ทริปเดินขึ้นเขาแบบจริงจังของชาวกรุงเท๊พ กรุงเทพ มุ่งหน้าสู่เนปาลเพื่อสัมผัสความงามของยอด Annapurna ที่ poonhill เทือกเขาหิมาลัย! จุดชมวิวที่สวยจนทำให้ผู้ชายหนวดหนาๆ หน้าโหดๆ เสียน้ำตามาแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องขี้ๆ หิมาลัยไม่ใช่ดอยกิ๊กก๊อก ดังนั้นไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ การเดินทางรอบนี้เหมือนโดนตบเพี๊ยะ เพี๊ยะ ให้ปวดหัวตลอดเวลา … แต่ !! ได้เห็นวิวภูเขาและฟ้ากว้างที่ปกติเห็นได้จากแค่จอวินโดว์ มาโดนหิมาลัยตบหัวแล้วลูบหลังไปพร้อมๆเรา ที่เนปาล
ก่อนที่จะเรื่มเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ที่เนปาลให้ฟัง เราอยากจะเเนะนำ พี่ชายสองคนนี้ให้ทุกคนรู้จัก การไปเที่ยวเนปาลครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา กับผู้ร่วมทริปที่ไม่ธรรมดา พี่นิค กับ พี่เรย์ กำลังสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน …พี่เค้ากำลังปั่นจักรยาน กลับบ้าน “จากลอนดอน ถึง กรุงเทพ โอ้มายก๊ออดดดดด
ทริปเนปาล ครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ข่าวว่า พี่เค้ากำลังเข้าเนปาล เราจึงตัดสินใจไปหา ถือโอกาสไปเที่ยว เยี่ยมชมหิมาลัยด้วยกัน ป่านนี้พี่เค้าคงกำลัง ปั่นคลุกโคลน ดมฝุ่นอยู่ในอินเดีย ไปอยู่ด้วยกันมา 10 วัน พี่นิค พี่เรย์เล่าประสบณ์การสนุกๆ เจอคนแปลกๆใหม่ๆ เพียบ ใครที่อยากรู้เรื่องราว ดูภาพสวยๆ ไปตามติดทั้งสองได้ที่เพจ Londonbkk2014
และแล้วก็ได้เดินทางซักที เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะรู้ว่าอีก 10 วันที่กำลังจะมาถึง ไม่ได้นอนสบายๆอย่างนี้อีกแน่ๆ พวกเรามาถึงพร้อมกันที่สุวรรณภูมิ จะไปเนปาลเนี่ย เวลาเลือกที่นั่ง จะเลือกสั่วๆมั่วๆไม่ได้ ท่องเป็นสูตรไว้เลยว่า “ขาไปฝั่งขวา ขากลับฝั่งซ้าย” เพราะถ้าดวงดี หิมาลัยก็จะมาทักทาย … และแล้วเนปาลเมืองแห่งหุบเขาก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ส่งยอดเขาสลับซับซ้อนมาทักทายเราตั้งแต่ยังไม่ลงเครื่อง
คุณพระ! ตอนที่นั่งอยู่บนเครื่อง เรากำลังสับสนว่ากัปตันเค้ากำลังลดระดับ หรือยอดเขามันสูงมากกันแน่ เพราะเขากับท้องเครื่องอยู่ห่างกันนิดเดียว เราเสียวมากว่ายอดผาจะข่วนท้องเครื่องเอา เห็นภูเขาสูงใหญ่ไม่ค่อยแปลก ที่แปลกคือระหว่างสีเขียว จะมีก้อนสี่เหลี่ยมสีขาวเล็กๆ วางตัวกระจัดกระจายทั่วยอดเขา ยังกะเทวดาเล่นเกมส์เศรษฐี สร้างแลนมาร์คกันใหญ่เลย
การตัดสินใจเลือกโฮสเทลที่ดีในเนปาลนั้น ข้อสำคัญที่ห้ามลืมถามเด็ดขาดเลยคือ.. “พี่คะๆ….มารับที่สนามบินด้วยรึปล่าวคะ?” เพราะว่าหลังจากออกประตูสนามบินอาจจะรู้สึกว่าตัวเอง เหมือนโทมินจุน…เหมือนพระเอกซีรีส์เกาหลีที่มีแฟนคลับมารอที่สนามบิน เพื่อที่จะได้ใช้อากาศและลมหายใจร่วมกัน แฟนคลับเพียบ พวกนางจะปรี่เข้ามาถือกระเป๋าให้เลยก็มี ให่รีบบอกปัดไป “โนว โนว โน๊วววว” หรือวิธีที่สองต้องใช้แอคติ้งกันหน่อย ตอกันเบา ให้แกล้งโบกมือ โบกไปเหอะ โบกไปไกลๆเหมือนมีคนมารอรับ แล้วค่อยออกๆไปหาแท็กซี่ที่น่าตาน่าไว้ใจข้างหน้า ง่ายมะ 555
สำหรับเราคราวนี้โชคดีหน่อย พี่นิกพี่เรย์ปั่นจักรยานมารอก่อน พวกเราเลยหมดปัญหานี้ไป สบ๊ายยยยยยยย !!
จากสนามบินนั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงในที่สุดเราก็มาถึงที่พัก ย่านที่พักที่นักท่องเที่ยวชอบมาพักกัน ที่กาฏมัณฑุ คือ ย่านทาเมล(Thamel)
ย่านนี้คือที่คุ้มกะลาหัวเราตลอดทริปนี้ที่ กาฏมัณฑุ เราเลือกพักที่ “Mountain Peace Guest House”… (แอบโฆษณาให้นิดนึง เพราะว่าเค้าน่ารักมาก ประทับใจสุดๆ ห้องไม่เเพง ถึงห้องน้ำจะรวมแต่ก็สะอาด ใครสนใจหลังไมค์ได้)
วางกระเป๋าล้างหน้า แล้วออกไปแรดกันเถอะะะะ ! พอเท้าเหยียบถนนบนทาเมลปุ๊ป พูดเลยว่าปรับตัวไม่ทัน เด๋อด๋ากันไปหมด มีหลุมบ่อเหมือนถนนสร้างไม่เสร็จ มีขี้หมาขี้วัว เดินไปเดินมา รู้สึกได้ว่าหน้าตาดีมาก มีแต่คนทักทาย “หนี่ห่าวๆ” อยากจะตอบกลับจริงๆ ห่าวพ่อง ! ทักกันตลอดทางเลย
พูดใหม่สิ๊ “สวัสดีหน่ะ สวัสดี” ฮ่าๆ ต้อนรับเรากันน่ารักเชียว แต่.. มีคนนึงทักทายน่ารักมาก จำขึ้นใจกันเลย คืองี้ เราก็เดินกลางถนนตรงทางโค้งพอดี จะเลี้ยวไม่เลี้ยวๆ พี่แขกมาเลย ขับมอไซค์รวดเร็วเยี่ยงรถไต่ถังในงานวัด หยอกกันเบาๆด้วยการจะชน ! พุ่งเข้ามาใกล้มาก ! บีบแตรดังด้วย !
ชะนีไทยตัวเล็กๆ 2 คน ยืนกอดกันกลางถนน ร้องอย่างสุดเสียว “อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา !” พี่แขกหยุดด้านหน้าพอดี แล้วหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พร้อมกับขับหนีไป โอ้ยยยยยยย อี่แขก สะใจมากสินะ ดีออก ! นี่แค่วันแรกต้อนรับกูได้น่ารักชริงๆ นมัสเตจ้า
ใครที่จะไป Trekking ต้องอ่าน!
จะเตรียมใจ เตรียมกาย มามากแค่ไหน ไม่มีสิ่งนี้ก็จบ คือ Trekking Permit หรือ เอกสารประกอบก่อนขึ้นเขา คือเค้าจะบันทึกเอาไว้ ว่ายัยนี่ขึ้นไปนะ เดินเส้นไหนๆ เผื่อหาย เผื่อตก เผื่อตาย เค้าจะได้ตามหาถูก… เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปถึงเราก็พุ่งไปเลยที่ “Nepal Tourism board” เตรียมเงินไปไม่เกิน 5,000 NPR ก็ประมาณ 1,630 บาทไทย กับ รูปถ่าย 2 นิ้ว พื่นหลังสีอะไรก็ได้ ขอหน้าชัดๆพอ จำนวน 3 ใบ!!!! อันนี้ ย้ำเลย ลืมแล้วปวดใจสุดๆ
เพราะต้องไปเสียตังถ่ายเพิ่มโดยใช่เหตุ แถมต้องทนรับสภาพหน้าตัวเองให้ได้ 555 ลองมาแล้วจัดการเรื่องเอกสารเสร็จ การเที่ยวก็ดำเนินกันต่อ เปิดหนังสือกี่เล่ม นำเที่ยวกี่ที่ก็ต้องไป สถูปพุทธนาถ เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล แถมในนั้นยังมีชุมขน ชาวธิเบตอพยพ ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกเลยนะ เราก็เลยขอไป และเเชะภาพสักหน่อย กลับมาจะได้ไม่โดนเพื่อนล้อ หาว่ามาไม่ถึง
ปล.โบกแทกซี่ประมาณ 300 NPR (98 บาท) อย่าปล่อยให้เค้าฟันเราเเรงกว่านั้น
บริเวณรอบๆ สถูป จะมีร้านรวง หมู่บ้าน ชุมชนรายล้อมไปหมด หลังจากสักการะก็ต้องเดินเยี่ยมชม บรรยากาศให้หนำใจซะหน่อย เดินๆไปก็มาสะดุดตากับ ลุงคนนี้ นี่แหละ..เว้ย ! หัวใจของการมาเที่ยว … Street Food ! มาทั้งที ต้องให้ลิ้นสัมผัสของแปลกซะมั่ง เดินไปด้วยความมั่นใจ กะสั่งมาลองชิม สักสองสามชิ้น มองเข้าไป ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น….. ยืนเงียบๆ เฝ้ามองกรรมวิธีการทำไปสักพัก อุปกรณ์เอย มือเอย อะไรเอย…. อื่มนะ บางทีชีวิตเราต้องมีลิมิตมั้งเนาะ จะชีวิตเกินร้อยแบบ พี่เสก มากก็ไม่ไหวกินไปเขาก็อาจไม่ได้ขึ้น แถมอาจจะต้องไปโรงบาลอีก เอาเป็นว่าเก็บภาพเฉยๆเนาะ ชีวิตต้องสู้ต่ออีกหลายวัน เอาไว้ลองวันสุดท้ายละกัน (และวันสุดท้ายก็ได้ลองจริงๆ ลองมากกว่า 1 อย่างด้วย)
มาเนปาล เจอแต่คนน่ารักๆ เป็นเพราะคนที่นี่น่ารักทุกคน หรือเพราะเราดวงดี ลุงขับแทกซี่คนนี้ก็เป็นอีกคน ที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ ลุงเป็นคนขับรถเเทกซี่ หน้าก็เหี้ยมๆ ไม่ค่อยน่าไว้ใจ… พวกเรามีกัน 6 คน ขามาสถูปพุทธนาถก็โบกแทกซี่ 2 คัน ขากลับเลยคิดว่าจะต้องโบกสอง พอถามลุงคนนี้ พี่เเกเอามือมาเบรคเราไว้ คล้ายๆ เป็นสัญญาณว่า ช้าก่อนหนุ่มสาว…. ไอ่เราก็งงๆ ลุงแกเดินเข้าไปในซอย ไปเอารถตู้กระป๋องคนนี้ออกมา พวกเรากรี๊ดมากก่อนขึ้นถ่ายรูปก่อนๆ
เหมือนเดิม ลุงแก เอามือมาเบรคพวกเราไว้ คราวนี้เป็นสัญญาณว่า ไม่ๆ ไม่เอาไม่ถ่าย ถ่ายไม่ได้ พวกเราเลย เดิน จ๋อยๆ แล้วขึ้นรถ… ขับไปสักพัก เลยเขตจราจรอันคับคั่ง หน้าวัด ลุงแกชิด ฟุตบาท จะจอด พวกเราก็งงๆ แกหันหน้ามา เอาทำนิ้วชิ้ งอๆ เป็นสัญญาณว่า ถ่ายรูปมั้ยย?? โห้ยยยย ลุงน่ารักอะ อุตส่าห์จอด ไม่เกรงใจละนะ ปีนเลยยยยยยย!!!555 ลุงแกก็เอามือมาจับส่งเราปีนขึ้นบนหลังคา ถ่ายรูปนับ วัน ตรู ตรี…
วอเตร้อ? ฮันเดรตรูปี (น้ำมั้ย 100 รูปี) ถ้าใครเลือกเดินทางไปโพคาราด้วยรถทัวร์ในตอนเช้า รับรองจะต้องเจอมนุษย์ของชำเคลื่อนที่แบบนี้ พี่เเกจะ เดินตามจี้ กินมั้ยๆ ซื้อมั้ยๆ เดี๋ยวหิวนะยูว รอรถเกือบชั่วโมงนางจะเดินผ่านหน้าไปๆมาๆ เป็นสิบรอบบบบ เอาอีกละมาอีกละ เดินอีกละ เราก็จัดเลย ซื้อตัดรำคาญเลยเว้ย จากขวดนึง 100 เราต่อเหลือสองขวด 50 รูปี แม่เจ้าโว้ยยยยย ให้ด้วยแฮะ คิดในใจตอนเดินกลับไปหาเพื่อน เอาหละกูจะเอาไปอวดคนอื่น ดีใจ หน้าบาน ดูฉลาดที่สุด ใครซื้อน้ำก่อนหน้ากู กูจะแกล้งถามว่ากี่บาท พอมันบอก100รูปี เราจะแกล้งทำหน้าตกใจ ว๊ายจริงหรอ เราซื้อมาขวดละ 25 เอ๊ง ในใจนี่คิดแผนการชั่วร้ายข่มคนอื่นนำอนาคตไปละ 5555
แต่หารู้ไม่ รอบหลังๆ พี่รามแกมาอีกละ(คือเดินบ่อยมากเลยถามชือเลย) เดินมาแต่ละทีชอบทำตัวเหมือนไม่เคยเห็นหน้า เหมือนเพิ่งเจอกัน เหมือนทีวีช่องเคเบิ้ลชอบรีรันเหมือนเดิมเป๊ะ ขวดละ 20 รูปี เอามั้ย? ห้ะ ! อะไรนะราม ! ดีออก ! แกก็ยิ้มเเหะๆ หัวเราะกลบเกลือนไป ไอ่เราก็โกรธไม่ลง
นี่เอาฮา หรือ พูดจริง ขำก็ขำ โกรธก็โกรธ แกล้งเมินหน้าหนีใส่ มันก็มาอีกละ “ช็อคโกแลต???” พอเลย ราม อยู่เฉยๆให้กูถ่ายรูปดีกว่า นางก็ ออฟคอรสสส(of course!!!) เออดี ! เพราะเป็นงี้แหละโกรธไม่ลงจริงๆ สรุปโง่หมดทุกคน อีรามฉลาดสุด 55555
โชคดีที่เนปาลไม่ร้อน ก็เลยไม่โมโหเท่าไหร่ หลังจากโดนหลอกขายตั๋วรถทัวร์ตั๋วรถแอร์ กลับเป็นเเอร์กี่ซะงั้น 8 ชั่วโมง กับเก้าอี้หลังตรง จึงไม่ค่อยทรมานมาก บรรยากาศในรถจัดได้ว่าไม่วุ่นวาย สงบเสงียมกว่าที่คิด ระหว่างทางก็จะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านเรื่อยๆ… นั่งชวนฝันและโลกสวยไปเรื่อยๆ รถก็หยุดพักให้เข้าห้องน้ำ ตอนแรกก็เหมือนจะปวดนะ อารมณ์แบบนั่งปุ๊ปไม่ต้องเบ่ง แต่เห็นห้องน้ำเท่านั้นแหละ… “ไม่ปวดละก็ด้ายยยยยย ให้ขี้ตันไส้นี่แหละ 55555” ชาวเนปาลคนอื่น ก็เข้ากันแบบไม่ตะขิด ตะขวงใจ โกยสาหรี่ ผลัดกันเข้าไม่ขาด อยากจะตะโกนบอก ใจเย็นๆพี่ใจเย็น กลัวสาหรี่เปื้อนออกมาจริงๆ ไทยแลนด์อย่างเราสวดมนต์ทำใจ “ปวดหนอ ปวดหนอ” พลางก็คิดว่านี่จะไปหวังเอา น้ำบ่อหน้าได้มั้ยเนี่ย บอกตัวเองแบบลมๆแล้งๆ ฟ้าหลังฝนไงๆ 555 เรื่องที่หยอกกันเล่นๆว่าให้ใส่ เเพมเพิร์สผู้ใหญ่ไว้ จริงๆแล้วไม่ฮาสินะ กูกลับไปซื้อทันมั้ยเนี่ยยยย
ไม่ต้องถามถึงคาเฟ่อเมซอน เซเว่น ร้านของฝาก โมจงโมจิแม่กุหลาบ โรตีสายไหม หนูนาอ่างทอง ไม่มี๊ !! ฉี่ก็ไม่ได้ฉี่ ขนมก็มีแต่อะไรไม่รู้ จะซื้อมาก็กลัว รามจ๋าาาา ทำไมเค้าไม่น่าหยิ่งกับรามเลย น่าจะซื้อขนมมากินนนนนนน ฮรือออออ
สลืมสลือ หลับๆตื่นๆ เหมือนแสงวิบวับอะไรแยงตา รูปนี้เป็นรูปเมืองทางผ่านเมืองหนึ่ง ไม่รู้ตกแต่งเพราะอะไร สวยงามหยิบกล้องแทบไม่ทัน… คือของบางอย่างอยู่บางที่ก็เข้ากันจริงๆ เราว่าถ้าบ้านเราทำแบบนี้มันคงแปลกๆ เหมือนคนเลยเนอะว่ามั้ย มันต้องพอดีและเข้ากันได้ถึงจะรอด ดูรูปดิๆ สวยจะตายยยยยยยย
ในที่สุดก็ถึง โพครา! เมืองหน้าด่าน ต้อนรับเราสู่เทือกเขาหิมาลัย!!!!…
พอมาถึงท่ารถเราก็สามารถฝ่าฟันกองทัพ แทกซี่ได้เหมือนเดิม เพราะว่าเกสเฮ้าส์ที่แสนดีของเรา นำราชรถมาเกยถึงที่แล้ว (ที่โพคราเราพักกันที่ Yokohama Guesthouse ดีอีกเช่นเคย ลูกสาวเจ้าของสวยด้วย) ระหว่างที่นั่งรถไปโรงแรม พี่เเขกก็สร้างความฮา ให้เราอีกแล้ว คือพวกเรากำลังขับตาม รถคันนี้พี่แกขนไม้ไว้บนหลังคา อันนี้ไม่เเปลก ที่แปลกคือตัวยึดพี่แก Handmade เหลือเกิ๊น จะขับตามมากๆ ก็กลัวจะพุ่ง พอขับไปเรื่อยๆ ไม้ท่อนเล็กๆฝั่งหน้าคนขับ ก็ห้อยโตงเตงๆลงมา คือถ้าเป็นเราจะต้องสะดุ้ง เพื่อนๆควรจะตบไหล่ บอกกันให้ชิดข้างทาง เพื่อจอด จัดระเบียบรัดนันรัดนี่ให้แน่นขึ้นบ้างอะไรบ้าง แต่คนขับกลับไม่! นางสละมือจากพวงมาลัยมาคว้าไว้ ถือไปเรื่อยๆ แบบหน้าตาเฉย แล้วก็ขับมือเดียวต่อไป ขับๆไปอีก ก็มีขนเเพะไว้บนหลังคาบ้างอะไรบ้าง เป็นประเทศที่ชิวมาก
บรรยากาศในย่านนักท่องเที่ยวของ โพครา นั้น ถ้าเที่ยบกับ ทาเมลแล้วนั้นถือได้ว่าดีกว่ามาก ทั้งถนนหนทางที่เดินได้สะดวกและกว้างขวางกว่า ฝุ่นก็ไม่เกรอะกรัง ทำให้ขี้มูกดำ เหมือนทาเมล แถมยังมีร้านค้าที่น่าช๊อป มากกว่า… (ไม่รู้เป็นเพราะ พวกสินค้าโชว์ด้านหน้าดูไม่เก่าเท่าทาเมลมั้ง เพราะสินค้าที่ทาเมล เหมือนใช้มาแล้วมากกว่า มือ2 ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นมือหนึ่ง ใหม่สด)
อากาศก็เย็นๆ สบายๆเหมือนประมาณเชียงใหม่หน้าหนาว เราจึงใช้เวลาที่เหลือช่วงเย็นในการ พักผ่อน และหาซื้อ โปสการ์ดของฝากกันที่นี่ หาร้านชาจิบ กินโมโม และที่สำคัญ เดินไปเรื่อยๆ หาเอเจนซี่ จัดการเรื่องลูกหาบ สำหรับการขึ้น พูนฮิลในวันพรุ่งนี้ และอีก 5 วันข้างหน้า สุดท้ายธุระทั้งหมดก็จบลง ประมาณ 6 โมงทุ่ม ได้เวลาหาร้านอาหารลงท้องกันสักที
จู่ๆ ฝนก็ เท ลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ณ จุดหนึ่งที่พวกเราเบื่ออาหาร เเขกกันมากๆ เราจึงตัดสินใจหา อาหารที่ค่อนข้างเป็นสากล พวกเราจึงตกลงปลงใจกันที่ ร้านอาหาร อิตาเลี่ยน และคิดว่า พิซซ่า น่าจะเป็นคำตอบที่เป็นกลางที่สุด…อาหาร รถชาติแปล่มๆ ถือว่าไม่เเย่ ถึงแม้ไก่ทอดจะไหม้ และ ฉุนเครื่องแกงซอสมะเขือเทศเหมือนเอาน้ำเปล่าลงไปเเกว่งๆ เหมือนเวลาเราทำกับน้ำยาล้างจานที่ใกล้จะหมด เท่านั้นเอง ไม่เเย่เลย…..
กินจนหมด จะสั่งเพิ่มก็ไม่กล้า นั่งรอ แล้วรอเล่า นั่งดูทีวีแขกจนจะหลับ ฝน ก็ยังไม่หยุด!!!! ซ้ำยังกระหน่ำมามากขึ้น!!! เอาละไง ทำไงดีพวกเรา กินเบียร์ละกันพวกเราตัดสินใจ สั่งเบียร์มาแบบ ชิมแหลก สั่งมายี่ห้อละขวด สร้างศูนย์วิจัยเบียร์เนปาลกันตรงนี้เลย ,จากสี่ยี่ห้อนี้ที่มี ถ้าเรียงจากซ้ายไปขวา มติเป็นเอกฉันท์ที่ 2..3..4..1 คือ Nepal Ice ดำแดง / Nepal Ice เขียว / Everest / Gorkha ความรู้สึกสุดขั้วสองฝั่งที่จำได้คือ อันดับ 1 นี่ดีเลย หวานอร่อย ไม่เหม็นไม่ขมปลาย ส่วน Gorkha (อ่านกันเล่นๆ ว่าเกาะคา) สาโทสยาม กลิ่นประหลาดๆ กินสุดจะบรรยาย เอาอะไรมากลั่นเบียร์เนี่ย !! หรือกรอกมาจากก๊อกน้ำตะกี๊
“A Journey of thoundsand miles, begins with a single step”
วันเนี้ยแหละ เอาจริงแล้วบอกลาเตียง Wifi มือถือ และสิ่งของที่ไม่จำเป็น ฝากไว้ที่โพครา เพราะเราคงไม่อยากเเบกทั้งหมดไว้บนไหล่ ไต่เขาไปที่ยอดความสูง 3210 หรอก ภาพถ่ายต่อจากนี้จะเป็นเนปาล อีกมุมหนึ่ง มุมที่ไม่วุ่นวาย พลุกพล่าน ฝุ่นควัน แต่หลุดเข้าไปอยู่ใน “ธรรมชาติ” เทรคกิ้งครั้งนี้เรามีสมาชิก เพิ่มมาอีกสองคน เป็นสองคนที่เราจะต้องรักและดูแลให้มากๆ พวกเค้าคือ ลูกหาบบบบ!! ห้ามงอแง เอาแต่ใจ เพราะขาดเขา เราตายแน่
พวกเรากล้าลงทุนบนความเสี่ยงมากแค่ไหน? สำหรับพวกเรา ไม่มีทางเลือกแล้ว การมาเทรคกิ้ง เพื่อมาชมยอดเขาในหน้าฝนแบบนี้จะถามศิริ เสิร์จกูเกิ้ลให้ตายยังไงก็ตอบเราไม่ได้ ว่า “ขี้นไปแล้ว…ฟ้าจะเปิดมั้ย?” เดินขึ้นเขา เหนื่อยแทบตายแต่สุดท้ายฟ้าปิดก็จบ ทำได้แค่ สัมผัสหมอกที่ปลายจมูก แล้วก็ลง งานนี้เราก็ได้ลุ้นกันตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราต้องนั่งรถจากโพครา ไปถึง นายาปุล(Nayapul) ที่จะเป็นจุดสุดท้ายบอกลารถ และปล่อยให้ขาทำหน้าที่ต่อ เส้นทางที่รถผ่าน เหมือนมาสะกิดต่อมตื่นเต้น ทำเอาพวกเรานั่งไม่ติด ชะโงกซ้ายทีขวาทีกันทั้งคัน ลูกหาบสองคน นั่งหัวเราะ ความตื่นบ้านนอกของคนเมืองพวกนี้แถมยังแอบโม้ เบาๆว่า “ถ้าวันนี้เมฆไม่เยอะนะ เห็นหิมาลัยหลายยอดเล้ยยย”โอ้ยยยยย ทำไมทำกันแบบ นี้ แล้วทำไมกูได้เห็นแค่นี้หละ วันจริงตอนถึงพูนฮิล จะเป็นยังไงเนี่ย !
ถ้าการเดินเทรคกิ้ง เหมือนการแข่งขันวิ่งมาราธอนชาวบ้านที่ชุมชนนายาปุล คงเหมือนเป็นคนให้สัญญาณ ยิงปืนขึ้นฟ้า ดัง “ปัง!” เพื่อปล่อยตัวพวกเรา ชาวบ้านนั่งชิวหน้าบ้าน คุยกัน นั่งมอง โบกมือทักทาย…พวกนักท่องเที่ยวหน้าแปลก ที่ผลัดเปลี่ยนกันมา เดินผ่านหน้าบ้านของพวกเค้าทุกๆเช้า
เค้าคงชินกับการต้อนรับ คนแปลกหน้าแบบนี้ทุกวัน รวมไปถึงพวกเด็กๆ ที่เรียกได้ว่าแทบจะรู้งานสุดๆ คำแรกที่พวกเด็กๆ ทักจะไม่ใช่ Hello หรือ Nemaste!!! นางจะบอกว่า Thank you !!! 5555 คือถ้าเราอ่านตามพวกรีวิว ก่อนมาเที่ยว มักจะมีคนแนะนำว่า ให้เตรียม ขนม ลูกอม มาไว้แจกเด็กๆด้วย เราก็ทำตามนั้น พวกเด็กๆก็เหมือนรู้งานได้ถูกคนจริงๆ ซึ่งก็ถือเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์สนุกๆ ที่เราขอแนะนำต่อ ว่าหาอะไรติดไม้ติดมือไปด้วย หาอะไรไปแจก เหมือนเป็น นางงามมิตรภาพไปอีก แต่นางงามมิตรภาพ ต้องสยบให้กับเจ้าหญิง!!! เด็กคนอื่นๆจะปรี่ เข้ามาหาเรา แต่มีเด็กคนหนึ่ง เราเห็นนางเปล่งออร่า รังสีหน้าตาดีมาแต่ไกล แต่นางนั่งบนตักแม่ ไม่สนขนม ไม่สนใจพวกหน้าแปลก เราหยิบขนมแล้ว พยักหน้าชักชวน สุดฤทธี์ นางก็ไม่สนใจ แถมยังมองด้วยหางตามา เหมือนจะพูดว่า “เด็จแม่ไม่ได้สอนให้รับอาหารจากคนแปลกหน้า” อื้อออ หือออ แต่ไม่ไหวแล้ว เราว่านางสวยมาก จึงค่อยๆเดินไปใกล้ๆ แทบจะคลานเข่าเข้าไปหา หยิบขนมให้ถึงตัก แล้วบอกว่า “โปรดรับ ของกำนัลเล็กๆ เป็นขนมฮาร์ทบีท จากประเทศไทยเพคะ ” นางจึงค่อยๆ รับ แล้วกระซิบว่า แต้งกิ้ว เบาๆ
หลุดจากหมู่บ้าน สุดท้ายก็เหลือแต่พวกเราแต่ก็ไม่เหงาสักทีเดียว เพราะว่าธรรมชาติ พาเพื่อนมารอรับเราเพียบ หิมาลัยส่งตัวแทนมาเป็นช่วงๆ…
ระยะตีนเขาแบบนี้ เป็นหน้าที่ของ น้ำตก ส่งเสียง กระหึ่มกระห่ำ ตลอดทางที่เราเดินผ่าน แถมไม่พอถ้าเราเดินไปใกล้ๆ หรืออยู่บนสะพานแขวน ลมจากน้ำตก พัดโบกให้พวกเราคลายร้อน ยิ่งกว่าเปิดพัดลมเบอร์ 3 ตอนยืนอยู่บนสะพานแขวน แรกๆก็เสียวนะ เพราะว่ามันสูงมาก มองลงไปก็มีแต่น้ำ แต่พอลมจากน้ำตกตีหน้า มองกระแสน้ำไหลลงมาเรื่อยๆ เพลินๆ พวกเราทั้งหมด ก็ได้แต่ยืนมอง รับลม เหมือนหมาน้อย ยื่นหัวออกมานอกหน้าต่างรถ แลบลิ้นกินลม เป็นครั้งแรก จนลืมไปเลยว่ายืนอยู่บนสะพานแขวนเล็กๆ สูงกว่าพื้น ไม่ต่ำกว่า 10 เมตร… และถึงแม้เดินทางในหน้าฝนจะเป็นความเสี่ยง แต่อย่างน้อย มันก็ชุ่มฉ่ำ และ เย็นชื่นใจ ไม่เจอกับเเดดร้อน เปรี้ยงปร้าง เดินได้เรื่อยๆ ชิวๆ ที่สำคัญ ไม่รู้สึกหิวน้ำมาก
คนไม่เคยออกกำลังกายแบบพวกเรา แค่ทางชันเล็กๆ กึ่งๆ ราบ เดินมาได้สองชั่วโมง เสียงหอบ ก็ดังกังวาล กว่าเสียงน้ำตกแล้ว คำถามที่ฮิตที่สุดที่เราจะถามลูกหาบ … คือ How much further? (อีกไกลแค่ไหน) How many hours untill we get there?(อีกกี่ชั่วโมงเนี่ยยยย?) ลูกหาบที่คอยเดินรั้งท้ายเราตลอด ก็หัวเราะเเหะๆ บอกว่าอีกไกลบ้าง ใกล้ถึงแล้วบ้าง กวนตีนกูช่ายม้ายยยยย….เอาจริงๆ คราวนี้ ปุนนาบอกพร้อมทำหน้าจริงจังขึ้น “ใกล้ถึงแล้ว ผ่านบันไดไป 3,200 ขั้น ถึง Ulleri เลยย” 3,200 ขั้น!!!! จริงหรือเล่นอย่าหลอกกู ลูกหาบบอกว่า “จริง” แล้วพูดให้เราเดินต่อ ว่า “ปะๆ” (นางพูดภาษาไทยได้ นะ คำว่า ปะ คำเดียว555 เป็นคำที่ต้องใช้บ่อยสำหรับอาชีพนี้)
และแล้วก็มีจริงๆ ทางเดินนำไปสู่ หมู่บ้าน Ulleri หมู่บ้านถัดไปที่เราจะไปพักเป็นบันได 3,200 ขั้น งานขาไม่พอ งานเข่าก็มาอีก บอกไว้เลยใครมีปัญหาเรื่องเข่าจะไปพูนฮิล เตรียมผ้าพันเข่าไปด้วยบันไดเพียบ
ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นทวีคูณไปตามขั้นบันไดที่ก้าวขึ้น มุกตลกที่แรกๆปล่อยกันเปรี้ยงปร้าง หัวเราะเฮฮากันลั่นหุบเขา หลังๆเริ่มไม่มีแม้การพูดคุยหรือส่งเสียง เพราะเมื่อไหร่ที่คิดจะเรื่มพูด …ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า เก็บแรงไว้หายใจเหอะ เคยได้ยินมาหลายครั้งแล้ว ว่า “ยิ่งลำบาก ยิ่งหาความสุขได้ง่ายขึ้น” หิมาลัยทำให้เราเข้าใจประโยคนี้ม้านั่งง่ายๆที่ชาวบ้านประกอบขึ้นเมื่อเห็นแค่อยากจะเข้าไปโผกอดแม้กระทั่ง ฮาร์ทบีท ที่เหลือจากแจกเด็กๆ มาถึงตอนนี้พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายแทบจะ ตบตีกันเพื่อแย่งเม็ดสุดท้าย แทบจะบอกว่า กัดแบ่งกินต่อน้ำลายกูก็ยอมเพราะไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า ฮาร์ทบีทมันอร่อยได้ขนาดนี้ แถวเริ่มแตกออกเป็นสองกลุ่มเห็นได้ชัด ว่าใครฟิต ไม่ฟิต แน่นอน เราอยู่กลุ่มหลัง555 แต่กลุ่มแรกก็ไม่ได้ ใจร้ายเกินไป ที่คอยตะโกนส่งความห่วงใยลงมาหา “ใกล้ถึงแล้ววว..เห็นหลังคาบ้านแล้ววว!!!” ขอบคุณที่ส่งเสียงมานะ แต่ไม่มีแรงจะตอบจริงๆ กลุ่มหลังจึงได้แต่ขอบคุณเบาๆในใจ
และในที่สุด บ้านของชาวบ้านง่ายๆ ไม่ได้ตกแต่งหรูหราอะไร หลังคาสังกะสีเก่าๆ แค่เห็นเราก็รู้สึกมีความสุข ยิ่งกว่าได้นอนคอนโดหรูในสุขุมวิท ถึงแล้วว Ulleri ! วันแรกของการเดินทางเราก็ได้พักสักที *เรื่มเดินทางตั้งแต่ประมาณ 10.30-18.00
Good morning
แสงแดดสะกิดเราให้ตื่นสลึมสลือมึนงงอยู่สักพัก ว่าเราอยู่ที่ไหน แล้วก็ระลึกขึ้นมาได้ เรามาปีนเขาอยู่เนปาลนี่หว่าาาา…เรารีบดีดตัวออกจากเตียง เพราะจำได้ว่าเมื่อคืน ลูกหาบบอกว่า ช่วงเช้า หกโมงฟ้าจะเปิดให้รีบออกมาดู น่าจะเห็นยอดเขา แอนนาปุรณะใต้ แต่ก็อย่างที่เห็น น้องแอนนา ยังเขินอายไม่ยอมเผยโฉมให้ดูเต็มๆตาพวกเราก็ได้แต่ยืนเป่าอยู่ไกลๆ หวังให้เมฆ ลอยหลุดไปให้พ้นๆสักที เล่นมุกเป่าไปเรื่อยๆหลังๆเริ่มสนุก เพราะเหมือนมีอะไรเน่าตาย ออ..เปล่าเลิกเล่นละไปแปรงฟันเหอะ 555555
เริ่มออกเดินจาก Ulleri เข้าสู่วันที่ 2 ของการเดินทางของเราวันนี้ เริ่มออกเดินกันประมาณ 9 โมงเข้า ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของเมื่อวาน ยังสะสม แต่ยังดีที่เราพก กอเอี๊ยะ ตราเสือไปด้วย…แปะนอนตอนกลางคืน (ได้ทั้งคลายปวด และให้ความอบอุ่น) ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่เวิร์คทีเดียว ควรพกพาไปด้วยอย่างยิ่ง หมดสภาพบันได เราก็เข้าสู่สภาพป่าอย่างจริงจัง ตามที่ลูกหาบได้บอกไว้เป้ะๆว่าวันนี้จะเจออะไรบ้าง (จะไม่เป๊ะได้ไง พี่แกเป็น พอร์ทเตอร์ ขึ้นเส้นทางนี้มาแล้วประมาณ 60 รอบได้ แกคงจำได้ว่าหินก้อนไหนวางตรงไหน) บรรยากาศวันนี้ ซีเรียสน้อยกว่าเมื่อวานมากกกก
ขบวนของเรา จึงกลับมาเฮฮา เดินกันเสียงดังและซ่าได้เหมือนเดิม แต่ก็อย่าลืมว่ามัวแต่ชื่นฉ่ำเย็นใจจนลืม
GOOD TO KNOW
มองแข้งมองขาตัวเองด้วยเพราะป่าดิบชื้นแบบนี้ตัวทากอาจจะเกาะเข้ง เกาะขาอยู่ก็เป็นได้
หลายคนชอบถามว่า เดินเทรคกิ้งในป่า “เดินทำไม” “ได้อะไร” “สนุกมั้ย?” เราว่าคนที่เคยเดินไม่ว่าจะใกล้หรือไกล คำตอบมันไม่อยู่ในรูปประโยคว่าสนุกไม่สนุก… แต่มันอยู่ที่ความรู้สึกตอนที่เราเดินมันเป็นความรู้สึกที่อยู่กับตัวเองเรารู้สึกว่ามันทำให้เราสงบ ได้สังเกตอะไรรอบๆตัวเราว่าทุกๆอย่างมันมีความหมายในตัวของมันเองสำหรับเรารู้สึกว่าชอบ ชอบเวลาเรารู้สึกแบบนั้น ชอบตัวเองเวลาเดินทาง…
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออออ…ขยี้ตาอีกที เพื่อบอกกับตัวเองป้ายนี้ เขียนว่า Ghorepani จริงๆ! Ghorepani เป็นที่พักพิง สุดท้ายก่อนถึง Poonhill ใครที่จะมาเยี่ยมชม Poonhill ต้องมาพักที่นี่ ในที่สุดเราก็มาถึงบันทึกเวลาไว้น่าจะประมาณ16.00 น.ได้จริงๆควรถึงเร็วกว่านี้ แต่ไปพักทานอาหาร+หลับ กันตอนมื้อเที่ยง แอบงีบเก็บกันไปประมาณเกือบชั่วโมง555(ลูกหาบบอกว่านอนได้ ก็เลยนอน อิๆ) ยิ้มแย้มกันร่าเริ่งเชียวนะ เตรียมตัวเถอะ พอรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นกี่โมง เดี๋ยวจะยิ้มไม่ออกกัน
พอรู้ว่าวันนี้จะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ความพะว้าพะวงก็คอยดึงเราไว้ไม่ยอมปล่อยให้เราหลับสนิทดี ทั้งตื่นเต้น และกลัวตื่นไม่ทัน เชื่อว่าทุกคนก็เป็น เวลาจะไปไหนแล้วต้องตื่นเช้า… แต่คืนก่อนหน้าดันนอนไม่หลับ ชีวิตทรมาน แต่พอใกล้ถึงเวลา เพื่อนที่ชื่อว่าวิตกจริตจะปลุกเราเอง ตีสามกว่าๆ ทุกคนดีดตัวออกจากเตียง การเเปรงฟ้นด้วยน้ำที่เย็นเฉียบ ทำให้สะดุ้ง เราหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง บอกกับตัวเองว่า “สู้สิสู้ อยากมาหนิ!” วันนี้แหละ ไคล์แมกซ์ แล้วโว้ยยยย”
ไทย จีน ฝรั่ง ออกมารวมตัวกันหน้าเกสต์เฮ้าส์ ปุณนา และ รามผู้เป็นลูกหาบของเราก็ด้วย ยืนรอเราอย่างพร้อมเพรียง ไฟฉาย น้ำ กล้องถ่ายรูปพร้อม มัดเชือกรองเท้าแน่นๆ ใจเต้นตึกตักๆเหมือนจะมีแฟน เมื่อสมาชิกครบแล้ว เราก็เริ่มเดิน(อีกแล้ว) เดินต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะไปถึงพูนฮิลกันสักที พูดเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริง ตรงนี้ ปราบเซียน ที่สุด มืด…หนาว…อากาศน้อย…เมื่อย…ง่วง…เพลีย เหมือนเป็นกลุ่มมารผีห่าซาตาน ที่มารุมอัดเราพร้อมกันทีเดียว มันจะคอยบอกว่าไม่ต้องไปหรอก พอเถอะด้านบนไม่มีอะร๊ายย เราก็แปลงร่างเยี่ยงเซเลอร์มูนงชัดอาวุธอย่างเดียวมาสู้ นั่นคือ “ใจ” ของตัวเองอย่างเดียวเลย บอกว่าไหว ก็คือไหว ดันตัวเองก้าวต่อไป ยอดเขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่เราหยุดพักหายใจ พอเงยหน้าขึ้น ยอดเขาทั้งหลาย ก็ค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากความมืด ความงามที่เราเห็นตรงหน้า เป็นกำลังใจให้เราคิดจะก้าวต่อไป ด้วยความที่อยากจะรู้ว่า ถ้าเห็นพร้อมกันทีเดียว 14 ยอด บนพูนฮิล นั้นจะเป็นยังไง กระดกน้ำ 1 อีกแล้วก้าวต่อไป เค้าขึ้นกันมาเป็นแสนเป็นล้านคน เราก็ต้องขึ้นได้สิ
” จะตายให้ได้! ”
คงเป็นคำอธิบาย สภาพร่างกายของตัวเองได้ดีที่สุดและ “จะตายให้ได้” คำเดียวกันนี้ คงเป็นคำอธิบาย ความรู้สึกหลังจากได้ยืนอยู่บนพูนฮิลท่ามกลางบรรยากาศที่ได้เห็น ยอดเขาทั้ง 14 ยอดยืนขึ้นปรบมือให้พวกเราพร้อมๆกัน มันคงบอกว่า “สวัสดีคร่าาาาาา เจอกันแล้วนะคะ ไทยแลนด์” ความเหนื่อย ความท้อแท้ สลายหายไปในพริบตาบอกกับตัวเองเดินอีกสิบรอบก็ไหว 5555 ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง วันนี้ฟ้าสวยมากที่สุดตลอดการเดินทางมาหลายวัน เปิดทางให้แสงเเดดกระทบยอดเขาจากสีขาวเป็นสีทอง
เราชอบอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างด้านบนนี้ ชอบความรู้สึกที่ดีใจและประทับใจที่ได้มาพร้อมๆกัน ยินดีกับความพยายามของตัวเอง ขอบคุณขาสองข้างที่พาเรามา ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงบอกว่า ชายหนุ่มกล้ามโต ก็เสียน้ำตาที่นี่มาแล้ว บรรยากาศทั้งหมด มันทั้งปลาบปลื้มยินดี แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ
สิ่งแรกที่คิดได้หลังจากขึ้นไป คือ จะต้องถ่ายรูป ถ่ายๆถ่ายให้ได้มากที่สุดเก็บไว้ ครั้งหนึ่งในชีวิต เราจะไม่ปล่อยให้โมเมนท์ไหลหลุดลอยไปโดยไร้การบันทึก แต่ถ้าเราหยุดถ่าย เดินไปซื้อชา คุยกับชาวเนปาล คุยกับลูกหาบท้องถิ่นคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ของนักเดินทางคนอื่นๆเอนหลัง นั่งพิจารณาวิวทั้งหมดบันทึกใส่เมมโมรี่ ที่ไม่มีวันเต็มของเราเอง เปิดตามอง ซึมซับด้วยการเปิดตาทั้งสองข้าง เราก็คิดได้ว่า จะมีภาพเยอะๆไปทำไม
ถ้าเราจำความรู้สึก ที่มีต่อบรรยากาศรอบข้างไม่ได้เลย รูปภาพที่คงเป็นแค่ภาพถ่าย เอามาดูอีกครั้งก็ตอบได้แค่ว่า “อ๋อ พูนฮิล เนปาล แต่จำไรไม่ได้ละ” พวกเราไม่อยากให้ ไปไง มาไง มีแต่รูปที่ไร้คำบรรยาย แต่ยังไงก็ตาม.. พูนฮิล ของเราก็จะเป็นพูนฮิล แบบที่เราเจอ ไม่เหมือนกับที่ใครคนอื่นเคยเจอมา ดังนั้นพวกแกก็ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง จะได้มีพูนฮิลในแบบของตัวเองไงเพื่อนๆ เฮ้ !
ความงามของพูนฮิล ทำเอาเราไม่อยากละสายตาและทำให้เราอยากอยู่ต่อ อยู่ไปเรื่อยๆ แต่ความจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เวลาที่ยากที่สุด และเมื่อมันมาถึง ถ้าจะไป ก็ต้องปล่อย หันหลัง แล้วเดินหน้าต่อ และธรรมชาติก็มีเวลาของมันสายๆก้อนแมฆก็เเห่แหน กัน เหมือนม่านมาปิดบังยอดเขาไว้ คล้ายเป็นสัญลักษณ์ว่าหมดรอบละจ้าาาา พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่นะมนุษย์จ๋า
เหมือนถึงพูนฮิล แล้วจะจบ แต่ว่าเปล่า อย่าลืมสิขึ้นเอง ก็ลงเองน้ะ! การเดินทางครั้งนี้จึงดำเนินต่อด้วยเส้นทางขาลง ที่บอกได้เลยว่า ทรหดกว่าหลายเท่า เพราะเดิมทีเส้นทางนี้ ทริปอื่นๆ อาจจะหั่นวันนี้เป็นสองวัน สำหรับพวกเรา ที่มีเวลากันจำกัด เราจึงต้องจัดการวันนี้ ให้ถึงที่หมาย ภายในวันเดียว ที่หมายที่ว่าคือ Ghandruk เมืองหน้าด่านสุดท้าย งานนี้จึงมีอาการร่างพัง ท้อถอย อารมณ์เสีย วันนี้วันเดียวเรียกได้ว่า วัดใจ และวัดมิตรภาพกันแบบสุดๆ
มันไม่ผิดหรอกถ้าเราจะคิดว่าขาขึ้นอะมันยาก ผ่านมาแล้ว ขาลงก็สบายไปเลย เดินลง ชิวๆ ตอนแรกก็คิดอย่างงั้นแหละ แต่พอเอาจริงๆ ก็จะรู้ว่า
สูตรนี้ใช้ได้แค่ ดอยสุเทพเเค่นั้นแหละ เพราะ กับ บันได 3,200 ขั้น มันไม่จริง!!! จะลงแต่ละขั้น กล้ามเนื้อแต่ละเส้นประสานเสียง แม่เจ้าโว้ย
โอ้โห้ว สั่นสะท้านไปทั้งร่างเข้าใจอารมณ์ เช้าวันแรกหลังจากเรียนพละหลังปิดเทอมมามั้ยกล้ามเนื้อมันไม่ได้ใช้งานหนักขนาดนี้ไงจะลงแต่ละที คิดแล้วคิดอีก ละอีกอย่าง พอลงมากๆ คือน้ำหนักร่างเราทั้งร่างอะ มันกระแทกลง เข่าตึงๆ อีกอย่างมันไม่ใช่บันไดคอนกรีต ที่จะเท่ากันทุกขั้นอะ
บ้างเล็กบ้างใหญ่ บ้างลื่น นึกถึงละยังทรมาณเลย รูปนี้ถ่ายไม่ยากนะ เพราะทุกคนค่อยๆหย่อนขา ลงช้าๆ พร้อมกันหมดเลย 555
วันนี้เป็นวันที่ยาวนาน เหลือเกินนานจนเกือบลืมไปแล้วว่าเราตื่นตั้งแต่ตี 4 ชื่นชม พูนฮิล มาแล้ว ยิ่งเดินสภาพร่างกายก็ยิ่งผุพังลงเรื่อยๆ บอกตามตรง หลังๆ เริ่มหมดกำลังใจในการถ่ายรูปเพราะนอกจากกล้ามขาที่กำลังเหนื่อยล้ากล้ามคอก็เริ่มเรียกร้องสิทธิในการพักผ่อนเหมือนกัน
ตอนขาขึ้น เราเกิดความสงสัยจนอดไม่ได้เลยจนถามปุณนา “ถ้ามีคนป่วย ทำไงอะ” ปุณนา ตอบหน้าตาเฉย “ก็แบกลง” ห้ะ?!? แบกของไม่สงสัย
แบกคนเนี่ยแหละ ท่าไหนเนี่ย วันนี้ได้เห็นจะๆตาตอนแรกพี่เเกเดินมา เห็นแต่ด้านหน้าก็งงๆว่าพี่เค้าจะกางร่มให้ของทำไมพอเดินเลยไปเท่านั้นแหละหันกลับไปมองอาเเปะ ส่งยิ้ม จากข้างหลัง น่ารักเชียวแบกคน ท่านี้นี่เอง
นี่ใบ อะไรเอ่ย ? บอกเลยว่า หาได้ง่ายมากก ตามรายทางสิงห์รมควัน ที่หลงไหลน้อง กัญ โยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถวนี้ได้เลยนะ ไม่ต้องลำบากปลูกเอง แถมเด็ดได้เองตามสะดวก แต่ถ้าใครมาชั่วครั้งชั่วคราวน้องกัญ จะสมบูรณ์แบบ เมื่อมีดอกออกซึ่งปุณนา บอกว่าช่วงที่เหมาะเจาะที่สุด ก็คือช่วงมีนาคม เอ้า จองตั๋วกันเร็ววว
แล้วเราก็เริ่มเจอนาขั้นบันไดสัญลักษณ์เล็กๆ ว่า เราใกล้ถึงชุมชนแล้ว ตอนนี้ประมาณ 6 โมงเย็น เรากำลังจะถึง Grandruk วันนี้ทั้งวัน เราเริ่มตั้งแต่ ตี4 ประมาณ 1 ทุ่ม เราถึงได้วางของลงจากบ่า อาบน้ำกันสักที
พูดถึงมาก็มากไอ่สองคนเนี้ยะ แหละ พอร์ทเตอร์ ร่วมชีวิตของเรา คนที่หน้าแขกๆหน่อย อันนั้น ราม รามไม่ค่อยพูด เดินอย่างเดียว เดินนำลิบลิ่วตลอดๆ แรกๆนึกว่าเป็นคนเรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วหลังๆโคตรตลก นางเผยร่างจริงก็ตอนก่อนขึ้นพูนฮิล สงสัยรามไปโดน น้องกัญ มามั้ง มานั่งหัวเราะ ด้วยตอนกินข้าว นางพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ ตัดปัญหาด้วยการหัวเราะอย่างเดียว บอกให้เต้นก็เต้น บอกให้รำก็รำ สนิทกันก็วันนั้นแหละ คนหน้าจีนๆ เชื้อสายธิเบต อันนั้นปุณนา ปุณนารับหน้าที่กองหลังคอยคุมเป็นคนสุดท้าย ไม่ว่าเราจะเดินช้าแค่ไหน ปุณนาจะเป็นคนหลังสุด คอยเป็น เอนเตอร์เทนเนอร์ เปิดเพลงจากมือถือให้เราฟังและที่สำคัญที่สุด มันอำเราตลอดทางเดินอีก ครึ่งชั่วโมง มันบอก สองชั่วโมงหลอกนั้นหลอกนี่ หลอกไปเรื่อยอยู่กับมันก็ตลกดี บางทีมันก็พูดตลอด เราไม่ได้ตอบไม่ได้หยิ่งนะ แต่กูเหนื่อย 555
ยินดีที่ได้รู้จักนะทั้งสองคนหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราได้รู้จักกัน
ชาวเขาคนสุดท้าย เราเดินมาถึงจุดสุดท้าย จุดที่รถจี๊ปมารอรับเรา เพื่อนั่งกลับไปสู่ โพคราเหมือนเดิม
ป้าแก กำลังเตรียมตัวแบกหญ้าขึ้นไปที่บ้านบนเขานู่น ป้าแกยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนทุกๆคนที่เราเจอมาตลอด 3 วัน ขอบคุณเนปาล ที่ทำให้เรามีความสุขสุดๆแล้วเราจะไม่ลืมเลย
****ถ่ายป้ารูปแรก เอาให้แกดูแกจับๆกระโปรง อารมณ์กระโปรงแกเบี้ยวแล้วไล้ให้เราไปถ่ายใหม่ 555ป้าบอกให้เรารู้ว่าเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยนะ
หลังจากที่เมื่อคืนมาถึงโพคราได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่เช้าวันใหม่ ก็ถึงวันที่เราต้องบอกลา ลาก่อนโพครา เกสต์เฮ้าส์ โยโกฮามา ซิ่งรถมาส่งเราถึงท่ารถเปิดประตูรถกำลังจะเอาเท้าลง ตากระตุก หยุดชะงักเลย เมื่อเจอฉากนี้นี่มันจะเกินไปแล้วววววว เหมือนใครเอาบิลบอร์ดขนาดใหญ่แล้วเพ้นท์รูปภูเขา มันเป็นภาพที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว เป็นอีกฉากที่บอกได้เลยว่า ไม่เชื่อสายตาตัวเอง มุ่งหน้าสู่ความวุ่นวายอีกครั้งที่กาฏมัณฑุ
เมื่อถึงกาฏมัณฑุ การท่องเที่ยวของเราไม่มีการหยุดพักมาอีกที่ ที่ๆตั้งใจไว้ตั้งแต่กอนมาแล้วว่าต้องมาให้ได้วัดปศุปฏินาถ วัดสำหรับการทำพิธีเผาศพ ตามความเชื่อ ศาสนาฮินดู เผากันสดๆ เหมือนทีพาราณาสี อินเดีย เพราะว่าแม่น้ำพัคมาตี แห่งนี้ จะไหลลงไปรวมกับแม่น้ำคงคา แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตามศาสนาฮินดู บรรยากาศที่นี่ ยอมรับเลย ว่าหดหู่มีเสียงร้องไห้ คร่ำครวญของญาติมีมาให้เราได้ยินกันตั้งแต่ซื้อบัตร ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าไป
ศพค่อยๆลำเลียงเข้ามาในวัดอย่างไม่ขาดสาย บนโลกนี้มีคนตายทุกๆวินาที ทำให้วัดนี้ไม่มีปิด พิธีกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ 24 ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวอย่างเรานั้นสามารถซื้อบัตรได้ถึง 1 ทุ่มเท่านั้น พวกเราไปกัน 4 คน เป็นช่วงที่เงียบสำหรับเรา ไม่มีคำอะไรจะอธิบายยิ่งมืดเท่าไหร่บรรยากาศ ยิ่งน่าเกรงขามเท่านั้น เราเชื่อว่าคนตายเป็นคนที่ไปสบาย จิตใจคงไปที่สูง ที่เหลือคืนดินคงเป็นเพียงกายหยาบๆเท่านั้น เราเห็นญาติๆร้องไห้กันระงม ยิ่งเชื่อในสิ่งที่คิด คนตายไปสบายจริงๆนะ เหลือแต่คนเป็นนี่แหละ ที่ต้องทุกข์กับอนาคตที่ยังไม่รู้จะเป็นยังไง .. ขอบคุณที่ทำให้เราได้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต อีกด้านที่เป็นความจริง ที่ทุกคนจะต้องยอมรับมันให้ได้
และเป็นอีกด้านที่ไปเที่ยวไม่ได้ ไม่มีใครไปแล้วกลับมาให้ถามว่า “เฮ้ยยยย ไปไง มาไง อะ” มีแต่ไปแล้วไปลับหว่ะเพื่อนๆ 5555
#อย่าเศร้าสิ อุตส่าห์ติดตลกให้แล้วนะ
พูดตรงๆว่าอาหารเนปาลตั้งแต่กินมาไม่มีจานไหน พูดได้เต็มปากว่า อร่อย!!!
แต่ในที่สุดเราก็เจอ สิ่งที่ต้องลองเค้าเรียกมันว่า หม้อไฟธิเบต (GYA KOK) เอาเป็นว่าค่อยมีรถชาติขึ้นมาหน่อยเพราะอาหาร เนปาล ที่กินๆ มาตลอดทั้งทริป โอ้ยยยย อยากจะเอาน้ำปลาลงไปสาด GYA KOK เป็นเมนูปิดท้ายทริปที่ดีของเรา อยากให้ทุกคนไปลอง เอ้อ ร้านหม้อไฟธิเบต จะมี Tibetian Beer อยากให้ทุกคนไปลองด้วย อารมณ์เหมือนหล้าขาวภูมิปัญญา กลืนทีรู้เลยวิ่งลงไปถึง ตรงไหนของลำไส้ และที่สำคัญ ถูกมากกก
บทสรุปทริปเนปาล
ขอบคุณเนปาลที่ทำให้รู้ว่าขานั้นแสนมีประโยชน์ ขอบคุณที่ทำให้รู้จักคำว่าพยายามและอดทน ที่แลกมากับวิวสวยๆบนพูนฮิลของยอดหิมาลัย ราคานี้ไม่มากมายเกินไปสำหรับคนพยายามเช่นกัน เก็บเงินซัก 2000-3000 ภายในหนึ่งปีได้ไปแน่นอน แล้วอย่าลืมถ่ายรูปมาฝากพวกเราด้วยนะ