คนเอเชียอย่างเราๆ ถ้าให้เลือกทริปในฝันก็คงอยากไปไหนซักที่ไกลๆ ไปคนละทวีป ไปดูอะไรใหม่ๆ แล้วถ้าตัดชอยส์ออกเหลือซัก 2ที่ ระหว่าง แอฟริกาใต้ กับ อเมริกาใต้ อย่างหลังอาจต้องใช้เวลานึกนานซักหน่อยว่า “เอ๊ะ กูอยากไปนะ แต่มันมีอะไรวะ!?” แต่ถ้าแอฟริกาใต้นี่ไม่ต้องนึกนานเหมือนจะสั่งอาหารตามสั่งก็ตะโกนเอากระเพราไข่เจียวได้อย่างง่ายดาย แอฟริกาใต้ในความรู้สึกของคนบ้านเราก็จะหนีไม่พ้นสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย Big 5 และชนเผ่าที่แต่งตัวแบบจัดจ้านและมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ
แต่น้อยมาก ที่จะรู้ว่าแอฟริกาใต้มีเมืองตากอากาศอีกเมืองนึงคือเมือง “เดอร์บัน” (Durban) เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศชายทะเล มีมหาสมุทรอินเดียคอยซัดคลื่นลูกใหญ่ให้สาวๆ เดอร์บันร้องว้าย ร้องว้ายเวลาเล่นน้ำ แถมยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าซูลู อ่ะ! คุ้นอีกหละสิ ซูลูคือเผ่าที่ไม่ยอมจับมือขวา แต่ยื่นซ้ายมาจับมือกันมั่น ต้นแบบและที่มาที่ไปของเพลงที่เด็กไทยที่เรียนลูกเสือน่าจะร้องได้ทุกคน
Going Places Together
เราออกเดินทางกับสายการบิน Qatar Airways จากกรุงเทพ แวะเปลี่ยนเครื่องที่โดฮา ก่อนยิงยาวๆ มาแอฟริกาใต้ ทริปนี้เดินทางด้วย Business Class ทุกไฟลท์ นี่คือ World’s Best Business Class 2016 ตัวจริงเสียงจริงแถมทริปนี้ยังได้ลองนั่งเครื่องบินมากถึง 3 แบบคือ B777 ,A380 และ 787 Dreamliner สุดคูลไปเลยค่า
ช่วงโดฮาถึงเดอร์บัน Qatar Airways ให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ 787 Dreamliner ที่น่าประทับใจมาก เพราะส่วนตัวเราเป็นคนเกลียดการนั่งเครื่องบินนาน ยิ่งถ้ามีคนชอบเปิด ปิดหน้าต่างเพื่อดูว่ามันมีอะไรวะ แล้วก็ปิด! แต่ Dreamliner สามารถปรับระดับความสว่างของหน้าต่างได้ โดยไม่ต้องเปิดปิดบ่อยๆ ก็เห็นว่าข้างนอกมีอะไรแล้ว ถ้ามันสวยมาก และอยากถ่ายจริงๆ ก็ปรับเพิ่มให้สว่างนิดนึงก็ง่ายต่อชีวิตและเพื่อนร่วมทางก็ไม่ลำบาก
แถมที่นั่งก็จัดแบบเป็นส่วนตัวมาก คือมีทางเดินเข้าออกเป็นของตัวเอง เพราะจัดแบบ 1 – 2 – 1 ไม่ต้องไปเบียดกับใครแถมเบาะก็นอนยาวๆ พร้อม Orxy Entertainment ที่มีหนังมากกว่า 1,000 เรื่อง และ Wine List ระดับโลกที่สาวกแอลกอฮอล์ไม่ควรพลาด ส่วนเราหรอ… นอนดูการ์ตูน อยากกินเมื่อไหร่ก็สั่ง ไม่จำเป็นต้องรอกินพร้อมชาวบ้าน สบายใจแปปเดียวก็ถึง
ภาพแรกที่ออกจากสนามบินที่เห็นแล้วอุทานเบาๆ กับตัวเองในใจว่า “ทำไม มันเขียวและดูสวยขนาดนี้วะ!” นี่เป็นการมาทวีปแอฟริกาครั้งแรกของเรา ภาพในหัวตอนเด็กๆ คือแอฟริกาใต้คือ นิเชา 555555 เลวเนอะ แต่นึกออกแค่นี้จริงๆ ว่ามันต้องเป็นดินแดงเยอะๆ แห้งแล้งและวุ่นวายเหมือนอินเดีย แต่สิ่งที่เห็นมันเหมือนยุโรปและอเมริกาช่วงขับรถข้ามเมืองต่างๆ ที่ดูรวมๆ แล้วคือสวย
Dancing with ZULU!
วันแรกเบาๆ ของเราเริ่มต้นด้วย ทางเหนือของเดอร์บันที่หมู่บ้าน Phezulu Village ที่นี่จะจำลองวัฒนธรรมของเผ่าซูลูที่ดั้งเดิมของเมืองนี้ พร้อมดู Zulu Dance Show กับกล้ามแน่นๆ ของพี่ซูลู 5555555 และเจ๊ๆ ที่เต้นมันส์เหลือเกิน ยกเท้าเตะทรายสะบัดก้นและเดินไปด้วย นึกว่าอมิตา ทาทายังมาเต้น Dhoom Dhoom ให้ดู
จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่เส้นทางที่เรียกได้ว่าสวยอีกเส้นหนึ่งของเดอร์บันคือ The Midlands Meander ระหว่างทางจะมี Landscape ที่สวยงามของเมือง สลับสับเปลี่ยนเป็นเขาน้อยใหญ่ที่ว่ากันว่ามีมากกว่า 1,000 ลูก พร้อมกับร้านอาหารดีๆ Luxury ไร่องุ่น ร้านช็อปปิ้ง จนถึงร้านอาหารที่เรียกได้ว่าขับแวะ ขับแวะ ได้ตลอดทั้งวัน
จนถึงไป Nelson Mandela Capture Site ที่นี่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวของวีรบุรุษคนนี้ Mandela เคยถูกคุมขังอยู่ที่นี่เป็นเวลานานกว่า 30 ปี เพราะต่อต้านการเหยียดผิวระหว่างคนขาวและคนดำ ที่นี่มีอินสตอลเลชั่นเก๋ๆ เป็นแท่งเหล็กหลายๆ แท่งที่ดูแล้วจะวางตัวเป็นหน้าของ Nelson Mandela เราว่าการมาถึงแอฟริกาใต้ นอกจากจะมาดูอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างสัตว์ต่างๆ แล้ว การมาเรียนรู้ที่มาที่ไปของวัฒนธรรมและการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันในสังคมก็เป็นอะไรที่น่าสนใจและไม่ควรเพิกเฉย ถ้ามีเวลาควรใส่ไว้ในลิสต์ด้วย
ทำความเข้าใจเพิ่มนิดนึงตอนแรกเราเข้าใจว่า เดอร์บันเป็นจังหวัดในแอฟริกาใต้ แต่จริงๆ แล้วเดอร์บันคือเมืองๆ นึงในจังหวัด KwaZulu – Natal โดยที่ทั้งแอฟริกาใต้จะมีทั้งหมด 9 รัฐหรือจังหวัดใหญ่ๆ นี่แหละ แล้วแยกออกเป็นเมืองย่อยๆ อีกที ถ้าเปรียบเป็นกรุงเทพ เดอร์บันก็เหมือนฝั่งธนฯ นั่นเอง 55555 เห็นภาพมะ?!
Meet the Hippos family
เราขึ้นเหนือไปประมาณ 3 ชั่วโมงจากเดอร์บันเพื่อไปดูสิ่งที่เรียกว่าเป็นมรดกโลก The iSimangaliso Wetland Park (อิสิมันกาลิโส) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำบน Lake St.Lucia ความอุดมสมบูรณ์ของมันทำให้มีทั้งฉลาม ฮิปโปและจระเข้ อีฉลามและจระเข้เนี่ยอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารและกินกันไปกินกันมา ส่วนฮิปโปนางเป็นเวจจี้กินแต่ผักแต่หญ้าดันอ้วนซะงั้นแถมมีมากถึง 1,200 ตัวเชียวนะ เรือก็จะเล่นไปเรื่อยๆ ประมาณ 1- 2 ชั่วโมงพร้อมอาหารว่างกรุบกริบยามบ่ายที่หน้าตาน่าทานแต่รสชาติก็อีกเรื่อง
ที่นี่เป็นที่เดียวในแอฟริกาใต้ที่สามารถแล่นเรือเข้าไปดูฮิปโปได้ใกล้ชิดมากขนาดนี้เพราะมันเป็นสัตว์ที่ฆ่ามนุษย์มากที่สุดในโลก ดุมากและหวงพื้นที่อาณาเขต ถ้าเราเข้าไปใกล้พื้นที่มัน มันจะทำให้เราตายแต่ไม่กินเราเค้าบอกว่าฟันของมันนี่มีความแข็งแรงโคตรๆ จนขนาดที่ว่าควีนอลิซาเบ็ธและวินสตัน เชอร์ชิล ยังเอาฟันของฮิปโปมาทำเป็นฟันปลอม และหน้าตาของฮิปโปน้อยนี่ก็จิ้มลิ้มน่ารัก
Game is ON
มาถึงไฮไลท์ของแอฟริกาใต้กันซักทีนั่นคือการเล่น Reserve Game หรือออกไปส่องสัตว์และวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบReal Wildlife จริงๆ
เราขอแยกออกเป็น 2 ส่วน จริงๆ แล้วการเล่น Reserve Game จะมีทั้งแบบอุทยานแห่งชาติใหญ่โต และพื้นที่ของโรงแรม แต่อย่าคิดว่าพื้นที่ของโรงแรมจะเหมือนดูสัตว์ในสวนสัตว์ ขอบอกว่าไม่ใช่นะจ๊ะ!! เพราะพื้นที่ของโรงแรมมีมากเป็นร้อยไร่ เค้าจะปล่อยสัตว์ที่ไม่ดุร้ายวิ่งเล่นเหมือนอยู่ในทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ตามอัธยาศัย แล้วเราก็ต้องขับรถตามหาสัตว์กันเอง อีพื้นที่จำกัดที่ล้อมรั้วเนี่ยก็ขับวนกันจนเหนื่อยแล้วจริงๆ นะ 5555555555
เราพักกันที่ Ubizane Wildlife Reserve ความดีงามของมันคือห้องพักแบบ Lodge เป็นบ้านเหมือนบังกะโลแยกเป็นหลังๆ ตั้งเรียงกันในป่าแถมมีระเบียงให้สูดอากาศยามเช้า และห้องก็ตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเจนกับทาร์ซานพลอดรักกันกลางป่า เราจะได้ยินเสียงสัตว์น้อยใหญ่ร้องระงมกันตลอดทั้งคืน แถมดาวบนฟ้าก็นะ เดี๋ยวจะหาว่าอวย! ชัดมากถึงมากที่สุด
เจ้าหน้าที่ชื่อ Alan เป็นคนขับรถพาเราเล่น Reserve Game บริเวณโรงแรม เค้าบอกว่าขนาดล้อมรั้วอย่างมิดชิดแบบนี้ ยังมีคนแอบเข้ามายิงสัตว์ป่ากันได้อยู่เลย ที่นี่เคยมีน้องแรดอยู่ด้วยกัน 5 ตัวแต่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ตัวเดียวแล้ว น่าเสียใจจริงๆ
เราเล่นกันพอหอมปากหอมคอ 2ชั่วโมงก็เตรียมตัวกลับไปนอนเพราะเช้าอีกวัน ต้องรีบตื่นแต่เช้าเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ เพื่อเล่น Reserve Game ของแท้ ชนิดที่ว่าถ้าลงจากรถอาจมีสัตว์กระโจมเข้ามาใส่ได้ตลอดเวลา!
Oldest proclaimed nature reserve in Africa!
HLUHLUWE-IMFOLOZI PARK นี่เป็นอุทยานอนุรักษ์ที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาใต้ และเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก Yellow Stone ที่สหรัฐอเมริกา ข้อห้ามของ Reserve Game คือห้ามลงจากรถระหว่างอยู่ในอุทยาน ห้ามเข้าใกล้สัตว์ ห้ามให้อาหาร และระวังสัตว์ทำให้เกิดอันตราย
ชาวยุโรปทั้งหลายส่วนมากจะเช่ารถมากันเองจากเดอร์บัน และสามารถนำรถส่วนตัวเข้ามาได้เลย แต่ถ้าไม่ก็จะเป็นรถจากโรงแรมที่พักนั่นแหละขับกันเข้ามา ถ้าใครสนใจเราแนะนำว่าให้เลือกที่พักก่อนเป็นอันดับแรก และซื้อทัวร์พ่วงเข้าไปด้วยเลยจะดีที่สุด เพราะจะมาพร้อมกับคนขับรถและข้อมูลต่างๆ อย่างแน่นปึ๊ก!
เราเริ่มเล่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ทริคที่ไกด์บอกกับเราคือ ตอนกลางวันสัตว์มันก็ขี้เกียจเหมือนเราๆ นี่แหละ มันจะนอนหลบใต้ต้นไม้ ไม่ค่อยออกมาเดินเพ่นพล่านให้พวกเราเห็น และจะออกหากินตอนกลางคืนกับตอนเช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าอุทยานห้ามเข้าหลังพระอาทิตย์ตกดิน เวลาที่ดีที่สุดในการเล่นคือช่วงเช้ามืดจนถึงสายๆ
รถก็จะขับเข้าไปเรื่อยๆ วนไปวนมาในอุทยานประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อรอบ ปวดฉี่แค่ไหนก็ต้องอดทน เพื่อตามหาสัตว์ชนิดต่างๆ ที่น่าค้นหา อย่างที่บอกว่านี่เป็นอุทยานเปิด อย่าจินตนาการหรือมโนว่ามันจะเหมือนในสารคดีที่เจอ ชนิดที่ว่าขับไปได้ 100 เมตร สิงโตกำลังขย้ำกวาง หรือขับไปอีกนิดม้าลายกำลังคลอดลูก และช้างเดินผ่านแม่น้ำส่งเสียงร้องกันอย่างสนุกสนาน 55555555 ถ้าอยากเห็นแบบนั้น แนะนำเลยว่าให้ไปดูเมาคลี ลูกหมาป่า เจอหมดแน่นอน
ความเป็นจริงคือ มันต้องใช้เวลาค่อยๆ งมหากันไปพร้อมกับการเดาว่ามันน่าจะอยู่กันแถวนี้นะ ไกด์ที่เป็นทั้งคนขับด้วยจะสังเกตจากกลิ่น รอยเท้า และช่วงเวลาประจำนี่มันน่าจะออกมาหากินกันแถวนี้บ่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ รอบนี้เราเจอไม่ครบทั้ง Big 5 ขาดเสือดาวกับช้างป่า เพราะเป็นพื้นที่ๆ รถเข้าไปไม่ถึง ต้องโชคดีจริงๆ มันถึงจะเดินออกมาให้เห็นกัน แถมสิงโตที่เราเห็นก็เดินแว๊บไปแว๊บมา พร้อมกับซากเนื้อที่มันพึ่งลากมากินกันสดๆ แอบอยู่ในพุ่มไม้ ทำให้พลาดโอกาสในการถ่ายรูปมาให้ดู
แต่!! น้องยีราฟ ควายป่าไบซันที่สามารถฆ่าสิงโตและเป็นสัตว์ที่อันตรายมากที่สุดในป่า เพราะมันชอบโจมตีแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง น้องแรดที่แอบกินหญ้าอยู่หลังพุ่มไม้เงียบๆ แบบอายๆ ลิงค่างและนกอีกหลายประเภท และม้าลายที่ผลัดกันแวะเวียนมาทักทายเราตลอด 4 ชั่วโมงในอุทยานสำหรับเราการเล่น Reserve Game มันไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นมากเท่าไหร่ แต่เราชอบโมเม้นท์ที่ได้เห็นเจ้าพวกนี้มันอยู่ตามธรรมชาติมากกว่า อธิบายความรู้สึกไม่ถูกแต่การเห็นยีราฟเดินมาด้อมๆ มองๆ แล้วเดินตัดหน้ารถจากป่าฟากซ้าย ไปป่าอีกฟากนึง เรารู้สึกมีความสุข จนเราหันไปพูดกับพี่ที่มาด้วยกันว่าอิจฉามันจังเลยนะ ดูใสใส อยากเดินไปไหนก็ไป
Durban together
กลับเข้าเมืองเดอร์บัน! ข้อดีของการมาเมืองนี้นอกจากจะได้เล่น Reserve Game ดูชีวิตของสัตว์ป่าแล้ว ยังมีอาหารตาอาหารใจของสาวๆ อีกมากมาย เพราะเดอร์บันเป็นเมืองตากอากาศที่ฮิตที่สุดเมืองหนึ่งของโลก และเหมาะแก่การเล่นเซิร์ฟบอร์ดที่สุด เพราะฉะนั้น Golden Mile Beach ที่มีความยาวของชายหาดเป็นร้อยๆ กิโลฯ จึงดูเป็นอะไรที่ฉ่ำจิตและชีวิตมากที่สุด
เราแนะนำให้ไปเดินฝั่ง North Beach เพราะตรงนั้นจะมี Surfing Club เบาๆ ของหนุ่มๆ อยู่ เผื่ออยากไปดูกัน บอกเลยว่าแซ่บมากถึงมากที่สุดแล้วจริงๆ โอ้ยยย อยากกลับไปเลยแหละ 55555
ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดอีกอย่างคือการเล่น Segway ริมชายหาดที่ยาวและสวยงามแห่งหนึ่ง เป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดที่เดอร์บันเลยนะ เอาจริงๆ มันเล่นไม่ยาก แค่จับและเอนตัว หน้า หลัง ซ้าย ขวา แปปๆ ก็ขับได้เร็วปร๋อเลย
โรงแรมที่เดอร์บันสไตล์ชิคๆ คูลๆ และเจอฝรั่ง Expat ได้มากที่สุดอีกที่นึงคือโรงแรม Boutique ชื่อว่า The Concierge ที่มีทั้งร้านอาหารแบบออแกร์นิค ห้องพักแบบโมเดิร์น และแผนที่ที่บอกแหล่งฮิต ที่ๆ ไม่ควรพลาด แถมสามารถจองบริการรับส่งจากโรงแรมได้ด้วยนะ!
ก่อนกลับเราแวะทานร้าน The Oyster Box นี่คือร้านอาหารที่ว่ากันว่าดีที่สุดในเดอร์บัน เพราะที่นี่เป็นทั้งโรงแรม และร้านอาหารที่รับรองคนดังและบุคคลสำคัญของโลกมาเยอะมาก เช่น เจ้าชายแฮร์รี่ ปูติน นิกกี้ มินาจ ริโอ เฟอร์ดินานต์ และคาดัสเชี่ยน
ที่ดีเด็ดสุดคืออาหารทะเล และวิวเก๋ๆ พร้อมประภาคารสีแดงริมชายฝั่ง พร้อมเต็นท์สีแดงและสระว่ายน้ำ นี่นึกว่าย้อนไปยุคโคโลเนียล
เดอร์บันน่ากลัวและอันตรายมากแค่ไหน ?
สำหรับเราสิ่งที่น่ากลัวคือความไม่รู้ และประมาท แต่ถ้าเรารู้ก่อนล่วงหน้าและระมัดระวังพร้อมไม่เอาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยง เราว่าเรื่องแบบนี้ป้องกันได้ อย่างเราได้ยินมาว่าที่นี่โจรและขโมยเยอะมากๆ เรียกได้ว่าเคยมีเหตุการณ์ดักจี้ ปล้น กลางถนนกลางวันแสกๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรระวังก็ต้องไม่ทำตัวล่อโจร เดินๆ ไปเอามือถือออกมาเล่น เปลี่ยนเลนส์กลางถนน ถือกล้องใหญ่ไปๆ มาๆ แบบนี้เรียกว่าเอาตัวเองไปเสี่ยง หรือออกไป Hangout ตอนกลางคืนแล้วปล่อยตัวจนเมาเละเทะให้ตัวเองโดนปล้น แบบนี้ก็เรียกว่าสมควร! เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าเมืองไหนๆ ความอันตราย จะมากจะน้อยก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องเข้าใจสภาพสังคมและระมัดระวังตัวเองให้ดีนั่นแหละ
นี่เป็นอีก Destination นึงที่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่สนใจแอฟริกาใต้เพราะได้เห็นทั้งทะเล และป่าในทริปเดียวกัน และถ้าอยากไปเที่ยวโจฮันเนสเบิร์กเพิ่มก็สามารถนั่งรถไฟจากเดอร์บันไปแค่ประมาณ 6-7ชั่วโมงในราคา 1000 กว่าเท่านั้น เดอร์บันจะเป็นแอฟริกาใต้อีกมุมนึงที่เก๋อย่าบอกใครเชียว!
Doha in one day
สำหรับใครที่บินกับ Qatar Airways ถ้ายังไม่อยากจบทริปแบบอารมณ์ค้างๆ แนะนำให้เลือกเที่ยวบินขากลับห่างกันประมาณ 12 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อ Transit ฟรีๆ ที่เมืองโดฮาได้ด้วยนะ! โดฮาเป็นอีกเมืองหนึ่งในตะวันออกกลางที่น่าสนใจและกำลังเติบโต ถ้าเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ โดฮาก็เหมือนเด็กน้อยพึ่งหัดเดินที่น่าจะโตขึ้น โตขึ้นได้อีกเรื่อยๆ และในปี 2022 ก็จะมีฟุตบอลโลกที่เมืองนี้ สำหรับเราโดฮาเป็นเมืองที่มีทะเลทรายสวยที่สุด เพราะติดทะเลและดีมากๆ จนอยากกลับไปอีกรอบ
ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาจำกัดจริงๆ การ ไปเดิน Museum of Islamic Art ที่นี่จะรวบรวมผลงานศิลปะต่างๆ ของศาสนาอิสลามแทบทุกยุคทุกสมัยเข้าไว้ด้วยกัน และเป็นมิวเซียมนึงที่ได้รางวัลดีไซน์ระดับโลก ด้วยการออกแบบที่โคตรมีเอกลักษณ์ทั้งข้างในและข้างนอก แนะนำว่าให้ไปกิน Afternoon Tea ด้านในและมองวิวสวยๆ ของอีกฟากนึง ฟินที่สุด ฟรีไวไฟอีกต่างหาก
และพลาดไม่ได้เด็ดขาดคือ Zouq Wagif ตลาดอาหรับที่มีขายทุกอย่างเกี่ยวกับอาหรับและเผ่าเบดูอิน พร้อมบารากุรสชาติดีให้ดูดอย่างดูดดื่มและสบายใจ 5555555 ไม่ควรพลาดจริงๆ นั่นแหละค่าคุณผู้โช้มมมม ทริปเดียว เที่ยวได้ตั้ง 2 ประเทศแหนะ
หรือจะไปเดินเล่น Katara Village คล้ายๆ กับศูนย์รวบรวมองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ริมทะเลชิวๆ ก็เก๋ไปอีกแบบ แต่ถ้ามีเวลามากกว่า 12 ชั่วโมงหรือค้างที่นี่ซักคืนเราว่าทะเลทรายของโดฮาสวยที่สุดในบรรดาทะเลทรายอาหรับที่เราไปมาแล้วทั้งหมด 4 ประเทศ เพราะที่นี่เนินสูง ติดทะเล อากาศตอนกลางคืนเย็น นอนดูดาวแสนจะโรแมนติก
ขากลับกรุงเทพจากโดฮา Qatar Airways มีให้เลือกบินมากถึง 4 ไฟลท์ต่อวันจากโดฮาถึงกรุงเทพ เลือกเอาตามสะดวกเถอะ จะต่อไฟลท์มาจากเมกา ยุโรป แอฟริกาหรือที่ไหนๆ ก็ไม่ต้องรอนาน เพราะเช้ายันเช้าอีกวัน นางก็บินแทบจะทุกเวลา แถมยังมีภูเก็ต กระบี่ และเชียงใหม่ที่จะตามมาอีกเร็วๆนี้ ด้วยนะ
เรากลับกรุงเทพกับเจ้าปลาวาฬ A380 ก็จัดที่นั่งแบบ 1 – 2 – 1 ไม่เบียดไม่อึดอัดใดๆ ทั้งสิ้น แถมเพิ่มโซนสำหรับแก๊งค์เพื่อนขี้เมาท์และขี้เมา ด้วยบาร์ด้านหลังที่พร้อมเสิร์ฟไวน์ แชมเปญ เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ พร้อมกับแกล้ม ที่พอจะนึกได้ตลอดทั้งไฟลท์ เป็นสวรรค์ชัดๆ ของคนชอบกินจุ๊บจิ๊บ On Request ได้ตลอดไฟลท์พร้อมเบาะนั่งยาวๆ ถ้าเบื่อที่นั่งตัวเองก็มานั่งโซฟายาวๆ ได้ด้วย
นี่คือการให้รางวัลตัวเองอีกรูปแบบนึงการเดินทางที่สะดวกสบาย ไปในประเทศและเมืองที่ไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งที่ควรทำซักครั้งในชีวิต แม้ว่าเราจะดูเหมือนบิ้วท์ด้วยการพูดคำนี้บ่อยๆ แต่ถ้าได้ลองทำด้วยตัวเองซักครั้งนึง เธอจะรู้ว่าการได้ลองอะไรที่ยังไม่เคยลอง ทำอะไรที่ยังไม่เคยทำ มันเป็นประสบการณ์ที่ฝังลึกและประทับใจไปอีกนานเลยแหละ
INSPRIED BY QATAR AIRWAY , TOURISM KWAZULU-NATAL , QATAR TOURISM AUTHORITY