“เฮ้ย ขิม มึงอยู่เมืองอะไรนะ..” เราถามขิมเพราะตั้งใจจะไปหามัน ขิมเหมือนเราอยู่อย่างนึงคือเป็นคนเจออะไรแปลกๆ เยอะดี เลยรู้สึกว่า ถ้ากูไปเที่ยวกับอีนี่สงสัยชีวิตเที่ยวอินเดียจากที่พีคมากอยู่แล้ว ต้องพีคมากกว่าเดิมแน่นอน เหมือนเติมฟืนไฟให้ชีวิต!
“กูอยู่บังกาลอร์ แต่เมืองกูมันไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวนะมึงต้องไปเมืองอื่นต่อ” คุยไปคุยมาตกลงก็นัดกับอีขิมว่า โอเคจะไปเที่ยวด้วยกัน แล้วก็มาช่วยกันดูแพลนว่าจะไปเที่ยวเมืองไหนดี ตอนแรกตั้งอกตั้งใจกันว่าจะไปนิวเดลี แล้วต่อไปพาราณสี แต่ดูตั๋วเครื่องบินก็โคตรแพง แพงแบบจ่ายไม่ได้แน่นอน เลยหันไปดูรถไฟแต่เห็นเวลานั่งปุ๊ป ขนนี่ลุกไปหมด …. 48 ชั่วโมง!! จากบังกาลอร์ไปพาราณสี พักก่อน พักยาวๆ เลย แม้ว่าจะมาอินเดียหลายครั้งแล้ว แต่48 ชั่วโมงนี่เกินเหตุมาก ไม่เราก็อีขิมคงได้เสียกับแขกบนรถไฟแน่นอน
คุยไปคุยมา..สรุปหวยก็มาออกที่.. GOA (โก-อา) รัฐกัวเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสมาก่อนไม่ใช่ของอังกฤษเหมือนเมืองอื่นๆ ในอินเดีย ที่นี่เลยมีความพิเศษคือ คนแขกหน้าเทาแต่ชื่อโปรตุเกส มีคาสิโน และมีชีวิตแบบฝรั่งนิดหน่อย ชิวๆ เหลือเกิน ที่นี่อาจจะเป็นรัฐเดียวในอินเดีย ที่ชะนีสามารถใส่บิกินี่ เสื้อสายเดี่ยว หรือกางเกงขาสั้นแล้วไม่โดนมองแบบจะกินเลือดกินเนื้อ 555555555 บอกเลยว่ารีวิวนี้พีคมาก ตามรอยก็ไม่ได้แบบนี้ อ่านเอาสนุก แต่ถ้าจะตามรอยต้องบอกเลยว่า… พยายามมากเกินไปแล้ว!
เรานั่ง ThaiAirAsia ออกจากดอนเมืองบินตรงไปลงที่บังกาลอร์ ไฟลท์บินประมาณ 3ชั่วโมงกว่าเกือบ 4 มีบินตรงทุกวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พฤหัสและศุกร์ เราเลยเลือกที่นั่งแบบ Hot Seat ไว้เพิ่มความสะดวกสบายให้ตัวเอง ได้นอนเหยียดแบบยาวๆ ถ้าไม่มีคนนั่ง หรือที่พักขาก็กว้างขึ้น แต่พอนั่งไปซักพัก พี่แขกก็ตีเนียนเดินมานั่งด้วยทั้งๆ ที่มันต้องจ่ายเงินเพิ่ม พอแอร์เดินมาไล่ นางก็ส่ายหัวทำเป็นเข้าใจแล้วก็เดินกลับไป…พอแอร์เดินไป นางก็กลับมานั่งอีก! 55555555 ทำวนไปแบบนี้ประมาณ 5-6 รอบตลอด 3 ชั่วโมงกว่าๆ คือโคตรอดทน แทนที่มึงจะนั่งที่เดิมดีๆ ของตัวเองแล้วหลับยาวๆ ก็ไม่ทำ แขกนี่โคตรแขกเลย พอเราบอกว่าตรงนี้นั่งไม่ได้นะ นางก็ทำหน้าทำตาใส่เราด้วย เบ้ปากใส่ กูจะนั่งมึงจะทำไม 55555
ความเก๋ของสนามบินที่อินเดียตามหัวเมืองใหญ่ๆ คือมันจะสะอาดสะอ้านและดีมากจนเราตกใจและคนมาครั้งแรกก็จะจินตนาการไปก่อนละว่าในสนามบินสะอาด ข้างนอกก็ต้องสะอาด 5555 โคตรคิดผิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว สนามบินอินเดียอาจเป็นที่เดียวที่เราไม่ต้องใช้เจลล้างมือ
ที่บังกาลอร์ยังไม่มีรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าเมือง สามารถเข้าเมืองได้ 2 วิธีคือ TAXI หรือ รถเมล์ แต่ก็พยายามให้มากเลย กว่าจะหารถเมล์เจอ และต้องเบียดเสียดกับคนอินเดีย TAXI เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ราคาอยู่ที่ประมาณ 800-1000 รูปีตามแต่ตกลงระยะ ใกล้-ไกลเลย แล้วอย่าจ่ายเงินให้ก่อนขึ้นที่หมายเด็ดขาดดดดด!
หลังจากอีขิมมารับและเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เกือบเที่ยงคืนกว่า เราก็ว๊อนมากอยากกินอาหารแขกที่สุด Chicken Butter Masala ของโปรดกับแป้งนาน อีขิมก็แนะนำมีร้านนึงปิดดึกมากและอร่อย ก็เลยตกลงว่าจะแว๊นมอไซค์ไปกินกัน พอไปถึงร้านดั๊นนน ไปนั่งข้างโต๊ะคนเมา อีคนเมาก็เอามือจิ้มๆ แกล้งบิดขี้เกียจบ้างแล้วโดนหัวอีขิม คุยไปคุยมาก็ไม่รู้เรื่อง อีขิมเลยย้ายมานั่งฝั่งเดียวกันกับเรา อย่างกะคู่ผัวเมียมาสวีทกินข้าวรอบดึกหลังจากไปดูหนังแขกกลับมา ซักพัก…หนุ่มแขกร่างใหญ่เพื่อนไอ่คนเมาก็หยิบยื่นไมตรีอันดีงามเป็นไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ถ้วยน้อยๆ มีเชอร์รี่สีสดหนึ่งเม็ดมาให้ พร้อมกับทำตาเยิ้ม.. “เพื่อเป็นการไถ่โทษและขอโทษแทนเพื่อนของชั้น ขอให้รับไอศกรีมถ้วยนี้ไว้” 555555555555555 เหยดดดดด ประสาท เราเลยบอกว่าไม่เอาๆ ไม่กิน เอาไปเลย ไล่ไปไล่มา มานั่งแทนที่อีขิมเฉยเลย พร้อมกับทำหน้าตากรุ้มกริ่มใส่ ขอถ่ายรูปด้วยบอกว่าขอเบอร์หน่อยสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาซิมโทรศัพท์ไปให้จะได้โทรคุยกัน (ซิมโทรศัพท์แบบถูกกฏหมายในอินเดียจะต้องลงทะเบียนเป็นเวลานาน และใช้สำเนาพาสปอร์ตและรูปภาพ ซึ่งโคตรยุ่งยาก) คุยไปคุยมานี่เหมือนนั่งคุยกับคนบ้า โม้เก่งมาก บอกว่าลูกตัวเองเนี่ยคุยได้ทุกภาษาในโลกเลยนะฮ้า .. เอาเลยตามสบาย พี่มานั่งไหนกลับไปทางนั้นเลย เป็นไงหละ นายฮีนดีตัวร้ายพอจะทำนิยายแจ่มใสได้ปะวะ
เกลียดหน้าตายิ้มกรุ้มกริ่มและส่งสายตาหยาดเยิ้มขนาดนี้มาให้ 555555
เริ่มเช้าวันใหม่ของอินเดียที่นี่ร้อนน้อยกว่าไทยอีก มาอินเดียรอบนี้ค่อยยังชั่วหน่อยที่เราเปิด #dtacroaming มาด้วย อย่างที่บอกไว้ตอนแรกนั่นแหละ ว่าซิมที่นี่แบบถูกกฏหมายนั้นซื้อยากมากกกกก และใช้ข้ามเขตกันไม่ได้ด้วยบางที เช่นถ้าซื้อที่กัวเอาไปใช้ที่มุมไบอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าไม่แจ้งหรือลงทะเบียนก่อน และการเปิด Roaming ไว้มันก็มีแบบเปิดไว้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าไม่รับ ไม่โทรออก แต่สามารถรับ SMS ได้ฟรีๆ ข้อนี้ดีมาก เพราะ Wi-fi ในอินเดียเกือบทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ตามโรงแรมหรือร้านอาหาร จะต้องใช้เบอร์โทรทั้งหมด เพื่อให้ได้มาซึ่ง OTP ในการเล่น Wi-fi ฟรี เพราฉะนั้นเปิดไว้เถอะถ้าไปอินเดีย ยังไงก็ได้ใช้แน่นอน ย้ำว่าไม่โทรไม่เสียตังค์
แต่สําหรับเราแล้ว มากันแค่ 2 คน ถ้าอีขิมหาย หรือเราหายก็ตามกันลําบากละ เราเลยซื้อเพิ่มแบบ #dtacprepaidroaming ที่อินเดียเราสามารถใช้ได้ทุกเครือข่าย อันไหนเร็วกว่าก็ใช้อันนั้นไม่เห็นยากเลย 5555 (ถ้ามากัวแนะนํา Airtel เร็วสุดละสําหรับเรา มันมี4G LTE ด้วยนะบางที) มีให้เลือกตั้งแต่ 25MB, 100MB, 200MB ยาวนานถึง 30วัน อาจจะไม่ต้องใช้ตลอดเวลาก็ได้เพราะมันเปลือง แต่อย่างน้อยๆ ก็เอาไว้บอกพ่อบอกแม่ว่าอยู่ตรงไหนของอินเดียแล้ว ที่บ้านจะได้ไม่เป็นห่วง คอยรายงานเป็นระยะว่าทําอะไรอยู่ เราไปเที่ยวที่ไหนก็ทําแบบนี้ตลอดนะ ไม่ชอบเลยเวลาไปไหนแล้วที่บ้านเป็นทุกข์เพราะเป็นห่วงเรา แบบนี้ก็ต้องแฟร์ๆ หน่อยบอกพ่อบอกแม่กันบ้าง
และไม่ต้องกลัวเรื่องเน็ตรั่วเลย เพราะเมื่อใช้ถึงจำนวน MB ที่ซื้อ ดีแทคจะช่วยตัดเน็ตให้ทันที ทำให้มั่นใจ ไม่โดนคิดเงินเพิ่มแน่นอน
#dtacroaming สามารถสมัครได้ทันทีผ่าน Call center หรือกดรหัส USSD 25MB กด *104*729#, 100MB กด *104*746# และ 200MB กด *104*747# เพื่อสมัครเมื่อถึงประเทศปลายทาง เราว่าโอเค แถมยังมีบริการแจ้งเตือนว่าเน็ตใกล้หมดแล้วนะ ป้องกันเน็ตรั่วได้ด้วย ทีนี ้อินเดียก็ชิวไปเลยถ้ามีสัญญาณมือถือ เฮ้!
บังกาลอร์มีความร่มรื่นมาก แต่ก็ร้อนอยู่แม้ว่ามันจะน้อยกว่าไทยเหมือนที่บอกก็เถอะ เอาเป็นว่ามันร่มรื่นกว่าหลายๆ เมืองในอินเดียที่เคยไปมางี้ดีกว่า และ รถออโต้ ริกซอว์ที่นั่น มีมิเตอร์ด้วยนะ ถ้าจะขึ้นบอกสถานที่ว่าจะไปไหน บอกให้คนขับกดมิเตอร์แล้วกระโดดขึ้นได้เลย!
เรามีเวลาในบังกาลอร์แค่วันนี้ก่อนจะนั่งรถรอบกลางคืนไปต่อที่กัว แต่อย่างที่บอกว่าเมืองไม่ค่อยมีที่เที่ยว ที่นี่จะดังเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ คนอินเดียเรียกเมืองนี้ว่าเป็นซิลิคอน วัลเลย์ อินเดียกันเลยทีเดียว เราเลยแว๊บไปพระราชวังบังกาลอร์ ถามว่ามีอะไรมั้ยก็ไม่ แต่ก็ไปดูให้รู้ไว้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ทั้งๆที่เป็น Tourist Attraction ก็ตาม เราอาจจะไม่ค่อยอินเพราะมันดูค่อนข้างเก่าและโทรมไปนิด แต่ถ้าใครอินอาจจะชอบมากๆ ก็ได้นะ
หลังจากจ่ายเงินไปแล้ว ดูผ่านๆ ตา ก็รู้แล้วว่ามันไม่น่าจะมีอะไร ก็เลยชวนกันออกไปขับรถเล่น 555555555 เราขอขิมลองขับมอไซค์ฯ ในอินเดียซะหน่อยว่าจะเป็นไง มันจะเท่ๆ คูลๆ หน้าเชิดตีลมมั้ย โอ้โห…ชัดเลยว่าน่ากลัวมากนอกจากจะขับกันแบบไม่มีเลนแล้ว ยังบีบแตรสารพัด บีบได้บีบดี บีบแม่งทุกอย่างจริงๆ นี่เลยลองบีบบ้างขับไปประมาณกิโลนึง บีบแตรไปประมาณ 100 ทีเห็นจะได้ สะใจมากเหมือนได้ระบายอารมณ์บนท้องถนน แฮปปี้ไปอีกกกกกก
บ้านในอินเดียส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีหลังคา เราเลยเดากันเองว่ามันน่าจะมีประโยชน์มากกว่าที่สามารถใช้ดาดฟ้าซักผ้า ตากผ้า ปลูกต้นไม้ได้ เลยไม่จำเป็นเลยที่ต้องมีหลังคา จริงมะ!
เราออกจากบังกาลอร์ไปกัวโดยรถบัส จริงๆ แล้วนั่งเครื่องบินไปก็ประมาณชั่วโมงนิดๆ แต่เราไปช่วงเทศกาล Holi พอดี ตั๋วแพงมาก ทำได้แค่นั่งรถนี่แหละ รถเป็นรถนอนแบบ VIP คือนอนได้อย่างเดียว นั่งแล้วหัวจะโขก มี2ชั้น ด้านนึงสำหรับคนเดียว อีกด้านนึงสำหรับมาเป็นคู่แล้วอยากนอนกอดกัน แน่นอนว่าจองทีหลังเรากับอีขิมก็ได้แบบเตียงคู่ 55555 และเป็นชั้นบนด้วย ทรหดดี รถสั่นตลอดทาง รถแบบเฟี๊ยวฟ้าวมากเหมือนรถเมล์อัศวินราตรีในแฮร์รี่ พอตเตอร์
แต่ด้วยความแขกของพวกมันอะ ถ้าเตียงบนนอนแล้วส่ายมากๆ แขกจะทำไงรู้ปะ… นอนบนพื้นตรงพรมแดงนั่นเลย เวลาจะเดินเรียกก็ไม่ตื่น ต้องพยายามเดินไม่ให้ไปเหยียบพวกมันเข้า 555555 เราปวดฉี่มาก เลยเดินไปหน้ารถ จะบอกคนขับว่าจอดข้างทางให้กูทีเถอะ ปวดเยี่ยวไม่ไหวละ นางบอกว่าเดี๋ยวจอดปั๊มข้างหน้าให้ นั่งตรงนี้ก็ได้ 555555 แหม ต้อนรับกูดีจังอะ ด้านหน้ารถมีกันประมาณ 4 คน เริงปอยกันเหลือเกินถามกันใหญ่
พวกนางก็ชวนเราคุยเรื่อยเปื่อยเลย มาจากไหน มากี่วัน กลับวันไหน มาเที่ยวหรือมาเรียน ไปเมืองอะไรต่อ ข้อดีของอินเดียอย่างนึงคือคนส่วนใหญ่จะพูดอังกฤษได้ อย่างน้อยก็คำง่ายๆ ที่ทำให้เราไม่อดข้าวอดน้ำแน่นอน ด้วยความที่มันเป็นเมืองขึ้นมาก่อน เลยพูดกันได้เยอะ แต่ก็กระดกลิ้นและพูดรัวกันแปลกๆ นั่งคุยไปคุยมาก็จะถามเยอะขึ้นละ โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร ถ่ายรูปดีมั้ย ไหนขอลองดูหน่อย…แล้วนางก็จัดการเอาไปเซลฟี่ตัวเองกันจย้า!
เราว่าการเดินทางบนรถบัสก็มีเสน่ห์อีกแบบหนึ่งในอินเดียนะ ประเทศมันกว้างนั่งรถก็นาน และไม่ค่อยจะตรงเวลาด้วย แต่ก็ทำให้มีความอดทนและรอคอยดี ช่วงที่ไปเป็น Holi หลายๆ คนก็กำลังจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปเที่ยวกันเป็นครอบครัว เราเลยได้เล่นกับเด็กๆเยอะเลย
รถจอดส่งเราตรงปั๊มน้ำมันกลางทาง นี่จะต้องหาแท๊กซี่ไปอาบน้ำบ้านเพื่อนอีกคนนึงก่อน ลงมาปุ๊ปแดดแรงมาก และแขกก็จะมารุมๆๆ “ไปไหนจ้ะๆๆๆๆ ไปส่งมั้ยจ้ะ” รถแท๊กซี่ที่กัว นางจะคุ้นชินกับนักท่องเที่ยวเยอะ จะพูดดักคอไว้ก่อนตลอดว่า..ห้ามต่อ ราคาพิเศษแล้ว ห้ามต่อแล้ว 55555
อาบน้ำทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก็พร้อมไปต่อ จากบังกาลอร์นั่งมากัวก็ประมาณ 15 ชม. ลงที่เมืองหลวงชื่อ Panaji เค้าบอกกันว่าจะเล่นน้ำแถวนี้กันก็ได้นะ แต่จะมีแต่คนอินเดียเล่นกัน อารมณ์เหมือนสิงโตทะเลเล่นน้ำกันเยอะๆ เค้าบอกกันงี้ เราเลยโอเค ไม่เล่นก็ได้ ที่นี่ยิ่งฮิตกับการใส่กางเกงในตัวเดียวหรือกางเกงว่ายน้ำเล่นน้ำทะเลซึ่งบางทีก็น่ากลัวไป๊ เราเลยนั่งรถต่อไปทางใต้ของกัวชื่อ Palolem ที่นั่นมีฝรั่งเยอะ แซ่บๆ เยอะ โอเคกูไปที่นี่นแหละ แต่กว่าจะไปถึงต้องนั่งรถ Panaji ไป Margao 1ชม. และจาก Margao ไป Palolem อีก 2ชม. กว่าๆ โอยยย โคตรพีค และรถที่นั่งเราขึ้นช้าต้องนั่งระหว่างกลางที่มีลุงแขกสองคนชอบเล่นหน้าเล่นตาและถ่ายรูปด้วย..ก็ตามภาพแหละ มีความเยื้มและยิ้มหวานแลบลิ้น
เราถึง Palolem ตอนหัวค่ำ รวมๆ แล้วก็เกือบ 24 ชม.พอดี เป็นการเดินทางที่เหนื่อยและยาวนานมากกกก ถามว่าคุ้มมั้ย? ถ้าเอาตามความสวยก็ไม่ค่อยหรอก ทะเลบ้านเราสวยกว่าเยอะ แต่ก็คิดซะว่ามาพักผ่อน และหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็คุ้มแล้ว ก่อน Holi 1 วัน พระจันทร์จะเต็มดวง ฟ้าวันนี้เลยสวยเป็นพิเศษ อินเดียมันทำให้เรากลายเป็นคนสองแบบนะ 5555 บทจะยอมก็ต้องยอมมันจริงๆ แต่เมื่อไหร่ที่มีมีเหตุการณ์ให้ฮึดสู้ อินเดียก็สอนเราว่ามึงต้องสู้กับกูเดี๋ยวนี้..
เรามาใช้ชีวิตช้าๆ อยู่ที่ Palolem ประมาณ 3 คืน เล่นน้ำ นอนอ่านหนังสือ กินค็อกเทล แล้วก็หลับ ตื่นมาก็ทำวนๆ แบบเดิม จะมีวันนึงที่ตรงกับ Holi ที่นี่พอดี เลยสนุกสนานพอตัว ออกจากที่พักมาก็โดนป้ายกันอย่างเต็มที่ .. ไม่แน่ใจว่าที่อื่นๆ ในอินเดียเล่น Holi กันตามตรอกซอกซอยสนุกแค่ไหน แต่ที่นี่..ฝรั่งเยอะมาก เดินเล่นกันริมหาดให้ควัก มีแต่เสียงหัวเราะ เฮฮา และตะโกนทักทายกันว่า Happy Holi Happy Holi Happy Holi :)
มีน้องคนนึงวิ่งมาหาเราแล้วบอกว่า Happy Holi พร้อมจะเอาผงสีป้ายหน้า แต่เห็นมือน้องที่เปื้อนและดำมากๆ แล้วก็อดไม่ได้จริงๆ กลัวสิวจะขึ้นหน้าตัวเองด้วย 5555 เลยจับมือน้องไปล้าง และเช็ดๆ ก่อนรอบนึงพอสะอาด จากนั้นก็ตามสบายจ้า ป้ายได้เลยจ้า Happy holi เลย เอาให้เต็มที่
เราว่าที่นี่เหมาะสำหรับจะมาพักผ่อนจริงๆ นั่นแหละ มันอาจจะดูแปลกนะ ที่แนะนำให้มาพักผ่อนที่อินเดีย แต่ถ้าผ่านมาถึงจุดนี้ ที่หาดนี้ได้ ก็สบายละ ฝรั่งเยอะ อาหารการกินก็หาง่าย และสนุกด้วย จริงๆ ทุกๆ เช้าจะมีเรือนำเที่ยวเป็นเรือไม้พาแล่นออกไปดูปลาโลมากลางทะเล และเที่ยวเกาะรอบๆ ราคาประมาณคนละ 300 บาทแค่นั้นต่อครึ่งวัน ถ้ามีเวลาเหลือก็แนะนำให้ออกไปดูกัน แต่ถ้าไม่ก็เดินดูรอบๆ ก็สนุกแล้ว เพราะอินเดียมันก็มีอะไรแปลกๆ เสมอแหละ วัวเดินเต็มชายหาดงี้…เป็นต้น
สาวแขกกัวใต้บางคนก็ใจดี๊ ใจดี มีกล้วยอยู่ 1 ลูก ก็หักกินครึ่งนึง ให้วัวกินอีกครึ่งนึง 5555555 ใจบุญสุนทานเหลือเกิน
เด็กบางคนก็น่ารัก แต่งตัวเป็นหนุมานให้คนถ่ายรูป แต่คนละ 5 บาท เราให้ไปเลย 20 บาทจ้า เอาไปสระผมนะน้องหนู 555
มาทะเลกัว ใครๆ ก็บอกว่าต้องลองเล่นน้ำที่นี่นะ …เพราะคลื่นแรงมาก สนุกสุดๆไปเลยจ้า ซัดแบบสนุกสนานเต็มที่มาก เราก้เอาเลยสนุกเหลือเกิน เห็นคลื่นก็วิ่งเข้าใส่ บ๊บ บ๊บ บ๊บ ให้มันซัดเข้าหาด แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น.. มีคลื่นลูกใหญ่มาก 3คลื่นติดๆกัน ซัดมาในเวลาใกล้เคียง เราก็โดนเลย ถูดพัดหน้าคะมำตีลังกาอยู่ใต้น้ำ กว่าจะพ้นมาได้ ก็ได้แผลที่ปากมา 1 แผลสวยๆ ตอนแรกก็แต่เจ็บ โอ้ย ไม่มีไรหรอกเหมือนแผลร้อนในนอนดึกธรรมดา ..ซักพักเลือดเริ่มไหลไม่หยุด เริ่มทะแม่งๆ เลยขึ้นไปดูกระจกในห้องน้ำ โอ้โห!!!!!! แผลยาวและลึกมากกกก
รีบขึ้นมาอาบน้ำ แล้วอวดดีเอายาร้อนในทาเองไปอีก ประเมินจากสายตาตัวเองแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ต้องพึ่งหมออะ มันอาจจะต้องเย็บ ปล่อยไว้อาจติดเชื้อ และที่นี่…อินเดียนะ ความสกปรกต้องให้อธิบายอีกหรอ รีบเรียกรถไปโรงพยาบาล โทรถามโรงบาลเอกชนไฮโซๆ หน่อย บอกว่า “ปิดแล้ว ปิดตอน 6โมง รอพรุ่งนี้นะคะ” รอก็แย่แล้ว ปากเน่าพอดี เลยหาโรงพยาบาลรัฐใหม่ เจออยู่ที่นึงเปิด 24 ชม. เอาที่นี่แหละวะ ไม่มีทางเลือกแล้วเว้ย พอเห็นโรงพยาบาลปุ๊ป เข่าอ่อนเลย 555
มืด เงียบ และไฟแทบไม่มี นึกว่าโรงบาลผีสิง ได้ยินเสียงคนไข้เด็กที่เข้าไปเย็บแผลก่อนหน้ากรี๊ดและหวีดร้องเป็นพักๆ โอยๆๆๆ ใจไม่ดีเลย อยากจะมีเครื่องบินส่วนตัวกูจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ ใจฝ่อมาก นั่งนิ่งและเงียบ ไม่กล้าพูดกับใคร กลัวเชื้อโรคเข้าปากที่สุดแล้วจุดนั้น ถึงคิวตัวเองเดินเข้าไปหาหมอ หมอบอกเปิดแผนให้ดูหน่อย ไปโดนตรงไหนมา… หมอพูดแค่ว่า “เย็บเท่านั้น” เพราะแผลใหญ่มากกก เปรยสายตาไปมองเตียงคนไข้ในห้องฉุกเฉินที่มีอยู่เตียงแล้ว แล้วน้ำตาจะไหล ยังปูเสื่อน้ำมันอยู่เลยแม่ง แต่จุดนั้นทำอะไรไม่ได้จริงๆ จะปล่อยแผลไว้ก็ไม่ได้
เราถามหมอว่า “อุปกรณ์ทั้งหลายเนี่ย .. สะอาดใช่มั้ยหมอ?!” รู้ตัวเลยว่าเป็นคำถามที่ไม่ให้เกียรติมากแต่ก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ ถามย้ำไปย้ำมา จนหมอรำคาญแล้วบอกว่าอย่าถามบ่อย 555555 เราทำได้แค่นอนรอบนเตียง พยาบาลก็มาคลำๆ เราก็ดูทุกขั้นตอนที่ตาจะสัมผัสได้ว่ามันจะสะอาดจริงๆ นะ! นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมละกันเนอะ หมอมือเบามาก พยาบาลก็ชวนคุยว่ามาจากเมืองไทยหรอ แล้วก็พูดถึงโทนี่ จา ว่าเคยดูหนัง คุยไปคุยมาจนปากเย็บเสร็จพอดี พร้อมฉีดบาดทะยักอีก 1 เข็ม กำลังจะจ่ายเงินหมอบอกว่า “ไม่เป็นไร มาเที่ยว ก็เที่ยวให้สนุก เอ็นจอยนะ “ ทำให้เราฟรีๆ เลย น้ำตาจะไหล ออกไปข้างนอกเจอรถที่จ้างมาจอดรออยู่แบบไม่หงุดหงิด หนำซ้ำยังมาถามด้วยว่า เธอโอเคใช่มั้ย โอ้โห จะดีกันไปไหนอะ อินเดียนี่โคตร Incredible เลยเนอะ ใครเกลียด ใครไม่อยากมา แต่เรากลับชอบมากๆ เมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ 10 พอดีของการเที่ยวอินเดีย รู้สึกแฮปปี้ทุกครั้งที่มาจริงๆ
หายซ่าจากปากโดนเจ็บ เราก็กลับมาบังกาลอร์อีก 1 วันเพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มในบังกาลอร์ อาทิเช่น …ไปดูหนัง 555 ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจก็ลากกันไปดูหนัง Spiderman กำลังเข้าก็ไม่ดู.. ไปดูหนังแขก ภาษาฮินดีเป็นหนังบู๊ล้างผลาญ เมียโดนฆ่า มีการตามแก้แค้น ฉากไหนเด็ด พระเอกมีคิวเด่น แขกก็เอ็ดตะโร เฮ กันขึ้นมาส่งเสียงวิ๊ดวิ๊วๆ มีความสุข ถ้าเป็นที่บ้านเรานี่เรียกว่าไม่มีมารยาท แต่มีอินเดีย อีขิมบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นการแสดงความสนุกสนาน 55555 และความอินเดียอีกอย่างนึงคือ .. หนังมีพักครึ่ง 15 นาที 555555นึกว่าตีมวย ระหว่างพักก็จะมีคนไปเดินหาข้าว หาน้ำ มากินกันในโรง โอ้ย อร่อยเลย
หรือการไปนั่งดูโดนัท กังฟูแพนด้า ก็ตลกไปอีกแบบ เห็นแล้วขำมากกกก จนพนักงานเดินมาดู แล้วยิ้มแห้งๆให้ อยากบอกเลยว่าสู้ๆ นะ เป็นกำลังใจให้ 5555555555
หรือมีฝันร้ายตอนกลางวันที่เบงการูลู.. ที่เรากำลังกินเรียกว่า Pani Puri อีขิมบอกว่า “มึงลองกินดิเหมือนน้ำล้างส้วมมาก”
มันเป็นขนมของอินเดีย เหมือนคนไทยชอบกินกล้วยทอด ทอดมัน ลูกชิ้นปิ้ง คนอินเดียก็มีอันนี้แหละเป็นของว่าง หลายคนเคยลองกินอาจจะชอบแต่ไม่ใช่เราแน่นอน..
เดินไปหาคนขาย นางก็ให้ถ้วยใบไม้มาถือไว้แล้วก็ปั้น Pani Puri มาใส่ทีละก้อน คือแป้งมันน่าจะทำจากแป้งสาลีเอามาบี้แบนๆ แล้วทอดมันจะพอง จากนั้นก็จุ้มน้ำซอสที่โคตรสยอง.. และมีเพื่อนแขกมายืนคอยให้กำลังอีกล้นหลาม เอาเข้าปากปุ๊ป “อู๊!!!” สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกิดขึ้นทันที เหมือนมีใครเอารองเท้าเน่ามายัดปากไว้ จะคายก็เสียมารวาท แต่หน้าไปแล้วอะ หน้าแย่แบบไม่กินแล้วแน่นอน จะเคี้ยวก็กลัวติดฟันเลยรีบเอาลิ้นบี้ๆ แล้วกลืนทันที รสชาติฝันร้ายและติดปลายลิ้นมาก ผ่านมาซักพักนั่งอยู่บนรถหันหน้าไปบอกอีขิม “กูขนลุกเลย” ขิมถามว่า “มึงหนาวหรอ” หนาวก็แย่แล้วขิม 55555 กินPani Puri นี่แหละ ขนลุกเลย รสชาติและกลิ่นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น..จนถึงวันนี้
ถ้าตามขิม จะต้องรู้จักป้ามหาเดวามา! ชื่อเสียงป้านี่อลังการมากกับวีรกรรมทั้งหลาย ก่อนมาเราถามขิมว่า ป้าชอบอะไรวะ จะได้ซื้อไปฝาก ขิมบอกเอากระเป๋า กระเป๋าเด็กเล่น ลายการ์ตูน เลยซื้อกระเป๋าสะพายสีดำลายมินนี่ เมาส์ มาให้ อู้หูว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เปิดกระเป๋าดูใหญ่เลย
พอบอกขอถ่ายรูปด้วยหน่อย ป้าบอกไม่ให้ถ่ายนะ เพราะยังไม่สวย ขอตัวไปอาบน้ำ ใส่สร้อย ใส่แหวนก่อน คนอื่นอาจจะได้กินแตงโมเน่า แต่เรา ป้าเอาข้าวมาให้กินเลยนะ 5555 (แม้ว่ารสชาติจะอินเดียจ๋า จนแทบกินไม่ได้ก็ตาม) ป้าจะชอบสอดรู้สอดเห็นตลอดเวลา ใครทำอะไรที่ไหนยังไง จะหยุมหยิมนิดนึงสไตล์คนแก่ ก่อนกลับป้าบอกว่าไว้มาเที่ยวอีกนะ กลับมาอินเดียอีกนะ! สงสัยอยากได้กระเป๋าอีกใบแน่นอนเลยจ้า 5555
ขากลับเรานี่รีบวิ่งขึ้นเครื่องให้เร็วที่สุด ยึดที่นั่งเตรียมนอนยาว พอแอร์ฯ เข็นอาหารมารีบสั่งแบบไม่คิด 5555 โคตรโหยหารสชาติจัดจ้าน นี่นั่งกระเพราและข้าวเหนียวมะม่วงมากิน แขกที่นั่งใกล้ๆ ก็อยากกิน พอมันสั่งบ้าง..หมด 55555555 สงสารเลย ถ้าไม่อยากลุ้นก็ Pre-book meal มาก่อนได้นะ อร่อยดี มันได้บรรยากาศเหมือนกลับบ้านแล้วเวลากินอาหารไทย
ถ้ามีคนถามว่าไปอินเดียบ่อยๆ ไม่เบื่อจริงๆ หรอ? ก็บอกได้เลยนะว่าไม่เลยจริงๆ อาจจะมีโมเม้นไม่อยากไปอีกช่วงกลับมาแรกๆ แต่อีกซักพักมันจะโหยหาอีก ด้วยความสนุก ตลกและตื่นเต้นในทุกๆ จังหวะของชีวิตตอนอยู่อินเดีย เราว่าที่นั่นสอนอะไรเราหลายๆ อย่าง ต้องเอาตัวให้รอด ต้องใจเย็นๆ อย่าเอาเปรียบคนอื่น และสนุกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตที่ได้เจอ คิดบวกให้มากที่สุดในทุกๆ วัน เราเลยไม่รู้สึกเบื่อเลยซักนิด มาบ่อยจนได้เข้าโรงพยาบาลที่นี่แล้วเนี่ย!! แล้วเจอกันใหม่เร็วๆ นี้ที่อินเดีย
อย่าลืมติดตามการเดินทางครั้งใหม่ของพวกเราได้ที่ :
ไปไง มาไง : https://www.facebook.com/incaseyouwonderwdwg
ตามติดชีวิตอินเดีย : ตามติดชีวิตอินเดีย