“ Merhaba (แม-ฮาร์-บาร์) : สวัสดี Istanbul “ เราเองก็พึ่งเคยได้ยินชื่อของเมืองสองทวีปอันโด่งดังนี้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ทั้งๆที่มันเป็นจุดหมายยอดฮิต ของชาวEuropeans เพราะพวกนางมองว่าแค่ 5 ชั่วโมงบนเครื่องบิน
ฉันก็กลับไปโม้ เบะปากใส่เพื่อนได้แล้วว่า “I have been to Asia” จ้า
แต่กลับกัน Istanbul ยังไม่ติดในท๊อปลิสต์ของทัวร์ไทย ทัวร์จีนและประเทศแถบเอเชีย
ทั้งๆที่เราสามารถสัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์ พร้อมกับซึมซับวัฒนธรรมลูกผสม
แถมพูดได้ไม่อายใครเหมือนกันว่า “กรูก็ไปยุโรปมาแล้วนะโว้ยยยย” ในงบที่ไม่ทำให้กระเป๋าแบนๆฉีกขาดซะด้วย
GOOD TO KNOW…
ศาสนาประจำชาติตุรกี คือ อิสลาม ซึ่งเขามีคำสอนที่ว่า “ผู้หญิงเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่า จึงต้องมีสิ่งปกปิดทั่วร่างกายพวกหล่อน”
ทำให้สาวเล็ก สาวใหญ่แทบทุกคน จะต้องโพกหัวเป็นอย่างน้อยที่สุด
ซึ่งเรามองว่านอกจากเป็นการปฏิบัติตามประเพณี ความเชื่อแล้วนี่คือด่านพิสูจหนังหน้าอันแยบยล ใครไม่สวยจริง ต่อให้แต่งหน้าเต็มแค่ไหน คือ ดับ!
ตุรกี ไม่ใช่ประเทศแรกที่ไปเที่ยว แล้วจะโดนจู่โจม เข้าประชิดตัวจากคนท้องถิ่น เพื่อขอถ่ายรูปด้วย อาจด้วยลักษณะหน้าจืดๆ ตาขีดเดียว และสีผมที่ดูยังไงก็เป็นของแปลกตา ครั้งนี้เราตกกลุ่มเป้าหมายของการทำการบ้าน ซึ่งเกี่ยวกับแบบสอบถามนักท่องเที่ยว พิธีการไม่มีอะไรมาก แค่ตอบคำถามภาษาอังกฤษ และถ่ายรูปคู่ด้วยเป็นอันจบ เวลาจะใช้มาก-น้อย ขึ้นอยู่กับสำเนียงของเด็กแต่ละคน ถ้าใครที่ฟังยากมาก มันก็จะยื่นกระดาษมาให้อ่าน แล้วให้เขียนตอบเองเลย ที่สนุกก็คือ ชุดคำถามเหมือนกับที่เคยโดนถามที่บาหลีเป้ะ! นี่มาตรฐานการศึกษาต่างชาติเขากว้างไกลเนาะ 555
ตัวอย่างคำถาม ก็ได้แก่ คิดยังไงกับที่นี่ ชอบอาหารอะไรที่สุด ซึ่งอันนี้ก็จะแอบรำพึงในใจ ว่าจะถามทำไม ถ้ายังไงอาหารประเทศเมิง ล้วนประกอบจากขนมปัง ชีส มะเขือเทศ และเนื้อย่าง กินแรกๆก็อร่อยดี แต่สามวันผ่านไปเท่านั้นแหละ น้ำพริก มาม่า ปลากระป๋องควักมาเลยจ้า แซ่บสู้กันไม่ได้จริงๆนะ!! อ่ะๆ แต่เราก็ต้องปั้นยิ้มสยาม ตอบเด็กๆไปว่า “I like Kebab very much (ไอ-ไลค์-เค-บับ-เว-รี่-มัช)” เด็กมันก็ทำหน้างง อะไรวะ อีคนไทยนี้พูดอะไรวะ หันไปซุบซิบๆกัน แล้วก็
“อ๋อออ ก่ะบับบ!” พร้อมหัวเราะรัวๆจนตัวสั่น
“ Moda street,Asia’s side “
นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาตุรกี มักใช้เวลาส่วนใหญ่บนฝั่งยุโรป แต่เราขอยืนยัน ชูสามนิ้วเลยว่า มาเที่ยวตุรกี ยังไงก็ต้องมาฝั่งเอเชียให้ได้! ซึ่งวิธีข้ามฝั่งที่นิยมกัน ก็คือ การล่องเรือข้าม Bosphorus (บอส-โฟร-รัส) ปกติ พวกเรือท่องเที่ยว แบบมีไกด์บรรยาย แวะจอดตามแลนดฺมาร์ก จะมีราคาตั้งแต่ 10 TL (เตอกิช-ลีลา) ขึ้นไป และมักใช้เวลารวมไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ก็ถ้าใครที่ไม่ได้อินกับความแกรนด์ของทะเลสองทวีปนี้มากนักหรือไม่ได้มีแพลนจะกินข้าวเย็นสุดหรูบนนั้น ก็เดินต่อไปอีกนิด เพื่อไปขึ้นท่าเรือข้ามฝาก แต่ช้าก่อน ! อย่าจินตนาการถึงเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาราคา 2 บาท
เรือข้ามฝากที่นี่ เป็นเรือใหญ่ 3 ชั้น มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปถ่ายรูป มีชาแอปเปิ้ลเสริฟ ได้อารมณ์ไม่ต่างกับเรือท่องเที่ยวเลย แต่จ่ายน้อยกว่าเกินครึ่ง และประหยัดเวลากว่าเยอะ เราไม่ได้หาข้อมูลสถานที่เที่ยวฝั่งนี้มามากนัก เลยเลือกที่จะเดินตามกลุ่มคนไปเรื่อยๆ รุ้ตัวอีกที ก็พาตัวเองไปอยู่บน Moda Street อันคึกคักซะแล้ว ตลอดทั้งสาย จะอัดแน่นไปด้วยร้านค้า ตั้งแต่เสื้อผ้ามียี่ห้อ อย่าง Mango outlet ไปจนถึงร้านขายแผ่นเสียงที่ไม่มีป้ายชื่อ พอเลี้ยวมั่วๆต่อไปอีก ก็ดันโผล่กลางตลาด เจอร้านขายส่งอุปกรณ์ทำขนมอารมณ์สำเพ็ง แทรกตัวอยู่กับร้านขายอาหารที่คนท้องถิ่นต่อคิวรอกิน
“ A guy like you. “
สิ่งที่หาได้ง่ายใน Istanbul พอๆกับดอกทิวลิปที่มีอยู่ทุกมุมเมือง ก็คือ ผู้ชายหน้าตาดี ประเมินแล้วว่า ร้อยละ 90 ของคนที่เดินสวนกันไปกันมา จะมีดั้งที่โด่งแบบเชื่อมกับหน้าผาก ตาหวานเยิ้มที่เห็นแล้วต้องเลียปาก หนวดเครานิดๆ มีกล้ามเบาๆ ได้ลุคนายแบบโฆษณานีเวีย โดยส่วนตัวมีความเห็นว่าผู้ชายฝั่งเอเชียจะแซ่บกว่านิดนึง เพราะมหาลัย โรงเรียน และบ้านเรือนอยู่ฝั่งนี้เยอะกว่า เลยเหมือนมีสยาม ที่เป็นแหล่งโชว์ตัวอยู่แถวนี้
ตลอด 3 วันที่นี่ เดินผ่านเหล่าหนุ่มๆตุรกีแต่ละที ทำใจเต้นแรงมากกกกกก หัวใจแทบหยุดเต้นอ่ะ เอางี้ เพราะอะไรรู้มะ?
.
.
.
จักแร้พวกนางเหม็นมาก !
นี่เป็นข้อเสียข้อเดียว ที่สามารถหักล้างสิ่งดีๆที่บอกไปข้างบนได้อย่างหมดจด นี่ขนาดอากาศยังไม่ร้อน ขึ้นtram ช่วงคนเยอะเมื่อไหร่ เตรียมควักยาดมมารอได้เลย ฮือ น้ำตาจะไหล
“ หิวหอย “
หลังจากรู้สึกว่าท้องเริ่มจะผูก เพราะทานแต่เนื้อย่างในเคบับทุกวัน เลยออกตามหาของกินใหม่ๆ ในเน็ตบอกมาว่า แถวสะพาน Galata (กา-ลา-ตาร์) ในฝั่งยุโรปจะมีอาหารทะเลขาย มีทั้งแบบเป็นร้าน ซึ่งรายการอาหารจะหลากหลายกว่า ราคาสูงหน่อย (20 TL ขึ้นไปต่อจาน) หรือเป็นแบบรถเข็นข้างทาง ซึ่งเมนูจะจำกัดกว่าได้แก่ เบอเกอร์ปลา หรือ Balik Ekmek (บา-ลิก-เอ้ก-เม้ก) หรือตรงๆคือการเปลี่ยนไส้Kebab เป็นปลาย่างนั่นเอง บางเจ้าดีหน่อย ปิ้งขนมปังและปรุงรสปลาให้ด้วย แต่บางเจ้าก็ให้ขนมปังแข็งๆกับปลาย่างจืดๆ ฝืดคอจนกินน้ำตามแทบไม่ทัน และอีกเมนู คือ หอยไส้ข้าว ซึ่งเป็นเมนูโปรดของเรา , หอยไส้ข้าว อันนี้เรียกเอาเอง เพราะมันไม่แปะชื่อบอกไว้ ลักษณะโดยละเอียดของมันคือ หอยแมลงภู่ยัดไส้ข้าวที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศให้ออกเผ็ดหน่อยๆ นึ่งให้สุกแล้วบีบน้ำเลมอนก่อนทาน รสชาติกจะหวานๆเปรี้ยวๆกรึบๆ อร่อยยย! ราคาตกหอยละ 1 TL หรือประมาณ 16 บาท คือคิดในใจตั้งแต่ตอนนั้นละ ว่าเดี๋ยวโดนโก่งราคาแน่ๆ เพราะเห็นคนงานก่อสร้างที่มากินก่อนหน้า กินไปเยอะมากเป็นสิบๆตัว แบบอีกนิดก็จะนั่งกินในร้านอาหารได้ละ เลยกะว่า แค่ลอง 1 ตัวแล้วไปกินอย่างอื่นให้อิ่มดีกว่า แต่พอชิมเท่านั้นแหละ เอามาอีกยี่สิบหอยก็ไหว กวาดทั้งทะเลมาก็สู้อ่ะ!
“ ตามล่า Magic hour “
ที่จริงอ่านในเน็ตมาละแหละ ว่าถ้าอยากดูพระอาทิตย์ตกบน Galata tower ในหน้าร้อนให้ทำใจว่าจะต้องเบียดเสียดกับคนนับล้าน วันแรก ดูมาละว่าพระอาทิตย์ตก 19.45 กะว่าไปถึงซักทุ่มนึง ต่อแถวอีกครึ่งชั่วโมงน่าจะพอดี แต่เปล่าเลย ไปถึงนิแถวยาวแทบจะม้วนรอบตึก ประกอบกับหิวโซมากเลยยอมแพ้ไว้มาใหม่ วันที่สอง พระอาทิตย์ตกเวลาเดิม ไปถึงตั้งแต่ 17.30 เลยจ้า รอคิว 1 ชั่วโมงเต็มถึงได้ขึ้น และต้องไปต่อแถวข้างบนตึกเพื่อออกไปชมวิวข้างนอกอีก เพราะไม่ได้เป็นลานดาดฟ้ากว้างๆ ใช้เวลาอยู่บนนั้นนานจนกระทั่งพระอาทิตย์จมหายไปในทะเล
สรุปคือ อยู่ที่นี่เกือบ 2ชั่วโมงครึ่ง เสียเวลามาก แถมค่าเข้ายังแพงยับ (18 TL) ถ้าใครไม่อินกับเมจิค อาวแบบเรา ก็ไม่ต้องขึ้นหรอก พี่เราบอกก็เหมือนชมวิวพระอาทิตย์ตกแม่น้ำเจ้าพระยาอ่ะ
- Topkapi palace (ท้อป-คา-ปิ)
เป็นวังที่ใช้มาเนิ่นนานเป็นร้อยๆปี ซึ่งปัจจุบันถูกดัดแปลงมาเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ข้างในใหญ่มาก แบ่งเป็นหลายโซน วันที่ไปอากาศดีก็เลยเดิน
เพลินๆไป 3ชั่วโมง แต่ละห้องจะแสดงเครื่องใช้ อาวุธ เสื้อผ้าในสมัยก่อน หลายห้องห้ามถ่ายภาพ การจัดแสดงเขาก็จะบอกว่า ของชิ้นนี้เกิดในสมัยใคร ซึ่งบางสมัย ก็จะนิยมใช้พลอย คนใหม่ขึ้นมา ก็จะไม่ยอมเหมือนกัน เปลี่ยนไปใช้เพชรบ้าง ทองบ้าง ไข่มุก กระดูกสัตว์ ต่างๆกันไป ตั๋วเข้าชมแยกส่วนฮาเร็ม หรือ ส่วนที่พักของเหล่าเมียๆของสุลต่านออกมาต่างหาก ซึ่งในเน็ตบอกว่า สวยมากก ห้ามพลาด เราก็โม้ให้ที่บ้านฟังใหญ่เลย ไปดูจริงๆคือเฉยมาก ห้องที่สวย ก็คือห้องพักสุลตาลแหละ ห้องเมียๆก็ธรรมดา ใช้สีพาสเทลให้ดูหญิงๆหน่อย เดินวน 30นาทีจบ ตังค์หายไป 15 TL
อ่ะๆ ทิ้งท้ายๆ แถวซื้อตั๋วมีสองแบบ คือ ซื้อกับคน และซื้อกับเครื่อง ทั้งสองทางเลือกได้ว่าจะจ่ายเป็นเงินสด หรือบัตรเครดิต ซึ่งแปลกแต่จริงว่าซื้อกับคนเร็วกว่าหนะ
- Hagia Sophia
โด่งดังเรื่องการตกแต่งจากแผ่นโมเสค หรือการใช้หินแผ่นเล็กๆ หลากสีมาแปะทีชิ้นให้เป็นภาพเหมือนจริง เช่นรูปข้างล่าง คือ รูปพระเยซูกับจอห์น และพระนางมารี ซึ่งแสดงสีหน้าลำบากใจ ถึงความรู้ด้านศิลปะ และศาสนาคริสต์จะเป็นติ่งเกือบศูนย์ แต่ก็พบว่าเป็นงานละเอียด และสวยมากๆ ส่วนด้านข้าง ที่เป็นเพดาน ปัจจุบันเป็นสีเพ้นท์ลอกๆ เพราะไม่มีงบมาบูรณะ จริงๆ รอบโบสถ์นี้ มีอีกหลายรูปที่ยังคงสภาพโมเสคไว้ได้ เป็นร่องรอยที่สะท้อนความเจริญของศาสนาคริสต์ในยุคหนึ่งได้อย่างดี ก่อนจะถูกบุกยึดแล้วกลายเป็นประเทศมุสลิม ที่นี่เราเดินอยู่ไม่ได้นาน ประมาณชั่วโมง ก็เมื่อยคอ ที่ต้องแหงนส่องรูปบนเพดานตลอดเวลาแล้ว
- Blue mosque
มัสยิดใหญ่ของที่นี่ ซึ่งจะทำใจหยุดเต้นอีกละ เพราะต้องถอดรองเท้าเข้า กลิ่นตีนทั้งไทย จีน ฝรั่ง แขกก็ปนกันไปดิ คือสวยมากนะ แต่ไม่ไหวอะ รีบดู รีบออก จะเป็นลมแล้ว!! เนื่องจากที่นี่เป็นมัสยิดที่ยังใช้อยู่ ดังนั้นจึงมีข้อห้ามนิดนึง คือไม่สามารถเข้าชมช่วงเวลาละหมาดได้ ใครจะแวะมา ต้องกะเวลาดีๆหละ แล้วก็ให้เดินไปต่อคิวเข้า จากประตูด้านหลัง แถวสั้นกว่า อันนี้คนที่ยืนคุมเขากระซิบบอกเรามา อ้อ! ที่นี่ไม่เสียตังค์ค่าเข้านะ แต่บริจาคได้ตามศรัทธา
- Dolmabahce palace (โดล-มาล-บาช)
เป็นวังอันใหม่ ยังมีสภาพสมบูรณ์เกือบทั้งหมดอยู่ จะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ และห้ามถ่ายรูปด้านใน แค่ดูจากด้านนอก ก็จะเห็นแล้วว่า ลักษณะการตกแต่งออกสไตล์ตะวันตกจ๋า แสดงถึงความบ้ายุโรปของสุลต่านคนสุดท้าย ที่ใช้เงินท้องพระคลังจำนวนมาก ไปทุ่มให้กับการสร้างโถงสูง ที่ประดับแชงเดอเลียวิบวับอะไรยังงั้น เป็นร้อยๆห้อง ที่พีคสุด คือโถงอันสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุด ไว้ใช้เป็นห้องสำหรับจัดพิธีฉลอง เมื่อจบเทศกาลถือศีลอด ซึ่งอนุญาติให้เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น เจ้าหญิงทั้งหลาย ได้แค่นั่งมองจากระเบียงที่กั้นไว้ ….เศร้าเน้อะ ความประทับใจต่อวังนี้ คือทั้งวังทำจากไม้จ้ะ อ่ะๆ นึกภาพเสาต้นใหญ่ๆอ้วนๆ ที่ตั้งเรียงเป็นแกนในโบสถ์วัดบ้านเราตามนะ เออ สิ่งนั้นแหละ ที่นางใช้ไม้ทำ แล้วค่อยเพ้นท์ลายให้ดูเหมือนเป็นหินอ่อนเอา อะเมซซิ่งมาก ขยันเกิ้น
NOTE : ที่นี่ปิดเพิ่มวันพฤหัสบดี ต่างจากที่อื่น ที่ปิดเฉพาะวันจันทร์
และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวัน ทำให้ตั๋วอาจขายหมดก่อนเวลาปิดจริงๆได้ เผื่อเวลากันนิดนึงเน้าะ และเป็นที่เดียว ที่ไม่รับบัตรเครดิตสำหรับค่าตั๋วและร้านขายของที่ระลึก
- CAPPADOCIA หรือ “เมืองบอลลูน”
เวลาใครไปตุรกีกลับมาก็ต้องโดนเพื่อนถามว่า “ได้ขึ้นบอลลูนป่ะ?” ซึ่งก็ตอบตรงนี้เลย “ว่าได้จ้ะ” (ทำหน้าสวยๆใส่คนถาม1ที) แล้วทำหน้าเศร้าบอกเพื่อนต่อว่า..”แต่วันที่ขึ้นฟ้าดันไม่เปิด และลมไม่ค่อยมี ทำให้บินไม่ได้นานและถ่ายรูปออกมาไม่สวยเหมือนโปสการ์ด” ฮือออออ
#อยู่ดีๆเงินกูก็หายไปร้อยกว่ายูโร ปลิวไปกับอากาศ เมืองนี้เราจะถูกปลุกด้วยเสียง “ฟู่ ฟู่” ทุกเช้า
- Kapadokya
ถ้าจะพูดจาแบบกรุ๊ปทัวร์อาม่าต้องบอกว่าที่นี่แคว้นที่ติดtop list ของสถานที่ ที่ควรไปชมด้วยตาก่อนตายโด่งดังด้วยท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยบอลลูนทุกเช้า และสวยงามด้วยทัศนียภาพปล่องไฟยึกยือสีส้ม-ขาว
CITY FACTS
เป็นแคว้นที่ประกอบด้วยเมืองเล็กๆหลายเมือง อยู่ติดๆกัน ซึ่งไกด์บอกเรามาว่า ‘หลายล้านปีก่อน เกิดภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทุกหนทุกแห่งเคลือบด้วยลาวาเดือดจัด จนพื้นดินดันตัวโป่งขึ้น แล้วค่อยๆโดนลม+ฝนแทะจนเป็นรูปปล่องไฟทรงแหลม ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Fairy chimney เนื่องจากมีคนไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็เลยต้องบอกว่านางฟ้าเป็นคนสร้างขึ้น’HOW TO GET HERE
CAPPADOCIA ตั้งอยู่กลางๆประเทศ สามารถนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน Navshir หรือ Kayseri ได้ ราคาไม่แพงไปกลับประมาณ 2,000 บาทเอง หรือจะนั่งบัสมาให้ตูดพอระบมนิดหน่อยก็ถึงINTRODUCTION
การเที่ยวเองในแคว้นนี้ทำได้ไม่ยาก หรือใครอยากชีวิตง่ายหน่อย ก็มีทัวร์หลายสีจัดไว้ในเลือกสรรเต็มไปหมด แต่ถ้าไปหลายคน ขับรถเอาก็น่าสนุกดี อยากแวะตรงไหนก็ได้แวะ ครั้งนี้เราไปกับครอบครัว ไม่ได้ขับเอง เพราะรถที่นี่เป็นพวงมาลัยซ้าย บวกกับสังเกตแล้วว่า ถนนแคบ และชันขนาดนี้ไม่น่ารอด จึงขึ้นบัส และซื้อทัวร์บางอันเอา
ความประทับใจแรก เมื่อมาถึง Cappadocia คือ กระเป๋า 3 ใบที่โหลดมาไม่ตามมาด้วย เอาละมึง ซวยละไงกู เสื้อผ้า สายชาร์จ เครื่องสำอางค์(นี่กูต้องหน้าสดเที่ยวหรอ) อาหารแห้งที่อุตส่าห์แบกมา หายไปแบบไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็เสียเวลาทำเรื่องไปชั่วโมงกว่าๆ และไปเช็คอินโรงแรมด้วยอารมณ์นอยๆ ซึ่งเราเลือกพักที่เมือง Goreme ในโรงแรม Cave house คือ ไม่ได้อยากเท่ ทั้งแคว้นมันมีโรงแรมประเภทนี้ประเภทเดียว (แต่ก็กะอัพรูปอวดละ ว้าย นอนในถ้ำนะยะ) ตอนแรกที่อ่าน condition แล้วพบว่า ” ไม่มีแอร์ !” ก็แอบหวั่นๆใจ แต่ช่วงที่ไปก็ยังหนาวอยู่ และเจ้าของโรงแรมก็โม้ว่า ถ้ำแบบนี้เก็บความอุ่นได้ดีในหน้าหนาว และคลายความร้อนออกในหน้าร้อน เลยไม่ต้องติดแอร์
กว่าจะจัดการอะไรเสร็จก็บ่ายโมงแล้ว โรงแรมปลอบใจว่า ไม่ต้องห่วงนะ สายการบินนี้มันก็ทำหายประจำ เดี๋ยวเย็นๆก็ได้คืน แล้วก็ทำใจดี ขับรถลงมาส่งที่ Goreme open air museum ซึ่งเป็นWorld heritage ที่ใครๆก็ต้องมา ทำให้เจอเพื่อนคนไทยที่ไม่ได้นัดหมายซะงั้น แต่ก่อนจะได้เข้าไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็ต้องพบความจริงตอนจะซื้อตั๋วว่า ลืมแลกเงินตุรกี คนขายตั๋วบอกเดินย้อนไปทางในเมือง 5 นาทีก็มีที่แลกแล้ว
ที่ไหนได้ 5นาทีมัน คือ 1กิโลแบบขึ้นเนิน 5นาทีแม้ว กับ5นาทีตุรกีคงไกลพอกัน เดินจนหอบ
ความเก๋ของเมืองนี้คือมี audio guide ให้เช่าด้วย แต่ถ้าขี้เกียจแนะนำให้เดินใกล้ๆทัวร์ จะเป็นทัวร์ไทย หรือทัวร์ฝรั่งก็ได้ เลือกซักภาษาที่ฟังออก
จะช่วยให้เข้าชมอย่างคุ้มค่าบัตร แบบเงินไม่ไหลออกจากกระเป๋าซักบาทตีเนียนประหนึ่งเป็นลูกทัวร์ 55555555
หลังจากเดินไปเกือบๆ 2 ชั่วโมง ก็เริ่มเหงื่อแตก เพราะถึงอากาศจะเย็นๆ (10-15 องศา) แต่แดดก็แรงพอจะทำให้อยากกินอะไรเย็นๆ อ่านรีวิวมา น้ำส้ม และน้ำทับทิมคั้นสด เป็นสิ่งที่ต้องชิม เหมือนไปเชียงใหม่ต้องกินแคบหมูซึ่งจริงๆที่ไหนก็มีแคบหมูขาย เหมือนน้ำส้มนี่แหละจึงจ่ายไป 10 TL
ซึ่งมาค้นพบทีหลัง ว่าที่อื่นขายแก้วละ 1 TL “ไอ่แขก หลอกกูอีกแล้ว !!”
“ขนมหวาน(ชิบหาย)”
Goreme เป็นเมืองเล็กๆ ร้านขายของที่ระลึกมีของเหมือนกันทุกร้าน เวลาถามราคา ทำใจกล้าๆแล้วต่อไปเลยครึ่งนึง ใจใจไปเลย มุขต่อราคาไหนใช้ที่จีนได้ผล ก็ใช้ที่นี่ได้ผล เช่น การเดินหนีออกนอกร้าน มันจะเรียกเอง
มาพูดถึงไฮไลต์ด้านของหวานกันมั่ง หนึ่งเลย ไอศครีมตุรกี ที่มีแขกใส่เสื้อกั๊กแดง มาโชว์ตลกใช้ดูเป็นสัญลักษณ์ จากการเฝ้าสังเกตติดตามดูแล้ว
ทุกคนจะใช้มุขเดียวกัน ราวกับถูกสอนมาจากโรงเรียนขายตรงถึงวิธีจูงใจลูกค้า และสอง Turkish delight อันโด่งดัง หรือวุ้นน้ำเชื่อมใส่กลิ่นแต่งสี เราก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้น้ำตาลในเลือดต่ำหรืออะไรทำไมถึงชอบกินอะไรหวานขนาดนี้
“ตกลงจะ Rose หรือจะ Red ?”
- Rose valley
คือชื่อสถานที่ ที่เราจะปีนขึ้นไปเพื่อชมพระอาทิตย์ตกกัน เราเริ่มเดินสายนิดหน่อย ทำให้ไม่มีเวลาอ้อยอิ่งมากนัก ทั้งๆที่ตลอดทางเดินขึ้นมันสวยมาก ภูเขาหน้าตาประหลาด ค่อยๆสลับสีไปเรื่อยๆ ถ้ำเล็ก ถ้ำน้อยที่คนสมัยก่อนใช้เป็นที่อยู่อาศัย บ้างแต่งเป็นห้องทำไวน์ บ้างแต่งเป็นโบสถ์ เหมือนที่มีจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
เราใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมง แบบมีไกด์นำ โชคร้ายไปหน่อยที่เย็นนี้ฟ้าปิด ทำให้เราไม่เห็นอีกที่นี่ในอีกชื่อนึง คือ Red valley ที่ทั้งเขากลายเป็นสีแดง ชมพูเนื่องจากแสงอาทิตย์สาดนั่นเอง ทางเดินขึ้นที่นี่ไม่ยาก ทางลงยากกว่าเยอะ ซึ่งก็เหนื่อยมากสำหรับคนไม่ออกกำลังกายแบบเรา แต่พอได้เห็นวิวจากบนยอด ก็คุ้มมากนะ ดังนั้นทุกคนควรใส่รองเท้าที่มีดอกยาง สามารถยึดเกาะได้ดีมานะ
“หิว”
ร้านอาหารที่ถามไกด์มา รอนานมาก ไม่รู้จะอร่อยอะไรกันนักกันหนา รอเกือบชั่วโมงสิ่งที่สั่งไป คือ Pottery kebab มีให้เลือกว่าจะใช้ไก่ เนื้อ หรือแกะทำ ซึ่งมันคือการเอาเนื้อย่างแบบ kebab ไปตุ๋นในหม้อปั้นดินเผา แล้วมาทุบ เปิดฝาให้กินกันที่โต๊ะ แบบว่าวิธีการนำเสนอเต็มสิบ รสชาติค่อยว่ากัน…
ต่อไป อาหารว่างระหว่างรออาหาร ได้แก่ ขนมปัง มันไม่ได้มาแบบแผ่นๆฟาร์มเฮ้า แต่มาเป็นก้อนยาวและหนาเท่าแขน ซึ่งบางร้านให้จิ้มกินกับชีสผงๆ (แล้วไปเดินตลาด พบว่าชีสชนิดนี้ขายใส่กระสอบวางบนพื้นเลยงี้) หรือจิ้มกับน้ำมันมะกอก และผงเครื่องเทศ ก็อร่อยดี อ้วนดีด้วย และกิจกรรมอีกอย่างที่ฮิตมากในร้านอาหาร คือ ชิชา หรือบารากุที่บ้านเราเรียก คนดูดกันเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ ดึก และราคาพวกไส้ ถ่านก็ถูกจนกลัวว่าจะเป็นของปลอม
“Up in the sky”
วันนี้เราโดนปลุกจากโดยมีชายแปลกหน้ามาเคาะประตูห้อง ตอนตี4.45 ! เด้งขึ้นมาจากเตียง ในหัวตีกัน เอาไงดีวะกูๆ เปิดไม่เปิด แต่ถ้าใครจะมาทำมิดีมิร้ายเวลานี้ ก็ไม่น่าจะเคาะห้องปะวะ…เลยค่อยๆย่องไปแง้มประตูอย่างหวั่นๆใจ และโรงแรมนี้ก็ดันไม่มีรูให้ส่องดูหน้าก่อนอีก เปิดไปปุ้ป เขาพูดมาว่า “Balloon flight?” โอ้ยซวยละไง กูลืม กูยังอยู่ในชุดนอน และกูจะไม่ยอมหน้าสดไป เพราะต้องถ่ายรูป!!
หลังจากรีบสุดชีวิต ก็โดนเอามานั่งรอที่สำนักงานของ Butterfly balloon ซึ่งจริงๆแล้ว มีบอลลูนหลายเจ้า หลายราคามาก แต่เราเลือกที่นี่ เพราะใช้เวลาบินนานกว่า จำนวนคนน้อยกว่า และได้ชื่อว่าปลอดภัยกว่า เนื่องจากเขาจะเปลี่ยนจุดปล่อยตัวบอลลูน ตามสภาพลมในวันนั้นๆ เพื่อให้การบินราบลื่นที่สุด ด้วยความที่มัวแต่ศึกษาลม กว่าจะได้ไปขึ้นบอลลูนจริงๆ คือ 6.15 ฮืออ เอาเวลานอนกูคืนมาาา
วันนี้เราได้ปล่อยตัวในจุดที่ห่างจากบอลลูนเจ้าอื่นๆพอสมควร ตอนรอเขาเตรียมบอลลูน ก็จะเห็นบอลลูนจำนวนมากลอยอยู่บนฟ้าเรียบร้อยแล้ว แถมฟ้าก็ครึ้มลงเรื่อยๆ ทำท่าเหมือนฝนจะตก ยิ่งเพิ่มความหวั่นในใจ ว่า ตกลงกูจะได้ขึ้นไหม นี่ไฮไล้ของทริปเลยนะ ไม่มานี่กลับไปโม้ให้ใครฟังไม่ได้นะเว้ยย!
หลังจากเวลาผ่านไป 15 นาที ข่าวดีก็มาถึง ถึงเวลาปีนขึ้นบอลลูนแล้ว สภาพบอลลูนของจริงก็เหมือนที่เราเคยวาดรูปสมัยป.3กันนั่นแหละ คือมีส่วนบอลลูนที่ไว้อัดความร้อนจากแก็ส และพาส่วนตะกร้าที่มีคนยืนให้ลอยขึ้น ตอนแรก แม่เรากลัวมาก ตอนที่บอกว่าจะพาไปขึ้นบอลลูนนะ ชีโวยวายใหญ่เลยว่า ไม่เอา กลัวๆๆ แต่พอถึงเวลา บอลลูนมันลอยขึ้นช้าๆ ไม่สั่น ไม่โอนเอนเลย เหมือนถูกยกขึ้นตรงๆจนสูงมาก แบบเห็นคนที่พื้นเป็นจุดสีดำเล็กๆ
เวลาในวันหยุดนี่ผ่านไปเร็วจังเน้าะ ก็เหมือนที่เขาบอกแหละ ว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ เหมือนกับเวลา 90 นาทีบนบอลลูนของเรา ที่ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้สัมผัส Cappadocia ในวันที่อากาศดีที่สุด ฟ้าเป็นสีเทา ทำให้ถ่ายรูปไม่สวย และลมไม่มี ทำให้บินไปได้ไม่ไกล แต่การได้มองภูมิประเทศโลกพระจันทร์ของที่นี่ ผ่านมุมสูง ได้บินลอดหุบเขาสีชมพู สลับส้ม ได้รู้ตัวอีกครั้ง ว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ มันก็ทำให้หัวใจเราพองโตมากแล้ว และเราคงกลับมาขึ้นบอลลูนที่นี่อีกครั้งแน่ๆ หวังว่า วันนั้นจะเป็นวันที่เราสามารถถ่ายรูปให้สวยเหมือนในโปสการ์ดน่ะ : )
Green tour
แล้วฝนก็ตก ตรงเวลาที่apps ในไอโฟนบอกเป้ะ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่เรานัดคนให้มารับพาไปเที่ยว Green tour ถึงจะชื่อทัวร์สีเขียว แต่ก็ไม่ได้พาไปเก็บขยะ หรือปลูกป่าแต่อย่างใด มันคือทัวร์ที่พาไปทางใต้ด้านตะวันตกของ Cappadocia เราเปลี่ยนใจเลือกใช้บริการทัวร์ ทั้งๆที่เสียเงินทำใบขับขี่สากลมาแล้ว เพราะสังเกตแล้วว่าแค่จากที่พัก ลงมาตัวเมืองก็คงไม่รอด หลงซะแล้ว เนื่องจากทางรถผ่าน กับทางเดินมันคนละเส้น ดังนั้นขอจ่ายเงินแลกความสบายละกันเนาะ โดยทัวร์นี้เราจองกับโรงแรมเลย เพราะราคากับโปรแกรมเที่ยว เหมือนไปจองเองเป้ะ และได้ของแถมเป็นรถรับส่ง จากสนามบินเรา 1 ขา มูลค่า 40 ยูโรด้วย เอาจริงๆเราไม่ประทับใจสถานที่เที่ยววันนี้เท่าไหร่ อาจเพราะอากาศมันทึมๆ ฝนตกปรอยๆเรื่อยๆทั้งวัน แถมตื่นเช้ามากอีก เลยถ่ายรูปมาน้อยมาก
พูดถึงที่แรกที่เราตรงดิ่งไป คือ Goreme panorama view point คือ จุดชมวิวเมือง ที่สวยมาก แต่พึ่งดูอะไรแบบนี้มาจากการขึ้นบอลลูนเมื่อกี้ เลยเหมือนถูกกรอเทปซ้ำอีกรอบ ไม่มีความตื่นเต้นใดๆเหลืออีกแล้ว
จากนั้นก็นั่งรถยาวไป 1 ชั่วโมง เพื่อชมเมืองใต้ดิน ชื่อว่า “Derinkuyu”
คนในสมัยก่อนใช้ที่นี่เป็นสถานที่หลบภัยช่วงเกิดสงคราม ซึ่งเมืองใต้ดินอันนี้ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดแล้ว แต่ยังเชื่อกันว่า มีเมืองใต้ดินอีกนับร้อยที่ไม่ถูกค้นพบ และทั้งหมดถูกขุดให้เชื่อมกัน เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมทั้งแคว้น!! เพื่อส่งต่ออาหาร และเพื่อความปลอดภัย ระบบการจัดการของเมืองใต้ดินมันดีจนน่าทึ่ง อย่างแรกสุด บ่อน้ำ คือจุดที่ลึกที่สุด และทุกชั้นจะเชื่อมกับมัน เพื่อการไหลเวียนของอากาศ ต่อมาทางเดินขึ้นลง ถูกทำให้เตี้ย แบบแทบต้องนั่งยองๆแทนการเดิน และมีความชัน เพื่อสร้างความลำบากให้ศัตรู หากบุกเข้ามาได้ ส่วนโบสถ์ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ แต่กลับไม่มีสัญลักษณ์ใดๆบ่งบอก นอกจากการขุดให้เป็นรูปไม้กางเขน ซึ่งเราชอบมาก คลาสสิคสุด สุดท้าย แสงสว่าง ได้มาจากการกลั่นพืชที่หมักไว้มาเป็นน้ำมัน นำมาใส่ตะเกียง ซึ่งอันนี้เราไม่ค่อยชัวร์ว่าคือพืชอะไร เพราะถามไกด์แล้วมันบอก มันไม่รู้ … อ่าว เห้ย ไรวะ!?
หลังจากชมเมืองใต้ดินเสร็จ ก็เที่ยงตรงพอดี ไอ่เราก็นึกว่าจะได้กินข้าวแล้ว เพราะอาหารเช้าที่โรงแรมไม่ถูกปาก เลยทานได้น้อย ท้องจึงเริ่มส่งเสียงเบาๆ แต่…ไม่จ๊ะ! ไกด์บอกว่าจะพาไปเดินป่าที่ Ihlala valley ก่อน ซึ่งนั่งรถไป 1 ชั่วโมง และเดินอีก 4กิโลนะ ถึงจะเป็นเวลาของอาหารเที่ยง…. ว้อทททททท!! Lunch ที่นี่ เขากินกันตอนบ่าย 2.30 หรอวะ!!!! แต่มากับทัวร์ เท่ากับคุณไม่มีสิทธิ์เลือก ก็นั่งแทะแครกเกอร์ที่หยิบติดมาจากบนเครื่องไป ท้องร้องต่อไปนะ….
ร้านอาหารที่พาไป เป็นร้านสำหรับพาทัวร์มาลง แต่ยังดี ที่ไม่ใช่อาหารจีน ลักษณะร้านจะติดริมแม่น้ำ ซึ่งไกด์นิภูมิใจนำเสนอมาก ว่านี่จะพาไปร้านที่บรรยากาศดีสุดๆเลยนะ พวกยูวต้องชอบแน่ๆ พอเห็นปุ้ป อยากจะตอกหน้ากลับไปว่า อยุธยาก็มีแล้วแบบนี้ แถมอาหารอร่อยกว่านี้ด้วยนะเว้ย!!
แต่สิ่งนึงที่ชอบก็คือ เขาทำที่นั่งยื่นลงไปในแม่น้ำ โอเค มันอาจจะดูไม่รักโลก แต่มันชิวมากนะ คนท้องถิ่นจะไปนั่งจิบชาแอปเปิ้ล และดูดบุหรี่ท่ามกลางธารน้ำใสไหลเย็นกันหลังเสร็จอาหารมือหลัก ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะตารางเที่ยวเลทมากต้องรีบไปเก็บ RC ที่อื่นต่อ
จุดเก็บ RC ต่อไปของเรา คือ Selime Monastery
สถานที่ ที่คนติ่ง star wars บอกว่า มันคือหนึ่งในโลเคชั่นถ่ายทำหนัง แต่รัฐบาลก็แย้งว่า มิใช่ๆ แค่ได้ inspire มาเท่านั้น เพราะช่วงที่ข่าวหลุดออกไป เป็นช่วงเดียวกับที่ตุรกีมีเหตุวุ่นวายทางการเมือง จึงไม่อยากให้เกิดข้อกล่าวอ้างว่าสนับสนุนคนนอกชาติมากกว่า ไรงี้ ก็จริงๆ ก็ไม่มีไรมาก เป็นถ้ำสูงมีหลายห้อง เหมือนที่เห็นใน Open air museum มาแล้ว แต่มันจะอยู่สูงหน่อย เห็นวิวชัดดี แต่แบบฟ้าทึมๆอะ ฮืออ…
ต่อมา เรานั่งรถกลับมา 2 ชั่วโมง และแวะ Pegion valley ที่ซึ่งในรีวิวบอกว่า สวยงามมาก เต็มไปด้วยนกพิราบ เป็นจุดชมวิวที่ควรค่าแก่การแวะ
แต่พอรถเราจอดปุ้ป ฝนตกปั้ป ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงนก คนขายของยังไม่อยู่เล้ยยยยย ทุกคนในทัวร์ ทั้งเจ้ก ทั้งฝรั่ง จึงพร้อมใจกันขอกลับที่พัก
และไม่แวะ Uchisa castel ปราสาทถ้ำทรงแหลมอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นโปรแกรมสุดท้ายในทัวร์
“สุดท้าย”
เช้าวันสุดท้ายที่นี่ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ที่คนเคยบอกว่า “ฟ้าหลังฝน งดงามเสมอ” ไม่ใช่แค่คำพูดหลอกเด็ก ในแง่ของความจริงทางธรรมชาติอะนะ
เพราะเราถูกปลุกตอนเช้าตรู่อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ด้วยเสียงเคาะห้อง แต่เป็นเสียง ”ฟู่ ฟู่” ของบอลลูน!!! เมื่อคว้ากล้อง และเสื้อคลุมทับชุดนอน ออกมาก็เจอบอลลูน ลอยอยู่บนฟ้าใสๆ ไร้ซึ่งเงาเมฆแบบเมื่อวาน เออๆ ทริปนี้ ไม่ได้มากับโชคจริงๆว่ะ
โปรแกรมวันสุดท้าย ค่อนข้างสบายๆ โดยเริ่มจากการนั่งรถเมลล์คนละ 2.5 TL ไปชมปราสาท Uchisa ที่เมืองข้างๆ ตัวปราสาทไม่มีอะไร วิวก็สวยเหมือนเดิม คือถ้ามาที่มีวันแรก ก็คงจะกดชัตเตอร์ไม่ยั้งอะนะ แต่นี่ดื่มด่ำมา 2 วันเต็มละ เลยแบ่งเวลาไปเดินช้อปแทน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานเยอะไม่น้อย เพราะต้องต่อปาก ต่อคำกับพ่อค้าที่นี่ ซึ่งพูดเก่งไม่แพ้คนจีน แถมมีการชงชาแอปเปิ้ลให้จิบ เพื่อขยายเวลาการโฆษณาสินค้านั่นเอง ก็ ตลกดีนะ ทำเออ ออ กับมันไป แล้วสุดท้ายก็ไม่ซื้อ 555555
อย่างที่เคยบอก ของประเทศนี้ คล้ายกันหมดทุกเมือง ทุกร้าน ลองเดินถามราคาหลายๆร้านดูก่อน แล้วถ้าเลือกได้แล้ว ก็ต่อแหลกกกกก อย่าเกรงใจ แขกก็ตั้งราคามาฟันเราแบบไม่เกรงใจเหมือนกันแหละ เคยต่อผ้าพันคอไหม จาก 120 เหลือ 40 TL แต่สุดท้ายก็ไม่ซื้อ 555555 สะใจ
“ฟ้าหลังฝน”
ที่ต่อไปคือ Pasabage เป็นจุดชมวิว(อีกแล้ว) คือตอนถามที่โรงแรมมา มันบอกให้เดินเอา 1กิโลจิ้บๆ เอาละไง กูเริ่มกลัว 1 กิโลของมัน แต่เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆละ เดินก็เดิน อือหือ…ร้อนชิบ แบบหนังหัวสามารถไหม้ได้ ทั้งๆที่อากาศ 20องศา แล้วเป็นการเดินที่ดูไร้จุดหมาย ถ้าใครเคยไปภูกระดึงจะเข้าใจ สภาพแบบตอนปีนเขาขึ้นมาครึ่งวัน พอถึงพื้นราบ กูก็นึกว่าจะรอดแล้ว แต่ไม่จ๊ะ เดินตรงๆต่อไปอีกเรื่อยๆ แค่นั้นยังไม่พอ พอเดินไปถึงปุ้ป มีรถเมลล์มาจอดจ้า อีแขกกก หลอกกูอีกละนะโว้ยยยยย !!!!!
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ ก็โบกแท็กซี่ต่อไปที่เมือง Avanos เมืองขึ้นชื่อเรื่องเครื่องปั้นดินเผา เป็นเมืองที่มีความเป็นเมืองกว่าที่อื่นๆ คือ บ้านเรือนเป็นอิฐ ปูนแบบสมัยนิยม ก็ไม่มีอะไรมากคือถ้าเคยไปเชียงใหม่ ผ่านการโชว์ปั้นหม้อ และเพ้นท์ลายแบบ original ตุรกี ก็ถือว่ามาเดินชมเมือง ชมคน
ซึ่งเราก็เดินไปเจอไปรษณีย์พอดี เลยแวะเข้าไปส่งโปสการ์ดซะหน่อย คนที่นี่ก็ใจดีเหลือเกินเห็นเจ้กทำตัวเลิ่กลั่กก็เดินมาช่วย แต่พี่แก ดันไม่พูดภาษาอังกฤษ หยิบตังค์ในมือไป หยิบสแตมป์มาแปะให้ คือ ความพีคอยู่ที่ อยากแย่งสแตมป์มาแปะเองมั่ง แต่หันซ้ายขวาก็ไม่เจอไอ่ฟองน้ำที่เอาไว้แตะๆอะ เลยหันไปมองว่ามันแปะไงวะ งง เลียให้กูจ้า เลียแบบแพร่บๆเลยนะ ชุ่มช่ำชัวๆ ก็ถ้าใครได้โปสการ์ดจากเราไปลองดมๆดูด้วยละกัน 55
บทสรุปของเมืองสองทวีป “ภูเขา บอลลูน แสงแดดและกลิ่นแขก”
ตุรกีเป็นอีกประเทศที่อยากแนะนำให้ไป (คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าตุรกี) เราจะได้เห็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่าง ยุโรปและเอเชีย เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ สุดท้ายใครๆก็อยากรู้ว่าใช้ไปกี่บาท.. . 65,436 บาทสำหรับประสบการณ์ 1 อาทิตย์ (ราคาอาจจะดูสูงไปนิดเพราะบินตรงจากกรุงเทพ) ใครที่สนใจอาจจะแวะเปลี่ยนเครื่องก็ได้ มีให้เลือกหลายสายการบินมากๆ ทั้งแวะเปลี่ยนที่ดูไบ มอสโคว หรืออาบูดาบี จะทำให้ประหยัดกว่านี้ได้ค่อนข้างเยอะ เอาหละ ขอให้ตุรกียังอยู่ในหัวใจทุกคน หยอดกระปุกแล้วไปขึ้นบอลลูนกันเถอะ :)