ลองจินตนาการกลับไปตอนที่เริ่มรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่ประเทศไทย ลองหลับตาแล้วนึกให้ถ้วนๆ ตอนที่รู้ว่าเราสามารถทำพาสปอร์ตในราคา 1,000 บาทออกไปเที่ยวในประเทศที่พูดกันคนละภาษา และต่างวัฒนธรรม แล้วลองหลับตานึกถึงเงินก้อนแรกที่ตั้งใจเก็บไว้ไปเที่ยวต่างประเทศ เรามั่นใจว่าประเทศที่อยู่ในลิสต์นั้นต้องมี ‘ฮ่องกง’ อยู่ด้วยแน่นอน!
*** วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung GalaxyNote8 และภายในเครื่องเท่านั้น
ภาพนิ่งบางส่วนที่ไม่ได้ขึ้น Credit ใต้ภาพว่า ‘ถ่ายด้วย GalaxyNote8’
และภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ภายในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น***
เพราะนี่คือเมืองแห่งแสงสี เป็นมหานครในเอเชียที่ไม่เคยหลับใหล ใกล้ไทยแค่ 2 ชั่วโมงนิดๆ และเที่ยวได้ 3 วันก็ครบถ้วน ทริปนี้เราเลยขอพาย้อนไปเก็บที่หลักๆ ในฮ่องกงที่ควรไปเยือนในเวลาจำกัดแบบ 3 วัน 2 คืน พร้อมพก Galaxy Note8 ออกไปเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่จะทำให้เราเที่ยว เรากิน ในฮ่องกงได้สนุกมากขึ้นกว่าใคร
DAY 1 : Lost in Central Area!
ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวแบบทั้งวันเต็มๆ 3 วัน เราเลยแพลนเป็น ฝั่ง Central 1 วัน / ออกไปเดิน Best Unban Trails in Asia ที่ Dragon’s Back อีก 1 วัน และกลับมาเที่ยวฝั่ง Kowloon ชิคๆ อีกวันเต็มๆ! ทำให้การเที่ยวฮ่องกงรอบที่ 10 ของเรา Full Feel มากกว่าเดิม 55555 หรือถ้าใครคิดว่ายังไม่พอก็อยู่ต่ออีกซักวันเพิ่ม Hong Kong Disneyland และพระใหญ่ Ngong Ping เข้าไปด้วยก็ได้นะ
Good to know.
เดินทางในฮ่องกงเราแนะนำให้ซื้อบัตร Octopus หรือที่เรียกกันว่าบัตรปลาหมึกคล้ายๆ กับบัตร Rabbit บ้านเรา แต่ที่นี่ใช้ได้จริงและทั่วถึงกว่าเพราะสามารถใช้ขึ้นรถไฟ รถเมล์ เรือ และซื้อของในร้านสะดวกซื้อ หรือร้านบ้านๆ ก็รับบัตรนี่ มันสะดวกมากเพราะสามารถซื้อได้ในสนามบินบริเวณ Airport Express ได้เลยในราคา 150 ดอลลาร์ฮ่องกง แบ่งเป็นเงินมัดจำ 50 และเงินที่ใช้ได้จริงๆ 100 และสามารถเติมเงินเพิ่มได้ตามสถานีรถไฟและเซเว่นเลยจ้า
เราพักที่ฝั่ง Kowloon ทุกคืน ใกล้สถานีจิมซาจุ่ยทำให้เดินทางไปไหนก็สะดวก สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากนั่ง MTR มาเป็นบนดินบ้าง เราแนะนำให้ไปที่ท่าเรือ Harbour City ลงเรือ Star Ferry ข้ามไปฝั่งห้องฮ่องกงในราคาแค่คนละ 2 ดอลลาร์ฮ่องกงเท่านั้น ( 1 ดอลลาร์ฮ่องกง ประมาณ 5 บาท) และบอกเลยว่าวิวคุ้มค่าเหลือเกิน สวยงามสมกับเป็นฮ่องกง เรามากี่ครั้งก็ยังชอบนั่งมองวิวเพลินๆ ของตึกใหญ่ระฟ้าฝั่งเซ็นทรัล มันให้อารมณ์เหมือสาวเหงาหลงทางในเมืองใหญ่ รอคอยชายหนุ่มผู้ที่จะทำให้ชีวิตนี้คลายเหงาได้มากขึ้นกว่าเดิม ฮิ้ว!
หลังจากข้ามไปแล้วเราจะขึ้นฝั่ง Central ที่ท่าเรือหมายเลข 7 ให้เดิน Skywalk ไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้น Tram เที่ยวย่านนี้ ราคา Tram นั้นก็ถูกมากประมาณ 2 ดอลลาร์ฮ่องกงตลอดสาย Tram เป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของเมืองฮ่องกงที่เค้าอนุรักษ์ไว้และยังสามารถใช้เดินทางย่านนี้ได้จริงๆ รถสองชั้นวิ่งตามราง มีหน้าต่างบานเล็กๆ ที่นั่งจิ๋วๆ วิ่งผ่านตึกสูงของเมืองเป็นภาพที่คลาสสิคและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
เรานั่งไปลง Shueng wan Station เพื่อเดินเล่นย่าน SOHO / POHO / Hollywood Road และ PMQ แถวนั้นมีร้านขนมร้านนึง ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ทั่วเกาะฮ่องกงคือ Honeymoon Desert เราชอบกินสาคูมะม่วงของร้านนี้มากกกกกกก บางคนบอกว่ามะม่วงบ้านเราอร่อยกว่า ซึ่งอันนี้ยอมรับ แต่.. มะม่วงที่นี่มันไม่หวานเกินไป และเย็นสดชื่นเวลาเสิร์ฟพร้อมสาคู แถมยังมีขนมอื่นๆ อีกเพียบที่วัยรุ่นอย่างเรากินได้และผู้ใหญ่ที่มาด้วยก็ชอบกิ๊น ชอบกิน
จากย่าน Shueng wan Station เรานั่ง Tram กลับมาฝั่ง Central เพื่อเดินไปตึก Exchange Square แล้วขึ้นรถบัสหมายเลข15 ไป The Peak โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาทีจากกลางใจเมือง รถจะค่อยๆ เลาะเลียบเขาขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังด้านบน ปกติแล้วจุดชมวิวของที่นี่จะต้องเสียค่าเข้าชม แต่เราอยากแนะนำให้ทุกคนไปจุดชมวิวฟรีที่สวยไม่แพ้กัน ทั้งที่ Lion Pavillion และเส้นทางวิ่งธรรมชาติ ให้สังเกตทางที่ฝรั่งและนักวิ่งทั้งหลายวิ่งเข้าวิ่งออกกันเยอะๆ นั่นแหละเดินตามเส้นนั้นเข้าไปเลยจ้า จะเจอกันจุดชมวิวฟรีที่พีคไม่แพ้กัน แถมสวยซะด้วย ไม่เชื่อดูรูปที่เราถ่ายมาสิ!
เวลาที่ควรไปมากที่สุดคือช่วงโพล้เพล้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แล้วลากยาวไปจนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินเพราะเราจะได้เห็นวิวฮ่องกงมุมสูงทั้งตอนสว่างและช่วงที่แต่ละตึกเปิดไฟแข่งกันเป็นแสงสีที่งดงามน่าประทับใจ แถมฟรีอีกต่างหาก
ทริปนี้เราเลือกแต่ร้านที่หากินได้ง่ายๆ จะได้ตามรอยกันได้สะดวก! อย่างร้านบะหมี่มื้อเย็นที่เราไปกินกันชื่อร้าน Mak’s Noodle เป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้งชามเล็กๆ มาพร้อมกับซุปที่เข้มข้น เส้นเหนียวนุ่ม และกุ้งตัวโตๆ เป็นบะหมี่ที่ดีงามอีกเจ้านึงเพราะชามไม่ใหญ่เกินไป ปกติอาหารในฮ่องกงชอบมาเป็น Portion ใหญ่ๆ แต่ร้านนี้ชามนิดเดียว กินยังไงก็หมด อ้อ! อย่าลืมสั่งคะน้าฮ่องกงด้วยนะ ผักคะน้าลวกมากรอบๆ ราดซอมน้ำมันหอย ของง่ายๆ แต่เลิศมาก
ส่วนถ้าใครไม่ชอบกินพวกเส้นเราแนะนำร้าน Relax for a while ที่นี่ขายพวกข้าวหน้าหมูทอด หมูแดง เป็ดย่าง ห่านย่างต่างๆ อร่อยใช้ได้เลย แถมราคาสบายกระเป๋ามาก ร้านนี้เหมือนร้านอื่นๆ ในฮ่องกงที่มาเป็น Portion ใหญ่ คือ 1 จานสามารถกินได้ถึง 2 คนเลยแหละไซส์คนไทย เพราะฉะนั้นอย่าสั่งเยอะไป
DAY 2 : The best urban hiking in Asia!
เช้าวันที่ 2 ในฮ่องกงเป็นวันที่รอคอยมากที่สุดเพราะจริงๆ เราเคยไปที่นี่แล้วรอบนึงแต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ตกกระหน่ำแบบไม่เกรงใจเครื่องสำอางค์กันเลย นั่นก็คือ The best urban hiking in Asia! หรือที่เรียกกันว่า Dragon’s back Trails
มื้อแรกของวันเราเลือกกินอะไรแบบฮ่องกงประยุกต์หน่อยที่ร้าน Australia Dairy Company อาหารเช้าแบบคนฮ่องกงของร้านนี้ไม่ใช่ติ่มซำ หรืออาหารแบบจีนจ๋า แต่เป็นไข่กับขนมปังและมักกะโรนีแฮม ควรเหยาะพริกไทยรสเข้มข้นไปด้วย เหมาะแก่การเป็นอาหารเช้าก่อนไปเดินป่ามากๆ ร้านนี้เปิดตั้งแต่8 โมงเช้าและคนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบไปเร็วหน่อย
วิธีไป Dragon’s back Trails ก็ง่าย ๆ แค่นั่งหยิบมือถือขึ้นมาแล้วแคปหน้าจอแผนที่ไว้พร้อมใช้ S Pen เขียน Direction ง่ายๆ ในการเดินทางไปที่นี่ ข้อดีของเจ้า S Pen ใน Note8 นี้คือมีน้ำหนักเบา ทำให้เวลาจับใช้งานนั้นสะดวกและลื่นมากขึ้น แถมมันยังสามารถใช้ในทริปไหนก็ได้ที่บังเอิญฝนตกหนัก หรืออากาศไม่ดี เจ้า S Pen ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาเพราะมันสามารถกันน้ำได้ ฝนตกหลงทางก็หยิบปากกามาจดแผนที่หรือเที่ยวกับชายอยู่แล้วฝนตกอยากจะบันทึกโมเม้นท์ดีๆ ก็ดึงปากกาออกมาเขียนได้ทันที อย่างทริปนี้เราใช้เป็น Travel Planner จะจด จะแคป จะเขียนก็สามารถดูและเข้าใจได้ในรูปเดียว! (Location : MTR Shau Kei Wan Exit A3 และต่อรถ Bus หมายเลข 9)
Dragon’s back Trails หรือ เขาหลังมังกรเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ได้รับการยกย่องจาก CNN ว่าเป็นเส้นทางเดินใจป่าใจกลางเมืองใหญ่ที่ดีที่สุดในเอเชีย! ทำให้ทุกๆ ปีมีหลายหมื่นคนแวะเวียนมาเดินเขาสันหลังมังกรแห่งนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วทางเดินจนครบรอบใหญ่ของมันยาวมากถึง 20 กิโลเมตร แต่เส้นทางที่นิยมเดินทางคือจากทางขึ้น ขึ้นไปยังหน้าผาที่ด้านหน้าเห็นวิวทะเลโดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระยะทางไม่เกิน 3 กิโลเมตรเท่านั้น ยิ่งมาช่วงฮ่องกงอากาศดีๆ เห็นป่าสีเขียว และแดดไม่ร้อนเกินไปนี่เดินเล่นได้ทั้งวัน ยิ่งช่วงที่เดินไปรับลมเย็นๆ บนหน้าผาที่ด้านหลังเป็นเขา ด้านหน้าเป็นทะเลนี่นะ โอ้โหหหหห คุ้มค่ารถที่นั่งมา ร้อยกว่าบาทมากๆ ได้ฟีลเหมือนนักเดินทางสมบุกสมบัน คูลๆ เท่ๆ พี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์ 555555
ทริปนี้เราพกเสื้อผ้าของ Columbia ไปด้วย เวลาออกไปทำกิจกรรม Outdoor เรามักพกเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ของ Columbia ไปด้วยเสมอ ไม่ใช่เพราะลายมันเฟี้ยว แต่เพราะเทคโนโลยีต่างหากที่ทนร้อน ทนหนาวได้จริง กันร้อนและระบายความร้อนได้ดีจริงๆ อย่างทริปฮ่องกงทริปนี้เราเอาเสื้อแขนสั้นที่มีจุดเงินๆ ในการสะท้อนแสงแดดและรังสีที่เป็นอันตรายต่อเราออกไป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกันแดดล่าสุดที่ชื่อ OMNI-SHADE SUN DEFLECTOR จาก Columbia เราจึงรู้สึกเย็นไม่ร้อนอย่างที่คิด
เสร็จจาก Dragon’s back Trails เราตรงไปที่ Shek-O Village โดยกลับมารอรถบัสคันเดิมสายเดิมแค่นั่งตรงไปสุดสาย เราจะเจอกับหมู่บ้านที่เหมือนรวมตัวชาว Expat ในฮ่องกงออกมาชิวๆ ใช้ชีวิตรับลงแดดช่วงซัมเมอร์ และชาวฮ่องกงเองที่หอบลูกเด็กเล็กแดงออกมาเล่นน้ำทะเลกันจนเย็นฉ่ำสะใจ หรือใครชอบเล่น Surf ที่นี่ก็มีคลื่นเบาๆ ให้เล่นได้ด้วยเด้อออออ ไม่อยากจะเมาท์ว่าผู้ชายฮ่องกงหนุ่มตี๋ทั้งหลายนี่ดี๊ดี ดีจนอยากแกล้งเป็นลมแดดแล้วล้มตรงนั้น แต่ก็กลัวไม่มีคนช่วย
เราแพลนให้ทั้งเขาสันหลังมังกรและหมู่บ้าน Shek-O เสร็จประมาณบ่ายๆ จะได้มีเวลากลับไป Refreshment ที่โรงแรมไม่ให้เหนื่อยหรือเหนียวตัวเกินไปก่อนออกไปเที่ยวต่อตอนเย็นๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนช่วงบ่ายได้แบบชิว ไม่ต้องรีบมาก
สิ่งนึงที่คนมาฮ่องกงควรทำมากๆ คือ Random หาร้านอร่อยๆ ในฮ่องกงกินเพราะไม่ว่าร้านไหนถ้าเป็นคนชอบอาหารกวางตุ้งหรืออาหารจีนก็ต้องถูกปากทั้งนั้น อย่างวันนี้เราก็ลองเลือกร้านกันแบบสุ่มๆ ตามหาติ่มซำเนื้อแน่น และข้าวหน้าเป็ดและหมูแดงบอกเลยว่าดีงามมมมม หยิบมือถือที่มี Food Mode ออกมาถ่ายไปอวดเพื่อนซะหน่อย เพราะมันจะทำให้ภาพคมชัดและน่าทานยิ่งขึ้น บอกเลยว่า เก๋!!
มาถึงฮ่องกงตอนกลางคืนอย่าพลาดไปถ่ายรูปและดูไฟนีออนจากป้ายต่างๆ ในฮ่องกงด้วยนะ ฝั่ง Kowloon อย่างเยอะ สามารถไปเดินถ่ายรูปได้สนุกๆ ทั้งคืน แต่สำคัญคือระวังรถด้วย เพราะรถค่อนข้างเยอะ เค้าจะบีบแตรไล่เรื่อยๆ เวลาเดิน Note8 เป็นกล้องโทรศัพท์มือถือที่แสงน้อยแค่ไหนก็ถ่ายได้สวยเสมอ ไม่พูดเยอะ ดูภาพเอา!
อ้อ! แล้วสำหรับคนที่พึ่งเคยไปฮ่องกงครั้งแรก อย่าลืมตอน 20.00 ตรง แวะไปที่ Victoria Habour เพื่อดู Symphony of Light โชว์แสงสีเสียงที่แสดงให้ดูกันฟรีๆ วันละ 1 รอบ ประมาณ 10-15 นาที โดยตึกต่างๆ ฝั่งเซ็นทรัลจะเปิดไฟเป็นลูกเล่นสลับกับเสียงเพลง ถ้าว่างๆ ก็ควรไปดูเพราะดูได้เพลินดี
ฮ่องกงวันที่ 3 แบบชิ๊ว ชิว ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย ของเราเริ่มที่ร้านโจ๊กยอดนิยมอย่าง Seaview Congee เนื้อโจ๊กเรายกให้ฮ่องกงเป็นอีกเมืองนึงที่ทำโจ๊กได้อร่อยมาก เพราะข้าวมันยังเป็นเม็ด แต่ข้นขลักกินง่าย เหมือนกินข้าวแต่ไม่ได้กินข้าว เหมือนกินซุปแต่ไม่ได้กินซุป งงมะ 555 เอาง่ายๆ คืออร่อยแหละ
จริงๆ มันมีประมาณ 3 ร้านที่คนไทยฮิตๆ และอร่อยคือ Seaview Congee/ Ocean Empire และ Nathan Congee ร้านหลังนี่เด็ดจริง พูดไทยได้ทั้งร้าน แต่รอบนี้ไม่แนะนำเพราะเคยแนะนำไปแล้วถ้าได้ไป สั่งเลยจ้ะ โจ๊กไข่เยี่ยวม้า และตับลวก อร่อยจนลืมโจ๊กที่ไทยไปเลยยย
หลังท้องอิ่มเราเริ่มเที่ยวฮ่องกงแบบชาวฮิปสเตอร์ซะหน่อยโดยไป Apartment Tour – Choi Hung Estate ตึกที่พักอาศัยสีรุ้ง ที่ทาตึกสีด้านนอกเป็นสีต่างๆ พอแดดเลียบ่อยเข้ามันก็ซีดแต่ยังสวยอยู่ ชาวฮิปสเตอร์เลยนิยมมาถ่ายรูปกันที่นี่รวมถึงเราด้วย 5555 แต่ล่าสุดที่ไปมา (พฤษภาคม 18) เรารู้สึกได้ว่ามันซีดเกินไปจนไม่สวยไปแล้ว กลายเป็นเราชอบวิถีชีวิตและดูผู้คนที่มาทำกิจกรรมด้านบนสนามบาสที่คนนิยมไปถ่ายรูปมากกว่า (วิธีไปลง MTR : Choi Hung Exit C3)
ถัดมาอีกนิดที่นี่คือสวนที่สวยที่สุดในฮ่องกง จะเรียกว่าเป็น Best Green Space in Concrete Jungle ก็ว่าได้ ที่นี่คือ Chi Lin Nunnery and Nan Lian Garden หรือวัดนางชีและสวนหนานเหลียน วิธีไปก็ง่ายๆ แค่ลง MTR Diamond Hills St. Exit C2 ก็ถึงเลย สวนและวัดนี้จะอยู่คนละฝั่งถนนแต่มีสะพานลอยข้ามตรงกลาง ข้างในสวยและสะอาดมาก ถ้ามีเวลาเยอะหน่อยพกหนังสือไปซักเล่มแล้วนั่งอ่านเพลินๆ ก็คงจะดีย์เหลือเกินค่าคุณผู้ชมม
ที่ถัดมานี่เป็น Bucket List ของหญิงชายที่โสดทั้งประเทศไทย นั่นก็คือวัด Wong Tai Sin หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า วัดหวังต้าเซียน นั่นเอง เพราะที่นี่เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มากของคนฮ่องกง และเซียมซีก็แม่นมากๆ ด้วย ถ้ามาเสี่ยงทายที่นี่แล้วกลัวไม่รู้เรื่อง สามารถเอาใบเซียมซีลงไปให้เค้าแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยนะ
แต่ที่ว่าฮิตมากๆ คือเรื่องความรัก! เค้าบอกกันเต็มโซเชียลว่ามาขอพรวัดนี้ได้ผลทันตา แปปเดียวได้ แปปเดียวเห็นผล! นั่นคือเทพหยุคโหล่ว เทพเจ้ากุมดวงชะตาเรื่องความรักจะอวยพรทุกคนเองจ้า วิธีง่ายๆ คือถ้าเป็นผู้หญิงก็เอาด้ายแดงมาประสานกับมือตามรูปที่เค้าบอกไว้ เดินไปไหว้ฝั่งเจ้าสาวก่อน แล้วเดินกลับมาเอามือลูบเท้ารูปปั้นเจ้าบ่าวอีก 3 รอบ แล้วเอาด้ายแดงที่อยู่กับมือนั้นมัดเชื่อกฝั่งเจ้าบ่าว เท่านั้นก็จะได้ในสิ่งที่ใจปรารถนา ฮิ้ววววว ส่วนตัวนี่ไปฮ่องกงมาหลายรอบแล้ว ไหว้ก็หลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เลย แต่ยังเชื่อว่าเราอยู่ใน Waiting List ของท่านเทพ รอคนที่เหมาะสมอยู่ 5555
ช่วงบ่ายเรา Recommend ให้ทุกคนกลับมาเดินเล่นช้อปปิ้งเพลินๆ ในจิมซาจุ่ยก่อนไปสนามบิน เพราะแดดที่เริ่มคล้อยจะทำให้ไม่ร้อนเกินไป แล้วแสงที่ตกกระทบจะค่อนข้างสวยเลยแหละ ไม่ว่าจะมุมไหนฮ่องกงก็ชิคเสมอ อย่างที่ Hongkong Exhibition Center บริเวณด้านนอกถ่ายรูปได้ดีมาก แสงและเงาที่ตกกระทบเราว่าโอเคมากเลย
ที่สุดท้ายที่เราอยากแนะนำคือคาเฟ่ชิคๆ ที่บังเอิญเดินไปเจอเข้าหลังจากพบว่าวันที่จะไป Mido Cafe ปิดไปพักร้อน! คาเฟ่เล็กๆ นี้ชื่อร้านmumisnothome แม่ไม่อยู่บ้านค่า 5555 เป็นร้านบนอพาร์ทเมนต์เก่าที่เอามาปรับปรุงซะน่าอยู่ เพราะเค้าทำมุมต่างๆ ในห้องเล็กๆ ได้อย่างลงตัวทั้งมุมที่นั่งพักก่อนแบบโต๊ะญี่ปุ่น มุมสวนเล็กๆ ในตึกสูง และช้อปเล็กๆ ที่ขายของ Hand-Made ทำมือของเจ้าของร้าน
ฮ่องกงสำหรับเรายังเป็นเมืองที่มาได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ เพราะนี่คือเมืองที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก มาวันนี้อาจรู้สึกว่าพอแล้ว แต่อีก 6 เดือนข้างหน้า ฮ่องกงก็อาจจะพร้อมเซอร์ไพรส์เราด้วยอะไรใหม่ๆ อีกมากมาย ไม่มีหรอกที่ๆ ไปครั้งเดียวแล้วพอแล้ว พอโตขึ้นเราก็อยากไปอีก บางทีไปให้คิดถึง บางทีไปเพื่อเก็บความทรงจำดีๆ มันคือการออกเดินทางไปในที่ใหม่ๆ เสมอ แม้เราจะไปในที่เดิมๆ ก็ตาม ?