หลังจากตอนที่แล้ว พาไปเดินเล่นในตัวเมืองเมลเบิร์นแบบกุ้กกิ้ง มุ้งมิ้ง เน้นเอาใจสาวๆกันไปแล้ว มาถึงคราวไปชมธรรมชาติกันบ้าง ออกไปรับลมทะเล ตะลุยไปบนถนนคดเคี้ยว เลียบตามเส้นทางสายทองคำ “The great ocean road กันเถอะ”
ก่อนไป เราวาดฝันไว้ว่า ทริปนี้จะเป็น Road Trip สุดคูล เหมือนหนังวัยรุ่นฝรั่ง ได้นอนในรถบ้าน ทำอาหารกินตกดึกนั่งจิบเบียร์รอบกองไฟงี้ เผื่อจะมีแก๊งค์หนุ่มออสซี่ที่เผอิญมาเหมือนกัน ชวนไปปิ้งเนื้อหมีโคล่ากิน 5555
แต่…ในความเป็นจริงก็คือ เรามีเวลาแค่ 3 วัน ไม่มีบริษัทไหนยอมเช่ารถบ้านเลย จะอ้อนวอนทำหน้าไม่สวย ให้เป็นคนสวยก็ไม่ยอมให้ ฝันสลายเลยมาจบลงที่ Nissan March คันจิ๋ว และนอนโฮสเทลเหมือนเดิม โถ่ๆ แต่นาทีนั้นก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ว่าเอาวะ! ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย กำขี้ดีกว่ากำตด แม่สอนมา อย่างน้อยก็ได้รถไปขับเก๋ๆละกัน
(ขวาบน คือความฝัน, ซ้ายล่าง คือความจริง 55555)
แต่ความสนุกนั้น ก็ไม่ได้ลดลงตามขนาดรถที่ได้มเลยา เพราะองค์ประกอบหลายๆอย่าง ทำให้ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่รถอีกต่อไปใครเล็งๆ ว่าอยากลองขับรถเที่ยวเอง ในต่างแดนแต่ยังกังวลนู้นนี่ แบบเราตอนแรกๆ “ จะขับได้หรอ? อันตรายรึเปล่า? หลงทำยังไง? เขาว่าค่าปรับแพงนะ? ” เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แล้วจะรู้ว่าง่ายมาก
The Great Ocean Road เรียกย่อๆว่า ‘GOR’ เป็นเส้นทาง Road Trip ยอดฮิตที่จัดว่าสวยเป็นอันดับต้นๆของโลก ซึ่งจริงๆ จุดที่นับเป็น GOR จริงๆจะอยู่ระหว่างเมือง Torquay ตอนแรกอ่านไปก็หน้าแดงไป 555 (อ่านออกเสียงว่า ‘ทอร์คีย์ ’ อย่าคิดทะลึ่งน่า) และเมือง Allansford แต่คนส่วนมาก มักมาเริ่มตั้งต้นกันที่เมลเบิร์น
โดยจุดประสงค์หลักของการเอาชีวิตไปเสี่ยง บนถนนเลียบชายทะนสุดคดเคี้ยว แสนแคบนี้ ก็เพื่อไปชม 12 Apostles หรือ แท่งหิน 12 อัน ซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญของศาสนาคริตส์ (ที่ตอนนี้เหลือไม่ถึงแล้ว) ที่โผล่เรียงกันกลางทะเลนั่นเอง
วิธีการไป หลักๆมี 2 อย่าง คือไปกับทัวร์ เป็นแบบเช้า-เย็นกลับ ราคาต่างกันไปแล้วแต่บริษัท,จำนวนคน เท่าที่ดูคร่าวๆเป็นข้อมูลมา จะตกคนละ 100 AUD หรือ 2,500 บาท!!! แพงมากกกก!!! แต่ก็แลกกับความสบายอะนะ
และอีกแบบก็คือ “การขับรถไปเอง” ซึ่งวิธีนี้อาจต้องเตรียมตัวมากกว่า และเหนื่อยกว่าหน่อย แต่รับรองว่า มันส์กว่า จุใจกว่า ที่สำคัญใช้เงินน้อยกว่าถึงเป็นเท่าตัว !! และมีโอกาสได้เพื่อนชาย เพื่อนสาวติดไม้ติดมือกลับมากกว่าด้วย (หลอกกก 555)
มาว่าด้วยการเช่ารถ เพียงแค่ทำตาม Step 5 ข้อด้านล่าง คุณก็เป็นเจ้าของรถ(เช่า) ได้ง่ายๆ ดังนี้
- ทำความเข้าใจก่อนว่า การขับรถในออสเตรเลียนั้นง่ายมากสำหรับคนไทย เพราะขับรถด้านเดียวกับบ้านเรา แถมตามทางด่วน หรือถนนใหญ่ จะมีป้ายกำกับความเร็ว และกล้องคอยจับตลอด ไม่ได้ใช้จ่าเฉยแบบบ้านเรา ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะเจอขาซิ่ง ปาดซ้ายที ปาดขวาที ไม่มีแน่นอน
- ต้องเตรียมทำใบขับขี่สากล (International Driving License) ที่กรมขนส่ง จตุจักร หรือประจำแต่ละจังหวัด เสียเงิน 500 บาท เอารูปถ่าย สำเนาบัตรขับขี่ ไปด้วย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเอง
- เรื่องรถ เราไม่ได้ไปจองก่อน เพราะกังวลเรื่องอากาศ ซึ่งเมลเบิร์นขึ้นชื่อว่าแปรปรวนสุดๆ เลยรอไปถึง แล้วเลือกวันที่คิดว่าท้องฟ้าเป็นใจสุด จากนั้นก็เดินถามราคาหลายๆเจ้าเอา นางก็จะมีแพ็คเกจไว้อยู่ละ แบ่งตามขนาดของรถ และประเภทเกียร์ ซึ่งจริงๆราคาค่าเช่ารถแต่ละเจ้า จะไม่ห่างกันมากนัก แต่พวกค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย และค่าfeeคนขับอายุไม่ถึง 25ปีเนี่ยแหละ ที่เป็นตัวเปลี่ยน!
- เวลาติดต่อ ก็ถามให้ครบนะ ว่าราคานี้ รวมทุกอย่างแล้วใช่ไหม?เรื่องประกัน ที่ราคาครึ่งนึงของค่าเช่าทั้งหมด ส่วนตัวคิดว่า ถ้าเช่าระยะสั้นๆ แอบรู้สึกว่าไม่จำเป็น เพราะตลอดเส้น GOR ถนนดีมาก และบ้านเมืองเขาค่อนข้างปลอดภัย ไม่เสี่ยงโดนทุบกระจกรถแบบในยุโรป แต่ก็แล้วแต่ความสบายใจของแต่ละคนเลย
- ถ้าได้ราคาที่พอใจแล้ว ต้องใช้บัตรเครดิตในการวางมัดจำค่าเช่ารถ เท่ากับจำนวนเงินทั้งหมด ซึ่งพอเอารถมาคืน เราเลือกได้ว่า จะจ่ายโดยเงินสด หรือให้ตัดบัตรเลย
- ส่วนค่าทางด่วน และค่าปรับหากทำผิดกฏจราจรนั้น จะตัดตรงไปที่บัตรเครดิตเลย ไม่มีโบกเข้าข้างทางแล้วเขียนใบสั่งแบบบ้านเรา (อันนี้ต้องลุ้นนิดนึงว่าเท่าไหร่ เพราะมันส่งตามมาทีหลัง ประมาณ 1 สัปดาห์หลังคืนรถ 555)
- ทำเอกสารอะไรเสร็จปุ้ป เขาก็จะพาเราไปที่รถ ต้องตรวจเช็คสภาพให้ดี!!! ถ้ามีรอยบุบ แตก ถลอกตรงไหน ให้เขาวงไว้ให้หมดเลยนะ จะได้ไม่โดนปรับย้อนหลังให้ปวดหัว
พูดมาเหมือนยากแต่ใช้เวลาไปจริงๆ ไม่ถึง 30 นาที แล้วพวกเราก็ตกลงปลงใจกับ “Budget” ร้านเช่ารถร้านนึงด้วยเหตุผลที่อยู่ใกล้ที่พัก ราคารับได้ ไม่มีรีวิวเลวร้ายอะไร
9 โมงตรงเป๊ะ ก็ได้เวลาลุย ! โชคดีที่รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เลยวิ่งฉิวๆ ออกจากเมลเบิร์น ตามคำบอกของ Google map
ไปตามทางหลวง M1 เรื่อยๆ ยังไม่ถึงชั่วโมงดี เราก็หยุดหาอะไรรองท้องกันที่เมือง Geelong
ทำให้ได้รู้อีกเรื่องที่ต้องระวัง เกี่ยวกับการขับรถ ก็คือ ‘ ที่จอดรถ ’
หนูๆจ้ะ ที่นั่นเมลเบิร์น ไม่ใช่กรุงเทพ ที่จะจอดขอไฟต๊อกแต๊กแล้ววิ่งไปซื้อเต้าฮวยให้แม่ได้แบบไม่โดนจับ เนื่องจากเราไม่สามารถจอดตรงไหนก็ตามใจฉันแบบบ้านเรา แม้ข้างทางนั้นจะว่างๆ โล่งๆก็ตาม! ต้องสังเกตป้ายก่อน แต่ ! ความสนุกอยู่ตรงนี้
Credit photo : https://twitter.com/paulkidd
คือป้ายที่เมลเบิร์น หรือแถบใกล้ๆ จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตรงที่เข้าใจยากโคตรๆ เหมือนต้องไขปริศนาเชาว์ก่อน ถึงจะไม่โดนปรับ 555 อย่างรูปนี้
ช่องบนสุด คือ ห้ามจอด เวลา 7.30-9.30 วันธรรมดา ตลอดแนว
ช่องสองด้านซ้าย แปลว่า จอดได้ 1 ชั่วโมง แต่จ่ายตังค์ เวลา 9.30 – 19.30 วันธรรมดา และตั้งแต่ 7.30 ในวันเสาร์ ด้านซ้ายของป้าย
ช่องสองด้านขวา แปลว่า คนพิการจอดได้ 4 ชั่วโมงตลอดเวลา ด้านขวาของป้าย
ช่องสาม แปลว่า จอดได้ ไม่จำกัดเวลา แต่จ่ายตังค์ เวลา 19.30-20.30 วันจันทร์ – เสาร์
ช่องสี่ แปลว่า จอดได้ฟรี 1 ชั่วโมง เวลา 7.30 – 18.30
ถ้าช่วงเวลาที่ไม่มีกำหนด คือ จอดตามสบาย
โอ้โห ถ้าป้ายข้างทางมึงจะงงขนาดนี้ ชาวเมืองเมลเบิร์นจะต้องเป็นผู้มีสติปัญญาที่โคตรดีแน่ๆ 5555 แต่ถ้าใครอยากจะจำง่ายๆ วิธีที่ทำให้ปลอดภัยที่สุด คือต้องหาตัว P สีเขียว ไม่มีคำว่า Meter/Ticket หรือเสี่ยงวัดดวงเอาละกัน ว่าจะเจอตำรวจสุ่มเช็คไหม!
หลังจากโดนทำร้ายด้วยป้ายจอดรถแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ ขับตามเส้น M1 อันเดิมไปเรื่อยๆ โดยสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับการเดินทางแบบช้าๆ อย่างรถยนต์ หรือรถไฟ ก็คือการได้เห็นวิวค่อยๆเปลี่ยนทีละนิด จากวิวเมือง กลายเป็นหญ้าเขียวๆ แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นนสีฟ้าเมื่อเข้าช่วงริมชายฝั่ง ได้ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างให้ผมปลิว แล้วมโนว่าตัวเองเป็นนางเอกเอ็มวี 555
รู้สึกว่าตอนทำแบบนั้นตัวเองสวยมาก เหมือนนางเอกฝรั่งที่สุด แต่พอเอาหน้าเข้ามาในรถนี่นึกว่าผี ผมฟูกระเซอะกระเซิง หน้าแห้ง ปากแตก เติมลิปแทบไม่ทัน 555
เราหยุดแวะกันอีกรอบ เพราะสงสัยว่า ทำไมมีรถเลี้ยวเข้าออกตรงนั้นเยอะจัง กลายเป็นว่า เราได้แวะ Light house ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดฮิตอันนึงเลย ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อากาศดี น้ำใส เหมาะกับการรัวชัตเตอร์ที่สุด
และด้วยวิวข้างทางที่สวยมากๆ ชอบหลอกล่อให้หยุดรถบ่อยๆ เพื่อถ่ายรูป ทำให้แค่ระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร ปกติคงใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงแน่ๆ พวกเราใช้เวลาเดินทางไปเกือบ 7 ชั่วโมง 555 มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว แต่ยังเหลืออีกเกือบ 50 โล กว่าจะถึงจุดชมวิว 12 Apostles!!! ที่เป็นจุดหมายแต่แรกของทริป ทำไงล่ะ ก็เหยียบมิดดิคร้าบบบ จะรออะไร จุดๆ นั้นคือลุ้นกันทั้งรถ ทัน ไม่ทัน ทัน ไม่ทัน
ถ้าไม่ทันนี่เสียหมาเลยนะ รีวิวก็ไม่มีให้ดู มาเองก็ไม่ได้เห็น กลายเป็นว่าได้วิวทุ่งหญ้าข้างทางแทนนะ แต่สุดท้ายก็…
.
.
.
ทัน!!!!!
“ คุ้มหวะ ”
เป็นคำแรกที่แว้บเข้ามาในหัว สวยเนาะ ยอมใจจริงๆอะ สวยแบบเกินเหตุมาก เราเชื่อเลยว่าธรรมชาติเราทึ่งได้เสมอ
เราถ่ายรูปเล่นไปซักพัก ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าจนฟ้ามืด ก็ได้เวลาหาที่พักสำหรับคืนนี้กันแล้ว
เราเล็งๆ โฮสเทลมาแล้วแหละ แต่ด้วยสองข้างทางที่มืดสนิท ทำเอาเกือบหลงเหมือนกัน ขับไปก็คิดไป นี่ก็จะหาเจอมั้ยหรือต้องนอนในรถกันแน่เนี่ย แต่สุดท้ายก็มาถึง “Port Campbell Hostel” เป็นที่ซุกตัวของเราคืนนี้ บรรยากาศค่อนข้างเงียบ มีแค่เรา 4 คนกับกลุ่มฝรั่งที่ซื้อทัวร์มา เรื่องตลกปนน้ำตาก็คือ ที่โฮสเทลไม่มีอาหารขาย และร้านค้าแถวนั้นก็ปิดหมดแล้ว!!
โชคช่วยที่ในตู้เย็น มีโซน “FREE FOOD” คือเอาอาหารที่เหลือจากการแจกลูกทัวร์ มาแบ่งปัน (เป็นอะไรที่น่ารักมาก ขอส่งเสริม) แรกๆก็นั่งนิ่งๆกัน แม่สอนไว้อย่ากินอาหารของคนแปลกหน้าถ้าไม่หิวจริงๆ 5555 แต่พอเขาเอาสลัดเข้าไปวางเท่านั้นแหละ พุ่งตัวไปเลยจ้า
ไม่มีหรอกแม่คนแปลกหน้า บนโลกนี้เพื่อนกันหมด (ตลกแดกมั้ยหละ) ก็เลยรอดไปได้อีกวันเป็นบทเรียน ที่จำแม่นเลยแหละ ว่าจะไป Road Trip ไม่ว่าที่ไหนก็ตามนะ มีมาม่า ขนมขบเคี้ยว ติดรถไว้ ไม่เสียหายจริงๆ
ก่อนล้มตัวลงนอน เราตกลงกันว่า พรุ่งนี้เช้าจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขี้น ตรง 12 Apostles อีกครั้ง ที่โฮสเทลบอกเวลาพระอาทิตขึ้นไว้ ประมาณ 6 โมง ให้ทายว่า ตื่นไหม?
.
.
ตื่น…เกือบไม่ทันจ้า 5555
เราแหกขี้ตา เก็บของแปรงฟัน ตอนจะขับรถออกมาเห็นแสงขอบฟ้ารำไร เป็นสัญญานบอกว่า พระอาทิตย์จะขึ้นแล้วใจก็อยากจะเหยียบมิด เร่งไปให้ถึงจุดชมวิวไวๆ แต่ด้วยอากาศที่หนาว จนฝ้าขึ้นเต็มกระจกหน้ารถ ทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย แล้วก็ไม่มีใครปรับแอร์เป็น ทุกคนลุกลี้ลุกลนมาก ไอ่คนขับไม่รู้ทำไง เลยต้องเอาหัวออกนอกหน้าต่างเพื่อดูทาง ชักเข้าชักออกเหมือนเต่าอยู่ซักพัก เพราะหนาวหน้า 5555 คิดละยังตลกอยู่เลย
แต่พอไปถึงจุดชมวิว แล้วพบว่าไม่มีใครเลยนอกจากเรา ไอ่อารมณ์งอแง ง่วงนอนก็หายเป็นปลิดทิ้ง วิวท้องฟ้าสีสายไหม ตัดกับขอบทะเลสีฟ้าสด มันสวยจับใจจริงๆ จริงๆแล้ว เราก็อยากจะนั่งชมมวิวตรงนั้น เพื่อเก็บภาพไว้ในหัวให้นานๆ แต่ติดตรงที่ อากาศเลขตัวเดียว และลมแรงๆ ริมชายฝั่งเนี่ย มันหนาวทะลุทะลวงกัดกินถึงกระดูกชะนีเอเชียเกินไป หน้าชา มือชา จนต้องวิ่งไปหลบหลังรถคันจิ๋ว รู้สึกรักรถ Nissan March ก็วันนี้แหละ 555
วันที่สองของการขับรถ เรามีเป้าหมายอยู่ที่ “Mornington Peninsula” ซึ่งเป็นคาบสมุทรทางด้านขวาของเมือง โดยเราพุ่งตรงกันไปที่ “Cape Schanck” แหลมที่เป็นจุดชมวิวเกือบใต้สุดของคาบสมุทรมอร์นิ่งตั้น
จากจุดจอดรถ จะพบ Tourist information ที่จัดทัวร์พาชมรอบๆคาบสมุทร และให้คำแนะนำนักท่องเที่ยว แต่สงสัยวันที่ไปเป็นวันธรรมดา และทำท่าฝนจะตก เลยปิด 555 บรรยากาศเงียบมาก ร้างมาก เราก็เดินมั่วๆตามทางเดินที่ชี้ว่าลงไปชายหาด ความรู้สึกเหมือนมาถ่ายหนัง หนังสยองขวัญ ที่โดนจับตัวมาปล่อยเกาะร้างทำการทดลองจิตๆ 555 แอบกลัวอยู่เหมือนกันยิ่งสวยๆอยู่ด้วย ฮิ้ววว
เดินเล่นไปมาซักพัก ด้วยความเหนื่อยล้า จากการตื่นเช้า และขับรถยาวๆทั้งวัน ทุกคนเลยขอยกธงขาว ขอบอกผ่านจุดหมายที่วางไว้อีกที ก็คือ Phillip bays หาดยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยว นิยมไปรอดูนกเพนกวินกัน แล้วตรงดิ่งกลับเข้าเมลเบิร์นไปคืนรถ เพนกวินไรไม่ดูละ ทิ้ง Phillip bay ไว้เบื้องหลัง แล้วเตรียมออกมานั่งจิบเบียร์ฉลองริมน้ำในเมืองก่อนกลับกันดีกว่า
เอาล่ะ ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุดในเมลเบิร์น คงต้องตอบว่าทุกอย่าง
ทุกอย่างที่นี่ดูลงตัวไปหมด แม้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่อยู่นอกเหนือความคิด ของนักท่องเที่ยวแบบแบคแพคหลายคน เพราะคิดว่ามันแพงเกินไป และไม่ได้มีกิจกรรมวัดใจ หรืออะไรพีคๆขนาดนั้น แต่บอกเลยว่าทุกคนที่ตัดสินใจมาที่นี่แล้ว จะต้องอยากกลับมาอีกแน่ๆ เราเชื่อว่าเมลเบิร์น จะย้อมใจเรา ให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน แล้วเราจะอยากกลับมาค้นหาตัวเองที่ทิ้งไว้ที่นี่อีกหลายๆรอบเลยแหละ
Note
- ตั๋วเครื่องบิน สามารถหาราคานี้ได้อย่างไม่ยากเย็น (รวมโหลดกระเป๋า 15 กิโลแล้ว) โปรมีมาเรื่อยๆเลย เครื่อง Jetstar ใหม่และสามารถพบลูกเรือคนไทยได้ง่ายดาย แต่อย่าลืมซื้ออาหารล่วงหน้า หรือติดอาหารขึ้นไปทาน ขาไปไม่เท่าไหร่ เพราะบินดึก แต่ขากลับหิวมากก ต้องยอมซื้อมาม่าคัพราคา100++ ประทังชีวิต ฮือ
- เรื่องที่พัก เรานอน Urban Central Accomodation เป็น Hostel อยู่ห่างจาก CBD เดินประมาณ 10 นาที Dorm ห้องละ 4 เตียง ห้องใหญ่ดี เพดานสูง ฮีตเตอร์ไม่อุ่นมาก แต่ผ้านวมนุ่มมาก ห้องน้ำสะอาดเป็นเวลา มีครัวให้ทำอาหาร ใกล้ๆมีซุปเปอร์ขนาดยักษ์ อาหารเช้ามีแค่ขนมปัง นม น้ำส้ม พนักงานอัธยาศัยดี รวมๆแล้วโอเคมากๆกับราคานี้
- ค่าเดินทาง เรารวม ค่าเช่ารถ 2 วัน+ทางด่วน ที่หารสี่แล้ว ตกคนละ 1,000 บาท ,ค่าเดินทางไป-กลับจากสนามบิน (18AUD per trip) และค่าMyki card
- ค่าอาหาร อย่าตกใจในความถูก! 555 เล่าก่อนว่า ตามร้านอาหารทั่วๆไป จะตกจานละ 8-14 AUD แต่ปริมาณก็ค่อนข้างเยอะ หลายครั้งเลยสั่งมาแบ่งกัน และมื้อเย็น เราใช้วิธีซื้อมาทำเอง ถูกมากๆๆๆ เนื้อ/หมู แพ็คละสองร้อย ทำได้ 3 มื้อ พวกเราตกเย็นมาปุ้ป ต้องแปลงกายเป็นแก๊งแม่บ้านสุดประหยัด ไปซื้อของมาเข้าครัว ก็ไม่ได้อร่อยทุกมื้อหรอก แต่สนุกไปอีกแบบนะ 555
- สุดท้าย ค่าวีซ่า เราทำแบบ e-visa ซึ่งจะตัดบัตรเครดิตในราคา 130 AUD+1.4% credit card charge rate ถูก และสะดวกสุดแล้ววิธีนี้ ประทับใจ