง 5555 ขอแนะนำ Galaxy Note9 พร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Scene Optimizer ใช้กันมาตั้งแต่ตอนกลางปีจนถึงสิ้นปีก็ยังใช้อยู่ เพราะหลงรักในความฉลาดของ Galaxy Note9 ที่ทําให้ภาพของเรานั้นสวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถ่ายอาหารก็รู้ทันทีว่าเป็นอาหารขึ้น Icon ให้เห็นทันที และน่ากินขึ้นเยอะ
ปีนังเป็นเมืองช้าแต่เร็วเพราะมันเดินถึงกันหมดอย่างที่บอกจากคาเฟ่อาหารกลางวันเดินไปที่เที่ยวต่อไปแค่ประมาณ 10 นาที แต่นั่งรถก็เวลาพอกันเพราะถนนหลายเส้นของปีนังเดินรถได้ทางเดียวก็ต้องอ้อมกันไปจ้ะเธ๊อ! ช่วงบ่ายเรามาไฮไลท์ของปีนังอีกที่นึงคือ Peranakan Mansion เป็นคฤหาสน์ของตระกูลใหญ่โตของปีนังมาก่อน เมื่อก่อนคนรวยในปีนังจะเป็นคนจีนโพ้นทะเลที่ร่ำรวยมาจากการค้าขาย ก็สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ ให้ลูกหลานอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน พอหมดยุคไปลูกหลานก็ไม่สามารถรักษาทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ของตระกูลไว้ได้ เลยจำเป็นต้องขายให้เศรษฐีใหม่ชาวปีนังในปัจจุบันซึ่งเค้านำมาปรับปรุงและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้ากัน
ด้านในพิพิธภัณฑ์ก็มีของสะสมโบราณมากกว่า 1,000 ชิ้นที่ถูกเก็บสะสมไว้อย่างดี เราเดินดูกันได้ทุกห้องเลยนะ ดีมากๆ
วันที่เราไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ร้านรวงแถวนั้นคนไม่ค่อยเยอะและถนนต่างๆ ในปีนังก็เก๋มาก มีกลิ่นโคโลเนียลเบาๆ ผสมผสานกับความเป็นเอเชียนจ๋า อย่าง Beach Street และถนนรอบๆ ที่เค้าบอกให้ไปเดินถ่ายรูปกันก็น่ารักและดีงาม ระหว่างวันสิ่งที่สำคัญอย่างนึงของเราคือ Galaxy Note9 นี่แหละ ที่มาพร้อม Scene Optimizer ใช้ได้ดีและสะดวกมาก นี่คือภาพบางส่วนของเราใน Beach Street โดย Galaxy Note9
เรานั่งรถต่อกันมาอีกประมาณ 10 นาทีมาที่ Hin Bus Depot. ที่นี่เหมือนเป็นโกดังหรือโรงงานเก่าที่เอามาดัดแปลงเป็น Community เก๋ๆ ให้คนมาขายของทำมือทุกวันอาทิตย์ มาเล่นดนตรี โยคะและจัดแสดงงานศิลปะต่างๆ ทำให้โกดังหรือพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง มาประเทศเพื่อนบ้านแนะนำให้มาตรงกับวันหยุดนะ เธอจะเห็นอะไรที่คนโลคอลใช้ชีวิตกันจริงๆ เยอะขึ้นเลย
ที่ปีนัง อาหารเย็นเราฝากท้องกับ Street foods กันทุกมื้อ ต้องบอกก่อนว่าแม้ว่ามาเลเซียจะเป็นประเทศมุสลิมแต่ปีนัมีคนเชื้อสายจีนเยอะอยู่เกินครึ่งทำให้อาหารนั้นหลากหลายมากที่สุด หมู เห็ด เป็ด ไก่ หากินได้ง่ายๆ บะหมี่เอย ข้าวเอย! หน้าตาอาหารพวกนี้เวลามาเสิร์ฟจะหน้ากินมาก เธออย่าหน้ามืดตามัวสั่งมาเยอะเกินไปเพราะแต่ละอย่าง Portionใหญ่ ที่สำคัญรสชาติมันจะกลางๆ เกือบทุกจาน 555 คือไม่ได้ไม่อร่อย กินได้ อิ่มท้องแต่อร่อยแบบว้าวมั้ย ก็ไม่เลย มันเฉยๆ แต่กินวันละมื้อช่วงที่ไปเที่ยวก็ฟินนะ มีความสุขดีกับอาหารที่เลือกได้ไม่จำกัดในราคาไม่แพง อย่างย่านที่เราฝากท้องกันทุกคืนชื่อว่า New Lane Street Foods โอ้โห.. มีมากกว่า 20 ร้านได้เดินกิน นั่งกินไม่หวาดไม่ไหว
DAY 3 : It’s All Fun Until Drops in PENANG.
เช้าวันที่ 3 เราเริ่มวันใหม่แบบโลคอลๆ กันหน่อยที่ร้าน Toh Soon Café ร้านคาเฟ่ท้องถิ่นชื่อดังที่เสิร์ฟเหมือนสภากาแฟขนมปังสังขยา กาแฟ ไข่ลวกและข้าวแบบ Nasi Lemak สไตล์มาเลเซีย คนเยอะมากอาจจะต้องรอคิวนิดนึงถ้าไปสาย แนะนำมาถ้าอยากกินออกไปตั้งแต่เช้าช่วงหกโมงจะดีกว่ากินเสร็จแล้วค่อยกลับมานั่งพักที่โรงแรมแปปนึงก็ได้ไม่เป็นไร เพราะวันท้ายๆ แล้วเราก็จะเที่ยวกันชิลขึ้น เอ๊ะ..มันก็ชิลมาตั้งแต่วันแรกละนะ 55555
เราไปต่อกันที่ Cheong Fatt Tze Mansion หรือที่เรียกกันติดปากว่า Blue Mansion ที่นี่คล้ายๆ กับ Peranakan Mansion คือเคยเป็นของพ่อค้าชาวจีนตระกูลใหญ่สมัยก่อน แต่ต่างตรงที่ตรงนี้กลายมาเป็นโรงแรมด้วยส่วนนึงและยังเปิดให้คนภายนอกเข้าชมได้เหมือนกัน โดยแบ่งกันเข้าชมเป็นรอบๆ และต้องเดินตามไกด์เพื่อฟังเรื่องเล่าเก่าแก่ของที่นี่ โดยไม่สามารถเข้าไปในโซนโรงแรมที่มีสีฟ้าเยอะๆ ได้ สำหรับเรา เราว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ สำเนียงไกด์ค่อนข้างฟังยาก และจำกัดเขตเข้าชม ถ้าแนะนำว่าควรมาพักในส่วนของโรงแรมน่าจะได้ถ่ายรูปและเห็นอะไรที่เต็มที่กว่านี้มากๆ ที่นี่ได้รับการจัดอับดับจาก Lonely Planet ให้ติด 1 ใน 10 แมนชั่นที่ดีที่สุดในโลกด้วยนะ
อาหารเที่ยงของวันที่ 3 เป็นร้านที่เราประทับใจมากจริงๆ รู้ปะว่าความเฟลอย่างนึงของการไปเที่ยวทุกวันนี้คืออาหารบางร้านมันไม่อร่อยเหมือนที่มีคนไปรีวิวไว้ 555 สังเกตได้ว่าบางทีเราไม่รีวิวอาหารเพราะรู้สึกว่ามันไม่อร่อยจริงๆ หวะแก เลยปล่อยผ่านละกัน แต่ไม่ใช่กับ Tai Tong Restaurant ร้านสะอาดสะอ้าน ขายติ่มซำและอาหารจานเดียวพวกราดหน้า คืออร่อยมาก อร่อยจนอยากกลับมาซ้ำอีกรอบและนึกเสียดายที่น่าจะมาตั้งแต่วันแรกๆ เป็นมื้อที่กินกันหนำใจที่สุด
คือหยิบ Galaxy Note9 ออกมาถ่ายภาพเก็บไว้ .. ขายของเก่งงง
กินข้าวเสร็จก็ไปนั่งคาเฟ่กันต่อ ชีวิตในปีนังอะไรมันจะชิลและวื่นวือขนาดนี้คะเนี่ย 5555 China House คือร้านที่เราเลือกไปนั่ง Café เก๋ๆ ที่อยู่ย่านเดียวกันกับ Street Art นั่นแหละร้านจะเป็นห้องแถวยาวลึกเข้าไปจนสุด ขนมอร่อยและกาแฟก็ดี แต่ราคาก็จะสูงนิดนึงเหมาะแก่การมานั่งจิบสวยๆ ไม่ใช้มาโซ้ยอาหารหนักเพราะไม่งั้นจากทริป in Budget จะกลายเป็น Over Budget ไปได้ง่ายๆ เลยค่า เอ้อออ… ใกล้ๆ กันถัดไปสองห้องแถวมีร้าน Sixth Sense ด้วย น่ารักดี
ถามว่ามาปีนังซื้อของฝากอะไรดี? เราแนะนำขนมเปี๊ยะร้าน Ming Xiang Tai Pastry นะ เพราะอร่อยมากจริงๆ มีทั้งไส้ทุเรียน ถั่วไข่เค็ม และไส้สังขยาคัสตาร์ด ลูกนึงไม่แพงด้วยและอร่อยมากๆ กินสดๆ ร้อน หอมอร่อย หรือซื้อกลับก็ได้
ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินเราไปชิวกันที่ Chew Jetty ที่นี่เป็นเหมือนหมู่บ้านชาวประมงริมน้ำที่เริ่มเปิดร้านในบ้านของตัวเองริมน้ำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเล่นเล่ม ช๊อปปิ้งและนั่งดูพระอาทิตย์ตกริมอ่าวได้ ตรงนี้ไม่สวยมากแต่ชิลมาก ถ้ามีเวลาหรือชอบดูวิถีชีวิต ที่นี่เป็นอีกจุดนึงที่เห็น Local Life ริมน้ำของชาวปีนังได้เป็นอย่างดีเลยหละ
ตกดึกยามค่ำคืนปีนังก็ไม่ใช่เมืองที่หลับใหลนะจ้ะ เพราะนางมีคาเฟ่ผับบาร์ให้ Hopping กันทั้งวันทั้งคืน แต่ร้านนี้ทีเด็ดไม่ไปไม่ได้เพราะเป็นบาร์ลับที่หน้าร้านคือห้องแถวต้องเดินเข้าไปเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเป็นบาร์อย่าง Magazine 63 ตามเลขที่ตั้ง ถ้าเดินผ่านเฉยๆ จะไม่รู้เลยว่าที่นี่คือบาร์ลับที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวปีนัง ความมืดของบาร์ยามค่ำคืนและเครื่องดื่มเย็นๆ มันสดชื่นมากพี่จ๋า เราลองใช้มือถือถ่ายดูทำให้รู้ว่า แสงน้อยก็ถ่ายสวยมีอยู่จริง เพราะ ไม่ต้องกลัวเลยว่ากลางคืนแล้วมือถือจะกลายเป็นของเด็กเล่น เพราะนี่คือมือถือที่ถ่ายกลางคืนได้ดีที่สุด ดึงแสงลงนิดหน่อย ถ่ายไฟกลางคืนก็สวยในพริบตา
เช้าวันสุดท้ายในปีนังเป็นวันที่เราตื่นสายๆ และรอไปขึ้นเครื่องกลับไทยตอนบ่าย ปีนังเป็นเมืองที่น่ารัก ชิล อาหารอร่อย และทุกอย่างเป็นราคาที่เอื้อมถึงเหมือนเที่ยวในประเทศนั่นแหละ เราอยากให้ลองมาซัก 3 วัน 3 คืนแบบเรานี่กำลังชิลเลย ชีวิตเธอจะรีเฟรชมาก เป็นอีกเมืองนึงที่เที่ยวแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเพราะไม่ต้องรีบตื่นเช้าและกินอิ่มนอนหลับทุกคืน ถ้ามีเวลาว่างและหาที่ฮิปๆ ราคาไม่แพง แถมไม่ต้องนั่งเครื่องบินนานๆ บอกเลยว่าปีนังคือคำตอบที่ดีที่สุดของเธอแน่นอน