เราอมยิ้มทุกครั้งเวลามีคนไปเที่ยวเมืองจีนแล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่ามันดีอย่างนู้น อย่างนี้ สนุกกว่าที่คิดและจินตนาการไว้ตั้งเยอะ เพราะส่วนตัวพวกเราแล้วเป็นแก๊งค์ชอบเที่ยวเมืองจีนพอสมควร แม้บางทีอาจจะดูยากไปสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ หรือดูหวาดระแวงกับเรื่องที่ “ได้ยินเค้าเล่ามาว่า….” แต่เพราะแผ่นดินใหญ่ที่กว้างขวางนี้ มันมีเรื่องดีๆ เซอร์ไพรส์เราได้เสมอ ทั้งอาหารที่อร่อยกว่าที่คิด ห้องน้ำตามเมืองใหญ่และอุทยานแห่งชาติที่สะอาดกว่าปั้มน้ำมันบ้านเรา และผู้คนที่พอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยก็ยิ่งยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่และต้อนรับเหมือนพึ่งโล้สำเภามาอยุธยาเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วยกัน 55
ทริปนี้ก็เป็นจีนอีกทริปที่อยากมาเมาท์ให้ทุกคนฟังและย้ำแล้วย้ำอีกว่าไปเถอะ มันดีจริงๆกับ‘ฉางซา’ เมืองทันสมัย ‘จางเจียเจี้ย’ หุบเขาอวตารในตำนานและหมู่บ้านโบราณที่มีชีวิตอย่าง ‘เฟิ่งหวง’ ที่สวยเกินบรรยาย! กับทริปชิวๆ 6 วัน3 เมืองน่าเที่ยวที่ให้อยู่นานกว่านี้ก็อยู่ได้
Magic Hours On Board!
ถ้ากำลังวางแผนมาเที่ยวฉางซาอยู่ บอกเลยว่าแอร์เอเชียเป็นสายการบินที่บินไปฉางซาทุกวัน แถมเวลาบินยังเหมาะกับเพื่อนๆ พนักงานประจำทั้งหลายด้วย เพราะบินตรงวันละ 1 ไฟลท์ต่อวันในช่วงเย็นทำให้ไม่ต้องลางานในวันแรกไปบินเช้า สำหรับเรา เราชอบไฟลท์บ่ายๆ เย็นๆ แบบนี้มากกว่าไฟลท์เช้าตรู่เวลาที่ต้องการเดินทางแบบชิวๆ ฉางซาเป็นเมืองที่ทุกคนควรทำตัว ทำใจให้สบายๆ ไปให้ธรรมชาติโอบล้อมและสูดบรรยากาศยามเช้าของเมืองโบราณ เพราะฉะนั้นไฟลท์นี้แหละบินตรง บินง่าย บินได้ทุกวันเหมาะสมที่สุดสำหรับทริปนี้ บินแค่ 3 ชั่วโมงไปนอนพักผ่อนเอาแรงคืนแรกที่ฉางซากันดีกว่า
อ้อ! ถ้าใครกลัวว่าบินเย็นกลัวรถติดพอมาถึงสนามบินคิวเช็คอินยาวเหยียด บอกเลยว่าไม่ต้องกังวลเพราะทุกๆ เที่ยวบินของแอร์เอเชีย สามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าได้หรือมาทำ Self Check–in ได้ที่สนามบิน แล้วพุ่งตรงไป Drop กระเป๋า!
และไฟลท์เย็นบรรยากาศดีๆ แบบนี้อย่าลืมสั่งอาหารเย็นกินระหว่างทางด้วย และเพิ่มความคุ้มค่าที่สุด เพียงแค่เลือกเพิ่มตอนจองตั๋วกับแพ็กสุดคุ้ม ที่จ่ายครั้งเดียวได้ทั้งอาหารร้อนพร้อมน้ำเปล่า เลือกที่นั่งริมหน้าต่างดูวิวสวยๆ น้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัมให้ช็อปปิ้ง Miniso กันได้เต็มที่ และสำคัญที่สุดในทุกๆ การเดินทางคือประกันการเดินทางก็รวมอยู่ในแพ็กสุดคุ้มเรียบร้อยแล้ว จ่ายครั้งเดียวคุ้มแน่นอน
Day to Tianmenshan
‘วันไปไม่นับ วันกลับไม่คิด’ เพราะฉะนั้นนี่คือวันแรกของเราในการเที่ยวทริปนี้ พวกเราตื่นกันแต่เช้าตรู่แล้วรีบออกเดินทางไปที่ Tianmenshan ประตูสวรรค์ กันต่อ จากฉางซาใช้เวลาแค่ประมาณ 5 ชั่วโมงเท่านั้นเพราะนั่งเมาท์กับเพื่อน ผลัดกันงีบตลอดทาง แปปเดียวก็ถึงแล้วจริงๆ ยิ่งตอนเช้ารถไม่ค่อยติดเดินทางไปไหนต่อก็สะดวกมาก พอถึง Tianmenshan เรารีบไปต่อแถวขึ้น Cable Car ทันทีซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถบัสประจำทางเลย อย่าตกใจ! ถ้าเห็นคนเยอะๆ และดูวุ่นวาย จะบอกว่าคนต่อคิวกันเป็นระเบียบพอสมควร อาจจะมีแซงคิวบ้างนิดหน่อยแต่พอบอกเค้า ก็พร้อมกันทำตาม และคิวยาวๆ ที่เห็นนั้นรอไม่นานอย่างที่คิดเพราะเดินกันเรื่อยๆ เลย
Cable Car นี้เป็นกระเช้าขึ้นเขาที่ยาวที่สุดในโลกด้วยนะ ด้วยความยาวกว่า 7 กิโลเมตรของการค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาไป และใช้เวลาดูวิวสวยๆ ได้นานถึงเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้ทุกคนเอ็นจอยกับวิวสองข้างทางมากๆ แต่น่าเสียดายว่าวันที่เราไปถึงนั้นหมอกลงจัดเลยไม่ได้เห็นวิวที่สวยแบบอลังการมาก แต่ก็พอมองออกถึงความยิ่งใหญ่ผ่านหมอกลางๆ ไว้มีโอกาสจะมาอีก
และห้ามพลาดเด็ดขาดกับวิวด้านล่างที่จะทึ่งกับความสามารถของประเทศนี้ในการทำถนนสำหรับขึ้นเขา เพราะด้านล่างกระเช้าขึ้นเขาที่สูงที่สุดในโลกที่เรานั่งอยู่นั้นคือถนน 99 โค้ง โอ้โห! ยิ่งใหญ่ที่สุดถ่ายรูปกันมันส์เลยหละ
พอมาถึงด้านบนของ Tianmenshan เราจะเจอกับทางเดินรอบๆ เขาที่ไปซ้ายก็ได้ ไปขวาก็ดี เราแนะนำให้เดินไปตามทางที่จะไป Tianmen Cave หรือประตูสวรรค์นั่นเอง เสียดายจริงๆ ว่าวันที่เราเดินทางอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไม่งั้นจะได้เห็นวิวอลังการของ 99 โค้งและหุบเขาแห่งนี้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยหละ! แต่สำหรับเราอากาศมีหมอกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะสวยได้ฟีลไปอีกแบบ
ไฮไลท์ของด้านบนนื้คือทางเดินกระจกเลียบเขา ซึ่งมีทั้งหมด 3 จุดแวะจุดไหนก็ได้เหมือนกันหมด เสียเงินเพิ่มนิดหน่อยแค่ 5 หยวน จินตนาการของเราตอนแรกคือเข้าใจว่าน่าจะเป็นทางเดินยาวๆ แบบสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ลืมไปค่ะว่ามันน่าจะทำยาก เลยเป็นจุดสั้นๆ ให้พอระทึกใจเท่านั้น แต่คุ้มนะต้องลอง
จากด้านบน Tianmenshan เราสามารถย่นระยะเวลาและลดความเหนื่อยล้าของน่องได้ด้วยการลงลิฟท์บันไดเลื่อน คนจีนน่าจะคิดมาแบบครอบคลุมแล้วว่าอะไรดี อะไรงาม 555 นางเลยสร้างลิฟท์บันไดเลื่อนแบบนี้ลงเขามันซะเลย เป็นบันไดเลื่อนอีกที่นึงที่เรารู้สึกว่ามันยาวมากๆ แต่ก็ดีไปอีกแบบเพราะแค่ยืนเฉยๆ ให้มันไหลลงไปอย่างเดียวเลยจ้ะ ข้อดีของมันคือมันจะไหลลงไปจนถึง Tianmen Cave ด้านบนสุดเพื่อให้เราสัมผัสประสบการณ์การเดินลงอีก 999 ขั้นจากประตูสวรรค์!!
Tianmen Cave เป็นหลุมที่ถูกน้ำกัดเซาะระหว่างสองยอดเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนจีนเรียกที่นี่ว่าประตูสวรรค์และบันไดสวรรค์ 999 ขั้น ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่นี่มันเกินบรรยายมาก อยากให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเอง ความฟินและสนุกของการค่อยๆ เดินลงบันไดที่สูงและเสียวมากกับเพื่อนเป็นอีกโมเมนท์ตลกๆ นี่สนุกเสมอ ประตูสววรค์มันก็มีเท่าที่เห็นนี่แหละแต่บรรยกาศของการ ‘กว่าจะมาถึง’ และได้มาเที่ยวกับเพื่อนในสถานที่อลังการแต่งบน้อยแบบนี้มันดีงามจริงๆ จ้า
เราจะค่อยๆ เดินลงบันได 999 ขั้นลงมาเรื่อยๆ บอกเลยว่าคนจีนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นระเบียบมาก ไม่มีการผลักหรือเบียดกันเลยซักนิดเดียวในขณะเดินขึ้น-ลง บอกเลยว่าใครนี่กลัวนู่น กลัวนี่ คือจินตนาการเยอะเกินไปแล้ว 5555จากด้านล่าง Tianmen Cave เราจะนั่งรถบัสผ่าน 99 โค้งแทนกระเช้ามาด้านล่างของเขาเพื่อรอดูโชว์ที่เราชอบมากที่สุด
ช่วงเย็นก่อนกลับมีแดดออกมานิดหน่อยเห็นแค่ปลายยอดเขาก็รู้สึกแล้วว่ามันต้องดีมากๆ แน่นอนในวันที่แดดออกสวยๆ รถบัสจะมาส่งเราด้านล่างของเขา เป็นจุดที่เราจะใช้ดูโชว์สุดอลังการคืนนี้คือ Tianmen Fox Fairy ซึ่งเป็นละครเพลงกลางแจ้งที่ใช้วิวของหุบเขายามค่ำคืนเป็นวิว มิวสิคคัลเรื่องนี้เล่าเรื่องตำนานความรักของหมาจิ้งจอกแสนสวยกับชายหนุ่มตัดไม้ ไม่ต้องกลัวจะดูไม่รู้เรื่องเพราะมี Subtitle บรรยายภาษาอังกฤษตลอดทั้งเรื่อง ขอไม่อวยมากเพราะอยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเองกับความอลังการของฉาก ความพร้อมของนักแสดงเป็นร้อยๆ คน และบทเพลงที่เพราะหูเหลือเกิน
เป็นโชว์ที่ทำให้จบวันแรกของทริปได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ
จาก Tianmenshan เมื่อคืนเราเลือกขับรถต่อมาเลยประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เพื่อมานอนแถวๆ Wulingyuan ซึ่งจะทำให้เช้าวันที่สองเราไม่ต้องรีบตื่นเช้าเพื่อไปจางเจียเจี้ย และแถว Wulingyuan นั้นเจริญมากๆ มีร้านอาหาร มีย่านเมืองเก่าเล็กๆ แสงสียามค่ำคืนที่ดูน่าสนุก แถมที่พักแถวนี้ก็ค่อนข้างดีและสวยงามราคาไม่แพง ตื่นมานั่งจิบชาจีนตอนเช้าชื่นใจจัง
Get up close with the “Avatar” Mountains
จินตนาการถึงชาวนาวีที่เคยดูในเรื่องอวตารว่ากำลังกระโดดจากยอดเขาลูกนู้นไปลูกนี้ ที่นี่แหละหุบเขาอวตารของจริง! เช้าวันที่ 2 เราขึ้นกระเช้ามา Zhangjiajie National Forest Park ที่นี่เป็นอีกที่ ที่ควรมามากๆ แม้ว่ากิจกรรมของมันคือการเดินดูวิวเรื่อยๆ ก็ตาม Zhangjiajie ฮิตติดลมบนขึ้นมาเพราะภาพยนตร์เรื่องอวตาร ใครๆ ก็อยากมาเห็นว่าเหล่าชาวนาวีอยู่กันอย่างไร และจะแตกต่างจากในหนังแค่ไหน ที่นี่เลยมีนักท่องเที่ยวเยอะมากตลอดทั้งปี
บนจางเจียเจี้ยนั้นมีจุดชมวิวค่อนข้างเยอะคือมองไปทางซ้ายก็เห็นแท่งหิน ทางขวาก็เห็นอีกแล้วแต่ละจุดจะสวยกันคนละแบบนั่นแหละ เราเลยขอแนะนำ 3 จุดใหญ่ๆ ที่ควรมาถ่ายรูปคือ ..
1. Sandstone Peak Forest – The Warrior Training Horses
จุดนี้เราจะเห็นมุมกว้างมากๆ ของจางเจียเจี้ยมีระเบียงยื่นออกไปนิดหน่อยให้พอตื่นเต้น มุมนี้คนน้อยมากแทบไม่มีเลย
และถ้าใครอยากเที่ยวเมืองจีนให้ง่ายและสนุกกว่าเดินอย่าลืมโหลด China Easy Guide จากแอร์เอเชียได้ฟรีๆ ใน Guidebook นั้นสามารถโหลดเก็บลงมือถือได้เป็นไฟล์ PDF. ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน เปิดขึ้นมาก็จะเจอแพลนเที่ยวแนะนำทั้งหมดว่าควรไปที่ไหน วันไหนบ้าง โหลดฟรีได้เลยคลิกที่นี่
ต้องอธิบายก่อนว่า Zhangjiajie National Forest Park เนี่ยมีทั้งโซนด้านล่าง และโซนด้านบน แต่รอบนี้เราจะเที่ยวแต่โซนด้านบนให้เห็นวิวมุมกว้างของหุบเขาอวตาร โซนด้านบนจะเรียกกันว่า Tianzi Mountain และ Yuanjiajie จากจุดที่รถบัสมาส่งจะยังเป็นแค่วิวจางเจียเจี้ยเฉยๆ แต่ถ้าอยากเห็นวิวที่เค้าถ่ายทำเรื่องอวตารกันให้นั่งรถบัสต่ออีกนิดนึงจากจุดที่จอดรถบัสเดิมไปยังจุดที่ถ่ายทำ ถ้าไม่รู้จะพูดยังไงให้บอกเค้าว่า The First Bridge under Heaven หรือโชว์ภาษาจีนนี้เพื่อถามทางกับเจ้าหน้าที่ได้เลย (天下第一桥) อีก 2 จุดที่เราอยากแนะนำเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเดินดูคือ
2. The First Bridge under Heaven
จุดนี้พี่จีนเค้าเคลมว่าเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างสองแท่งหินตอนแรกเราก็มองไม่ออกว่าเป็นสะพานยังไง จนเดินมาฝั่งตรงข้ามเลยได้เห็นว่าจริงๆ คือแท่งหินที่มีส่วนเว้าตรงกลางจนกลายเป็นเหมือนสะพาน แต่วิวด้านบนค่อนข้างสวยรวมถึงบริเวณนี้เค้าจะชอบมาผูกริบบิ้นสีแดงๆ กันซึ่งข้อความบนริบบิ้นจะมีข้อความให้เลือกประมาณ 3-4แบบ จะขอเรื่องความรัก สุขภาพหรือโชคลาภก็เลือกกันได้เลย ริบบิ้นเส้นนึงราคาแค่ 5 หยวนเท่านั้น
3. Hallelujah Mountain
จุดนี้อยู่ไม่ห่างจากจุดที่ 2 เท่าไหร่ เป็นอีกที่ไฮไลท์ของการมาจางเจียเจี้ยคือ Hallelujah Mountain จริงๆ ชื่อนี้ก็พึ่งได้มาเพราะหนังเรื่องอวตารนี่แหละ เพราะเป็นภาพในโปสเตอร์ของภาพยนตร์เลยทำให้จุดนี้ฮิตขึ้นมาที่ทุกคนต้องมาถ่าย ใกล้ๆ กันนั้นจะมีฝูงน้องลิงค่อนข้างเยอะให้ระวังข้าวของและรูดซิปกระเป๋ากันดีๆ ด้วยนะ
ได้มาเยือน3 จุดนี้ก็คุ้มค่าพอแล้วกับการมาเที่ยวจางเจียเจี้ย สำหรับค่าบัตรเข้าชม Zhangjiajie National Forest Park ราคา 248 หยวนประมาณ 1,500 บาท สามารถใช้ได้ 2 วัน ใครที่มีเวลามากหน่อยแนะนำให้เที่ยวโซนบน 1 วัน และโซนด้านล่างอีก 1 วัน อย่าลืมถ่ายรูปมาเผื่อเราด้วยนะ! แค่นี้ก็อิ่มเอมมากๆ แล้วกับวิวที่อลังการไม่มีหมด
ช่วงเย็นหลังจากลงจากจางเจียเจี้ยรอบๆ บริเวณทางเข้าจะมีร้านอาหารขายเยอะมาก และน่ากินหลาย ร้านเลย บางร้านก็เป็นร้านขาวเหล้าหวานๆ กินเสร็จก็ให้ปาแก้วทิ้งเป็นกิมมิค และอีกหลายๆ ร้านที่เป็นร้านอาหารอย่างดีแต่ราคาไม่แพงเลย
Glass Bridge and Fenghuang Village
เช้าวันที่ 3 เราออกกันแต่เช้าเพื่อไปสะพานกระจกที่สูงและยาวที่สุดในโลก เป็นสะพานที่น่าตื่นเต้นและสูงมาก แม้ว่าเราจะเดินทางเดินเลียบเขากระจกที่ Tianmenshan มาแล้ว แต่ที่นี่เป็นสะพานก็ได้ฟีลตื่นเต้นไปอีกแบบ
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งวันถึงจะบอกว่าข้ามได้ แต่ถ้ามาได้ก็ควรมานะ 5555 เพราะสนุกดีเหมือนกัน เราชอบที่นี่อย่างนึงคือความเอื้อเฟื้อของคนจีนผสมกับความไม่ค่อยมีระเบียบทุกคนจะถ่ายรูปแต่ก็พยายามไม่ไปใกล้มุมของคนอื่นเท่าไหร่ เอาง่ายๆ คือแบ่งกันถ่ายนั่นแหละ เสร็จจากสะพานกระจกเรารีบไปทานอาหารกลางวันร้านท้องถิ่นในเมือง อาหารหูหนานอร่อยเลยแหละ เพราะไม่เผ็ดจนชิ้นชาและไม่มันจนเลี่ยนแบบที่ทานไม่ได้ มันกลมกล่อมและผักค่อนข้างเยอะ กินกับข้าวสวยร้อนๆ ด้วยตะเกียบ โอย.. ใครว่ามาจีนจะผอม ไม่จริงเลย
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงเพื่อไปเมืองโบราณที่มีชีวิตต่อ Fenghuang เป็นเมืองโบราณที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในเมืองจีน ด้วยความมีชีวิตชีวาของมันและให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างกันในตอนกลางวันและกลางคืน ทำให้เราหลงรักเมืองนี้มากกว่าเดิน เราแพลนนอนที่นี่หนึ่งคืน จริงๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าอยากซึมซับบรรยากาศให้มากกว่านี้เราว่า สองคืนกำลังดีเลยแหละ วันแรกเรามาถึงที่นี่ช่วงเย็นทันดูพระอาทิตย์ตกดินพอดี โอ้โห สวยมากกกกกกกกกกกกกกก!
บรรยากาศตอนกลางคืนของเมืองนี้คึกคักมากเป็นพิเศษเพราะร้านรวงจะเปิดเต็มพื้นที่ ทั้งร้านอาหารและผับบาร์เสียงดังสนุกสนานกันทั้งคืนจนถึงประมาณเที่ยงคืนทุกร้านจะเริ่มปิดทั้งหมด เราแนะนำให้เลือกทานข้าวร้านริมน้ำและเดินช๊อปปิ้งดูของช่วงกลางคืนไปเรื่อยๆ ก็เพลินใช้ได้เลย
ร้านขายของที่นี่ต่อราคาได้เยอะ แม้ของจะขายเหมือนกันแต่ราคาไม่เท่ากันนะเพราะฉะนั้นก่อนซื้อถ้าเห็นว่าถูกแล้ว ให้ต่ออีกจะได้ถูกกว่าเดิมเยอะมาก! เดินเพลินๆ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้ตลอดทาง
Morning in Fenghuang!
เช้าวันที่ 4 ของทริปในหมู่บ้านโบราณที่มีชีวิตอย่างเฟิ่งหวง บอกเลยว่าคุ้มค่ามากกับการตื่นเช้าในเมืองโบราณ 400 ปี ความยิ่งใหญ่และความละมุนของมันเยอะจนอยากจะหยุดเวลาตรงนี้ไว้ซักครึ่งวันให้พระอาทิตย์อย่าพึ่งขึ้น ที่นี่เป็นเมืองตื่นเช้าและหลับดึก แต่บรรยากาศของเมืองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนเช้าดูนิ่งๆ สงบและเรียบร้อย ส่วนกลางคืนก็เปรี้ยวจี๊ดจับใจ นี่คงเป็นอีกเหตุผลแหละมั้งที่ทำให้คนมาเฟิ่งหวงต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดีงามจริงๆ
นอกจากวิวสวยๆ ยามเช้าแล้วสิ่งที่เราจะได้เห็นอีกอย่างคือวิถีชีวิตของคนที่นี่ยามเช้า บ้างก็เอาผ้ามาซักริมสระน้ำ บ้างก็แบกตะกร้าใส่ผักและผลไม้เพื่อเตรียมไปขาย เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและดูน่ารักมากๆ
แล้วอย่าลืมแวะช๊อปปิ้งกันเพิ่มก่อนกลับด้วยนะ ตอนเช้าๆ แต่ละร้านจะเริ่มเปิดตอนประมาณ 9 โมง พอๆ กับที่ถ่ายแสงเช้ากันเสร็จพอดี แวะช๊อปปิ้งกันซักหน่อยก่อนกลับเข้าฉางซา โดยเฉพาะพวกหมูแผ่น บอกเลยว่าอร่อยมาก! ทำใหม่ๆ สดๆ ตอนเช้ากำลังร้อน หรือ GONG CHA ที่นี่ก็มีนะว่าไม่ได้จริงๆ หรือใครชอบล่องเรือชมเมืองเก่าเค้าก็มีบริการด้วยแต่คิวยาวสำหรับเราเฟิ่งหวงไม่ใช่เมืองเชยๆ แม้ว่าเค้าจะเรียกกันว่าเมืองโบราณก็ตาม ที่นี่ใหม่ไปหมดสำหรับเรา ใหม่ในแง่ของความรู้สึกที่ดีขึ้นกับเมืองจีน ใหม่ในเรื่องของมุมมองที่ทำให้เราชอบและรักที่จะเดินทางมาจีนมากกว่าเดิมอีก
เราบอกลาและออกจากเฟิ่งหวงช่วงประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อกลับเข้าฉางซา จากที่นี่ใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับช่วงเวลารถติดและเทศกาล เพราะฉะนั้นควรแพลนดีๆ และทำเวลานิดนึงถ้าไม่อยากถึงฉางซาดึกเกินไป เฟิ่งหวงเป็นเมืองที่เรายังไม่พอและต้องมาซ้ำอีกแน่นอน ?
เรามาถึงฉางซาช่วงเย็นๆ ก็รีบนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่ Wuyi Square ทันที! เพราะนี่คือสยามสแควร์ของฉางซา ความเจริญและทันสมัยพบเจอได้ที่นี่ หลังจากอยู่ป่าอยู่เขามาหลายวันเห็นแบบนี้ก็ชื่นใจเหลือเกิน แถวนี้มีชาบูหม่าล่าหลายร้านมากๆ ให้เลือกกันได้ตามใจชอบเลย รสชาติก็ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แซ่บ เผ็ดชาลิ้นแต่อร่อย!
อย่าลืม! แวะกินชาที่โด่งดังที่สุดของฉางซาด้วยนะ ชื่อ Sexy Tea โลโก้เป็นรูปผู้หญิงใส่ชุดจีน เดินไปที่ไหนก็เจอทั้งนั้นอะ ส่วนรสชาตินั้นดีกว่าที่คาดหวังไว้เยอะมาก ชาหอมละมุน วิปครีมดีมากไม่หวานจนเกินไป กินเล่นได้ทั้งวันเลยแหละ
ฉางซาเป็นเมืองที่เจริญกว่าที่คิดไว้มากๆ มีห้างหรูหราหลายแห่งพร้อมของแบรนด์เนมเพียบ! แถมแสงสีตอนกลางคืนก็มีสีสันดีมาก ทำให้เรารู้สึกสนุกไปด้วย Wuyi Square เป็นย่านที่ควรค่าแก่การมาเดินเล่นช๊อปปิ้งทิ้งท้ายวันสวยๆในฉางซา
Last day in Changsha
เป็นธรรมดาของทุกๆ ทริปที่วันสุดท้ายเราจะปล่อยไว้ค่อนข้างชิวหลังจากตื่นเช้าตรู่กันมาหลายวัน วันสุดท้ายคือวันที่นอนตื่นสายๆ ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นจีนฮิปๆ สุดชิวในเมืองใหญ่อย่างฉางซา เพราะเรามีเวลาเที่ยวกันอีกทั้งวันเต็มๆ!
จะบอกว่าการเที่ยวในเมืองฉางซานั้นไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรือสื่อสารกันให้ยุ่งยาก เพราะเราสามารถนั่ง Metro ไปได้ทุกๆ ที่โดยค่าโดยสารเริ่มต้นแค่คนละ 10 บาทหรือ 2 หยวนเท่านั้น แถมบรรยากาศบนรถไฟฟ้าก็ใหม่เหลือเกินเพราะพึ่งเปิดได้ไม่นาน ผสมกับมารยาทของคนที่นี่ที่เริ่มดีวันดีคืนเลยทำให้บรรยากาศการนั่ง Metro ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดจริงๆ แถมป้ายบอกแต่ละสถานีก็มีเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ทั้งหมดทำให้ไม่ต้องกลัวหลงเลย
เราเริ่มวันด้วยการ Café Hopping เบาๆ ไม่อยากจะบอกว่าที่ฉางซามีร้านคาเฟ่น่านั่งและเก๋เยอะมาก ถ้ามีเวลาอยู่ที่นี่เพิ่มอีกซัก 2 วัน แน่นอนว่าเราจะพาไปเป็นสิบๆ ร้านแน่นอน แต่รอบนี้มีเวลาน้อยเลยพยายามหาร้านที่น่ารัก คนไม่เยอะ รอไม่นานและเดินทางไม่ลำบากมาให้นะ ร้านแรกชื่อร้าน 101 Café อยู่ในห้าง CCMALL ด้านหน้าของห้าง แค่นั่ง Metro มาลงที่ Shawan Park แล้วออกประตู 2 แค่นี้ก้ถึงเลย ที่ร้านเครื่องดื่มอาจจะธรรมดา แต่ขนมรสชาติดีใช้ได้เลย ที่เก๋สุดคือบรรยากาศของร้านที่ดูละมุนมากๆ กับข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเข้ากันไปหมด
จากนั้นเรากระโดดขึ้น Metro ไปลงที่สถานี Culture & Arts Center ที่นี่เธอจะพบกับสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยมากๆ เพราะเค้าลงทุนสร้างหลายพันล้านหยวนเนรมิตพื้นที่กว้างขวางให้กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและศิลปะต่างๆ ช่วงที่เราไปเค้ากำลังเก็บรายละเอียดของโครงสร้างต่างๆ และมีบางอาคารเปิดให้เข้าชมแล้วเช่นกัน ดูบรรยากาศสิ สวยงาม ล้ำสมัยและดูโมเดิร์นมาก เป็นอีกที่ๆ ควรแวะมาดูและถ่ายรูปมากกกกก มันสวยแบบดิบๆ แต่ดูแล้วอลังการที่สุดเลย
ใกล้ๆ กันห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อยู่ห้างนึง เธอสามารถเดินเล่นฆ่าเวลา กินข้าวกลางวันอร่อยๆ ได้ในห้างนี่เลยหรือเน้นชิวแบบเรา เราขอแนะนำร้าน MAMA CHA ร้านชาชื่อดังของฉางซาอีกแล้วเพราะมีให้เลือกหลายรสชาติ รวมถึงเครื่องดื่มประเภทผลไม้ มีทั้งชานม ชาผสมผลไม้ทั้งร้อนและเย็น บางทีเราก็สงสัยนะว่าคนจีนมันกินชากันไม่เบื่อกันบ้างหรอ มีแทบจะทุกๆ สิบก้าวยิ่งกว่าเซเว่น และแต่ละร้านก็ตกแต่งยิ่งกว่า Fine Dine บ้านเราซะอีก อย่างร้านนี้เห็นปุ๊ปต้องรีบแวะทันทีเลยอะ เป็นร้านชาที่ตกแต่งได้น่ารักมากกกกกก หวาน ละมุน ขาวสะอาดไปซะทั้งร้าน แถมแก้วชานี่ถือเหมือนเดินกินได้ทั้งวันเลยนะ แต่จริงๆ เป็นแค่ดีไซน์เฉยๆ จ้า ขนาดจริงด้านในเล็กกว่าแก้วเยอะ
เรากลับมาเดินเล่นย่าน Wuyi Square อีกครั้งก่อนกลับกรุงเทพ แวะกินเต้าหู้เหม็นเจ้าดัง และหาขนม Street Foods กิน และเดินดูของที่เผื่ออยากได้ก่อนกลับบ้านอีกรอบ สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่เราแนะนำให้เผื่อเวลาเที่ยวฉางซาไว้อย่างน้อย 2 คืนอย่างต่ำนะ เพราะเธอจะช๊อปปิ้งมันส์มากแน่ๆ กับของดีราคาถูกมากมาย
ไฟลท์ของแอร์เอเชียขากลับกรุงเทพนั้นออกจากฉางซาตอนดึก ทำให้เรามีเวลาเที่ยวอีกเต็มวันก่อนกลับไปลุยงานกันต่อ ข้อดีของการบินดึกแบบนี้คือ เที่ยววันกลับได้เต็มวัน เวลาบินไม่นาน กลับถึงกรุงเทพปุ๊ปก็พร้อมกลับบ้านนอนทันที ย้ำอีกรอบนะจ้ะว่า แอร์เอเชีย บินตรง บินง่าย บินได้ทุกวัน จากกรุงเทพสู่ฉางซา วันละ 1 เที่ยวบิน บินเย็นถึงค่ำพร้อมนอน ขากลับก็บินค่ำ ถึงค่ำพร้อมนอนอีกเช่นกัน สะดวกและคุ้มค่าที่สุดแล้วนะ เอ้อออ! และชาวเหนือก็ไม่ต้องบินลงมากรุงเทพเพื่อไปเที่ยวฉางซา เพราะแอร์เอเชียมีบินตรงเชียงใหม่-ฉางซา วันละ 1 เที่ยวบินเหมือนกันเน้อเจ้า
สำหรับแฟนเพจไปไง มาไงที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนด้วยกันกับแอร์เอเชีย เพื่อนๆ สามารถทำวีซ่าได้กับทาง Seasons Holiday เพียงแสดงบัตรโดยสารเดินทางไป-กลับโดยสายการบินไทย แอร์เอเชีย (เที่ยวบินที่ขึ้นต้นด้วยรหัส FD) ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. – 31 ธ.ค.2561 ฟรีทันทีค่าดำเนินการในการขอวีซ่า สะดวกสบายเพียงแค่เตรียมเอกสารไม่ต้องเดินทางไปยื่นด้วยตัวเอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทซีซั่น ฮอลิเดย์ 02-6963333 (แผนกวีซ่าจีน)
ฉางซาเป็นเมืองที่ได้มาแล้วก็ไม่เสียใจ และอยากกลับมาอีกให้ครบทุกฤดู บางสถานที่ๆ เราเดินทางกันไปจะรู้สึกว่า โอเคครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ฉางซาเป็นเมืองที่ทำให้รู้สึกอยากกลับมาอีกเรื่อยๆ อยากมาเห็นจางเจียเจี้ยตอนหน้าหนาวที่มีหิมะอยากเห็นหมู่บ้านโบราณเฟิ่งหวง ช่วงหน้าหนาวอากาศดีและเดินกินซาลาเปาอุ่นๆ กับเพื่อน ถ้ามีโอกาสเราอยากแนะนำให้มาซักครั้งในชีวิตก็ยังดี เธอจะตื่นตาตื่นใจกับความสร้างสรรค์ของธรรมชาติและคนจีนที่ไม่มีที่สิ้นสุด และวิวที่อลังการไม่มีหมด จนเราต้องยอมหมดเอง 555 จีนเปลี่ยนไปแล้ว…ไม่เหมือนภาพความน่ากลัวอีกต่อไป