เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นใครมันก็แฮปปี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะทุกอย่างมันตะมุตะมิ บ้านเรือน ผู้คน หรือแม้กระทั่งอาหารก็น่ารักทั่วบ้านทั่วเมือง เดินทางไปเที่ยวที่ไหนก็ฮัมเพลง ดีดนิ้ว โยกหัวซ้ายทีขวาทีกันทั้งโลก ทริปนี้เราขอแนะนำทริปชิลๆ เที่ยวญี่ปุ่นตอนกลางภูมิภาคชุบุ มัดรวมสองเมืองสุดคาวาอิ้อย่าง Nagoya และ Mie
ทริปเที่ยวง่าย 4 วัน 3 คืน ตามรอยไม่ลำบาก งบน่ารัก มากินข้าวหน้าปลาไหลแสนอร่อย ซีฟู๊ดฉ่ำๆ แถมยังได้ไหว้ศาลเจ้าชื่อดังของญี่ปุ่น มูให้ปังรับต้นปีให้เก๋กว่าเดิมกับญี่ปุ่นภาคกลางที่หลายคนอาจมองข้ามไป
เที่ยวภูมิภาคชุบุได้ง่ายกว่าและสะดวกกว่าเดิม เพราะการบินไทยเพิ่มเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า ให้เธอเที่ยวเช้า กลับดึกได้อย่างจุใจ บินสบายแบบฟูลเซอร์วิส จองทีเดียวมาพร้อมอาหาร ที่นั่งและน้ำหนักกระเป๋า แถมเที่ยวได้เต็มวันกว่าเดิม พร้อมสิทธิพิเศษจาก Boarding Pass การบินไทยอีกเพียบ บอกเลยว่าภูมิภาคชุบุไม่ควรเป็นแค่ทางผ่าน แต่ควรตั้งใจมาเที่ยวซักครั้งแล้วจะติดใจ 😊
#wheredowegoTH #ThaiAirways
#ไฟลต์ดึกจากนาโกยา #บินกลับจากนาโกยา #การบินไทยพาเที่ยวนาโกยา
เที่ยวบินไปนาโกย่าของการบินไทย ทำการบินด้วยเครื่องลำใหญ่นั่งสบาย รุ่นใหม่อย่าง Airbus A350-900 ที่นั่งกว้างขวาง มีจอทีวีส่วนตัวที่สัมผัสง่าย พร้อมอาหารรสชาติดี ที่มีช้อยส์อาหารไทยให้เลือกเสมอ ทำให้ตลอดการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงไม่น่าเบื่อเลย
โดยปัจจุบันเส้นทาง กรุงเทพฯ – นาโกยา การบินไทยจะมีบินตรงทุกวัน
𝐓𝐆𝟔𝟒𝟒 𝐁𝐊𝐊-𝐍𝐆𝐎 00.05 น. – 08.00 น.
𝐓𝐆𝟔𝟒𝟓 𝐍𝐆𝐎-𝐁𝐊𝐊 11.00 น. – 15.00 น.
และตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 67 ที่ผ่านมา การบินไทยเพิ่มเที่ยวบิน ให้ทุกคนเที่ยวได้จุใจมากขึ้น สามารถบินกลับจากนาโกย่าตอนกลางคืนได้ด้วยเที่ยวบินดังต่อไปนี้ (บินเฉพาะวันอังคาร,พฤหัสบดี,ศุกร์ และอาทิตย์ )
𝐓𝐆𝟔𝟒𝟔 𝐁𝐊𝐊-𝐍𝐆𝐎 :: 10.45 น. – 18.40 น.
𝐓𝐆𝟔𝟒𝟕 𝐍𝐆𝐎-𝐁𝐊𝐊 :: 00.30 น. – 04.30 น.
จองตั๋วราคาดีได้เลยที่ www.thaiairways.com
Day 1 – Mie
Ninja Highspeed Boat
เช้าวันแรกที่นาโกย่าหลังจากเดินทางมาด้วยเที่ยวบิน 𝐓𝐆𝟔𝟒𝟒 𝐁𝐊𝐊-𝐍𝐆𝐎 00.05 น. – 08.00 น. ออกจากกรุงเทพหลังเที่ยงคืนนิดๆ มาถึงนาโกย่าตอนเช้าตรู่พอดี ทริปนี้เราจะเริ่มเที่ยวจากมิเอะก่อนกลับมาเที่ยวนาโกย่า เลยได้ใช้บริการ Ferry ตรงจากสนามบินเลย Ninja Highspeed Boat วิ่งระหว่างท่าเรือของสนามบิน – เมือง Tsu ซึ่งใช้เวลาเพียง 45-60 นาทีเท่านั้น ก็สามารถต่อรถบัสหรือแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ Tsu เพื่อเริ่มเที่ยวกันได้เลย!
พิเศษเพียงโชว์ Boarding Pass การบินไทยเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า รับชา Oshawott ตามเงื่อนไขที่กำหนด (เช็ครอบเรือและค่าบริการได้ที่ https://tsu-airportline.co.jp/)
Ise Jingu
นี่คือศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น Isejingu คือศาลเจ้าที่คนรักญี่ปุ่นและชื่นชอบการขอพรต้องมาให้ได้ซักครั้งในชีวิต ยิ่งใหญ่เหมือนอารมณ์คนไทยต้องไปวัดพระแก้วให้ได้ซักครั้งอะไรแบบนั้นเลย ศาลเจ้าที่นี่มีหลายส่วน ซึ่งประชาชนสามารถเดินมาชมแระสักการะได้เพียงส่วนนอกบางส่วนเท่านั้น แม้อายุกว่า 2,000 ปี แต่ที่นี่ก็ถูกบูรณะอย่างดี
ที่นี่เป็นที่บูชาเทพพระอาทิตย์คนเพราะตามตำนานนั้นเชื่อว่าองค์จักรพรรดิของญี่ปุ่นสืบทอดเชื้อสายมาจากเทพพระอาทิตย์ ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่กว้างมากๆ ออกแบบแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเลยมีการข้ามสะพาน ข้ามแม่น้ำผ่านเสาโทโรอิเพื่อความเป็นศิริมงคล ก่อนเข้าไปถึงศาลเจ้าส่วนในที่บูชาเทพพระอาทิตย์ มาถึงแล้วตั้งใจขอพรดีๆ บอกเลยว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ส่วนใครที่อยากซื้อเครื่องรางก็สามารถซื้อที่นี่ได้เลย มีให้เลือกเยอะมาก ทั้งการงาน การเงิน และสุขภาพ
Oharai-Machi Yokocho
ใกล้ๆ กันทางด้านหน้าของศาลเจ้ายังมีถนนการค้าชื่อว่า Oharai-Machi Yokocho ที่นี่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับถนนจำลองที่จำลองบรรยากาศเก่าๆ แบบร้อยกว่าปีที่แล้ว มีร้านอาหาร ร้านช๊อปปิ้งต่างๆ เดินกินเพลินๆ ได้ไม่มีเบื่อเลย มีของกินเยอะมากตลอดทาง และคนก็เยอะมากเช่นกัน แต่เดินกันสบายๆ มีคนบอกว่าที่นี่คือถนนของกินดีนางอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยนะ
Ebiya Daishokudo
เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ Ebiya Daishokudo เป็นร้านเก่าแก่กว่า 150 ปี เราสั่งเป็นข้าวด้งหน้าปลามากุโร่ บอกเลยว่าดีมากๆ มีส่วนมันแทรกมาพอประมาณให้รสกลมกล่อม ทานกับโชยุเบาๆ ตัดด้วยชาเขียวร้อนบอกเลยว่ารสชาติดีมากกกกกกกกกกกก
แม้ว่าร้านจะเก่าแก่แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องจองคิวล่วงหน้า เพราะร้านค่อนข้างใหญ่ หากไม่ตรงกับมื้ออาหารน่าจะทานได้เลย
MEOTO IWA
หินแต่งงาน ที่ใครๆ ก็เรียกว่าหินสามี ภรรยา ที่นี่คือยอดฮิตมากในเรื่องของการขอพรเกี่ยวกับความรัก คนญี่ปุ่นเปรียบเสมือนหินก้อนใหญ่เป็นสามี ส่วนก้อนที่เล็กลงมาเปรียบเสมือนภรรยาที่ครองคู่แต่งงานกัน โดยมีเชือกฟางคล้องอยู่ด้านบนก้อนหินเหมือนคนแต่งงานกัน ที่นี่เลยฮิตมากในการมาขอพรขอคู่กัน
ขณะเดียวกันจุดที่เราไปนั้นเป็นศาลเจ้าด้วยชื่อว่า Futami Okitama Shrine ศาลเจ้านี้จะมีรูปกบเต็มไปหมดเพราะกบคือสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ น่ารักเชียวแหละ
Hinjitsukan
เรือนรับรองโบราณอายุกว่าร้อยปี อยู่ใกล้ๆ กับ MEOTO IWA ถ้าใครไปไหว้หินคู่รักแล้วเวลาเหลือแนะนำให้มาเดินเล่นซึมซับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่นกันที่นี่ อดีตเรียวกังที่เอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเข้าไปเยี่ยมชม มีทั้งของโบราณ เฟอร์นิเจอร์สวยๆ และนำเสนอเรื่องราวพื้นบ้านดั้งเดิมของท้องถิ่น ทำให้มีความดั้งเดิมกลิ่นอายของญี่ปุ่นให้เดินซึมซับกันเต็มที่
Hachiman Kamado
เราเดินทางข้ามมาเมือง Toba แต่ยังอยู่ในจังหวัดมิเอะ มาเพื่อกินอาหารเย็นซีฟู๊ดแสนอร่อยกับเหล่าอาม่า อาม่าเหล่านี้ที่ใครๆ เรียกกันว่า Amachan มีอาชีพเป็นชาวประมงท้องถิ่น ดำน้ำหาอาหารทะเลต่างๆ ด้วยวิธีดั้งเดิม ที่นี่เค้าเลยดัดแปลงกระท่อมของอาม่าที่ใช้พักผ่อนหลักจากทำงาน มาเป็นร้านอาหารเล็กๆ ล้อมวงกินข้าวกันโดยอาม่าทำให้กิน น่ารักสุดๆ
ใครสนใจจะมาที่นี่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น แถมยังมีบริการรับส่งจากสถานีรถไฟ Toba ด้วย และผู้สูงอายุก็สามารถเดินทางได้ อาม่าจะให้เรานั่งล้อมวง และย่างอาหารทะเลให้เราดูกันสดๆ บนเตาถ่าน ตามแพ็คเกจที่เลือกไว้ อย่างที่เราไปมีทั้ง กุ้ง หอยตลับ หอยเชลส์ และกุ้งมังกร หลังจากอิ่มแล้ว อาม่าก็จะมีการแสดงให้ดู ส่วนใครที่อยากแต่งชุด Cosplay เป็นอาม่าก็มีให้ด้วยนะ น่ารักมากๆ ดูรายละเอียดและวิธีการจองเป็นภาษาอังกฤษที่นี่ https://amakoya.com/
Day 2 – Mie
Shima Kanko Hotel
คืนแรกเราพักกันที่โรงแรม Shima Kanko Hotel ที่นี่มี 2 โรงแรมในพื้นที่เดียวกันคือ Shima Kanko Hotel The Classic และ Shima Kanko Hotel The Baysuites ห้องพักหลับสบายตามมาตรฐานญี่ปุ่น แถมมีเลาจน์ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่อั้นจนถึงดึกดื่นด้วย Amenities ในห้องน้ำก็ครบครันมากๆ เป็นคืนแรกที่หลับสบายหลังจากเที่ยวเหนื่อยๆ มาทั้งวัน
ตื่นเช้ามาเจออาหารเช้าก็ปังเข้าไปใหญ่ที่ทั้งให้เลือกแบบ Japanese Bento Set หรือ Western Set อร่อย หรูหรา อลังการมาก ที่นี่เคยเป็นโรงแรมที่ใช้ต้อนรับผู้นำระดับโลกทั้งหลายในช่วงการประชุม G7 Summit 2016
Yokoyama Observatory Deck
จุดชมวิวในเมือง Ise ที่เห็นวิวแบบพาโนรามาของอ่าว Ago และเกาะเล็กเกาะน้อยรอบเมือง Ise จริงๆ ที่นี่เหมาะจะเป็นสถานที่ชม Sunset สวยๆ แต่เรามาช่วงสายและเป็นวันที่ฝนตก บรรยากาศก็ไม่เลวเลย เห็นแล้วเอาหอบเอาผ้าห่มขึ้นมาด้วยนอนซุกตัวชมวิวสวยๆ ของที่นี่ซักวัน เอ้อ ด้านบนมีคาเฟ่จิ๋วๆ ให้ทานไอซกรีม กาแฟ และขนมรองท้องได้ด้วยนะ
Mikimoto Pearl Island
ที่นี่คือฟาร์มเพาะเลี้ยงไข่มุกแห่งแรกของโลก บอกเลยว่าเป็นความรู้ใหม่สำหรับเรามากเมื่อได้รู้ถึงวิธีการที่ทำให้ได้มาซึ่งไข่มุกทรงกลม เป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ได้ละเอียดสุดๆ แถมยังมีงานศิลปะต่างๆ จากทั่วโลกที่มีไข่มุกเป็นส่วนหนึ่งประกอบจัดแสดงหลายสิบชิ้น
แถมมีไฮไลท์คือเหล่าอามะจัง ดำน้ำเก็บหอยไข่มุกให้ดูกันสดๆ ตามรอบที่จัดแสดง เห็นถึงความทุ่มเท ใส่ใจ และความตั้งใจที่จะทำไข่มุกที่สวยที่สุด ที่มียังมีร้านช้อปปิ้งไข่มุก และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไข่มุกราคาสุดคุ้มด้วยนะ
VISON
Community Mall ขนาดใหญ่มีที่ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ที่ช้อปปิ้งแบบปังๆ รวมถึงของฝากขึ้นชื่อจากจังหวัดมิเอะรวมกันอยู่ที่นี่ เป็นเหมือนจุดพักรถขนาดใหญ่ ให้เธอแวะทานอาหารกลางวัน อาหารเย็น หรือซื้อของฝากกันได้ตามใจชอบ เพราะใหญ่และมีหลายโซนมากๆ เดินได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อแน่นอน
เราเองก็แวะทานอาหารอิตาเลี่ยนที่ร้านชื่อ Nouniyellที่เน้นใช้วัตถุดิบ organic ทั้งหมด เสิร์ฟทุกอย่างแบบ Farm To Table ได้ความหวาน กรอบ อร่อยของผักสดจากธรรมชาติ และเส้นพาสต้านุ่มละมุนลิ้น ที่อร่อยจริงจนอยากแนะนำให้มาชิมกัน
Hinotani Onsen Misugi Resort
ใส่ชุดยูกาตะตัวโปรด นอนเรียวกังและแช่ออนเซนส่วนตัวที่ดีจนได้รับรางวัลอันดับที่ 3 ของประเทศญี่ปุ่น คืนที่สองของทริปเราแวะมานอนกับที่ Hinotani Onsen Misugi Resort รีสอร์ทแบบญี่ปุ่นแท้ๆ มีออนเซ็นส่วนตัว และไลน์บุฟเฟต์มื้อเย็นและมื้อเช้า แบบอลังการที่มาพร้อมสุกี้ยากี้เนื้อ ซูชิ ซาซิมิแบบจุกๆ
ที่นี่มีห้องพักแบบ Beer Room คือมี Tap Beer ให้กดดื่มฟรีไม่อั้น แถมมีกิจกรรมส่องสัตว์ตอนกลางคืนพร้อมดูดาวนับล้านดวงบนท้องฟ้า จะบอกว่าญี่ปุ่นนั้นยิ่งมายิ่งหลงรักเพราะสวยเกินคำบรรยายอยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตา ระหว่างนอนแช่ออนเซ็นมันฟินสุดๆ ไปเลย
Seki-Juku
วันที่ 3 ของทริปขอพากันกันย้อนสู่ยุคเอโดะ ยุ่งที่มีเมืองเก่าระหว่างทางมากมายเป็นจุดตรวจระหว่างเมืองหลวงเก่า-เกียวโต และเมืองหลวงใหม่-โตเกียว ที่นี่อนุรักษ์บ้านเรือนกันไว้ดีมากๆ เหมือนย้อนยุคจริงๆ แถมยังสามารถเช่าชุดกิโมโนเดินถ่ายรูปเล่นตามตรอกซอยต่างๆ ในเมืองได้ด้วย บางบ้านเป็นร้านอาหาร บางร้านเป็นร้านขายของน่ารักปุ๊กปิ๊ก แนะนำว่าถ้าใครมาควรมาให้ตรงวันเสาร์ อาทิตย์จะครึกครื้นกว่าเดิม
Meihan Seki Drive-in
ระหว่างทางจากมิเอะกลับนาโกย่าเราแวะพักทานอาหารระหว่างทางกันที่ Meihan Seki Drive-in บริเวณนี้มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝากมากมาย เราแวะทานที่ร้าน Sekihonjin ร้านอาหารญี่ปุ่นดูดีและขายเซ็ตเมนูหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซ็ตปลา เซ็ตหมู หรือเนื้อหลายชนิด ราคาดีงามไม่แพง แถมบรรยากาศดีด้วย แนะนำเลยเผื่อใครหิวระหว่างทาง
Mitsui Outlet Jazz Dream Nagashima
อีกหนึ่งเหตุผลที่เราหลงรักนาโกย่าคือ ที่นี่มี Outlet ที่รวมแบรนด์ดังกว่า 300 ร้าน แถมมีทั้งสวนสนุก รีสอร์ท อยู่ในพื้นทีเดียวกัน หลายแบรนด์ดังราคาถูกมาก แถมยังสามารถทำ Tax-Refund ได้อีกคุ้มสุดๆ
Nikko Style Nagoya
พอกลับเข้านาโกย่าเราเลือกพักที่โรงแรม Nikko Style Nagoya โรงแรมแบรนด์ญี่ปุ่นที่ได้ยินชื่อก็อุ่นใจแล้วว่าดีงามแน่นอน ที่นี่อยู่ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากย่านช้อปปิ้ง Sakae สามารถเดินหรือเรียก Taxi GO ได้ในราคาไม่ถึงพันเยน
แถมห้องพักสุดโคซี่ เตียงนุ่ม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน Amenities ในห้องพักก็ใช้แบรนด์ท้องถิ่นที่หอมมากๆ แถมถ้าถูกใจก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วย ส่วนอาหารเช้าก็มีให้เลือกทั้งแบบ Western Set และ Japanese Set รวมถึงบริเวณล๊อบบี้ก็มีพื้นที่ Space ให้นั่งทำงานชิลๆ พร้อมกาแฟรสชาติดี หรือตกเย็นมาหน่อยอยากชิมเบียร์ท้องถิ่นหรือไวน์ดีๆ ซักแก้วที่นี่ก็มีเหมือนกันนะ เรียกว่าเป็นโรงแรมที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ว่าต้องการอะไร แถมยังมีทุกอย่างครบครับตามสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย
พิเศษเพียงโชว์ Boarding Pass การบินไทยเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า เลือกรับฟรี สมุดโน้ต, แฟ้มใส่เอกสาร หรือปากกาลูกลื่น ฟรีตามเงื่อนไขที่กำหนด
Mirai Tower
Chubu Electric Power MIRAI TOWER อีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเมืองนาโกย่า รอบๆ มีคาเฟ่ ร้านอาหาร และจุดนัดเจอกันของเหล่าวัยรุ่นนาโกย่ามากมายก บรรยากาศดี เปิดไฟสวยงามเลยหละ
Wakamiya Hachiman Shrine
เช้าวันสุดท้ายที่นาโกยาเราเริ่มจากเรื่องมูๆ กันก่อนที่ Wakamiya Hachiman Shrine ศาลเจ้าที่คนที่นี่เชื่อกันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประจำอยู่ที่นี่ ฟังให้ดีนะคะ.. ที่นี่เน้นเรื่องความรักเป็นพิเศษ ใครที่อยากให้รักสมหวังดังตั้งใจ แนะนำเลยภายในวัดมีทั้งเซียมซี เครื่องราง หรือจะขอพรเพื่อให้จิตใจมั่นคงก็ย่อมได้ ย้ำอีกครั้งเซฟไว้ใจเช็คลิสต์เยือนนาโกย่าได้เลย!
มีเซียมซีน้ำด้วยพึ่งเคยเห็นที่นี่ โดยการไปเสี่ยงเซียมซี แล้วเอาไปวางบนน้ำคำทำนายก็จะออกมา
Nagoya Castle
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของนาโกย่าที่ไม่มาไม่ได้ เหมือนฝรั่งมากรุงเทพฯ ต้องแวะวัดพระแก้ว วัดอรุณฯ นั่นแหละค่ะ ที่นี่คือปราสาทนาโกย่า เคยถูกเผาทำลายมาก่อนในช่วงสงครามและได้รับการอนุรักษ์บูรณะขึ้นมาใหม่และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชม ช่วงที่เราไปก็มีการปิดปรับปรุงทำให้ไม่สามารถเข้าไปชมข้างในได้
แต่ใกล้ๆ กันนั้นจะมีอาคารราชสำนักหรือ Honmaru Palace ว่ากันว่าเป็นพระราชวังที่หรูหราที่สุดในญี่ปุ่น ภายในนั้นแบ่งออกเป็นหลายห้องสำหรับใช้งานแตกต่างกัน เช่นห้องรับแขก ก็จะมีเขียนรูปเสือไว้รอบห้องเพื่อให้น่าเกรงขาม รวมไปถึงห้องต่างๆ ก็จะมีความพิเศษต่างกันไป เช่นห้องนอน ห้องสำหรับคนสำคัญก็จะเป็นรูปนกกระเรียน อยากให้เดินเข้ามาดูกันเยอะๆ เพราะสวยจริง ตื่นตาตื่นใจแน่นอน
Nagoya Noh Theater
โรงละครพื้นบ้านของญี่ปุ่นหรือที่เรียกกันว่า ละครโนห์ เปลี่ยนละครเปลี่ยนหน้ากากพื้นบ้านของคนญี่ปุ่น ที่นี่เป็นโรงละครโนห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมได้รับเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกจากยูเนสโกด้วยซึ่งตอนนี้หาดูยากแล้ว แต่สำหรับเรา เราเป็นคนกลัวอะไรแบบนี้มากๆ 5555 ใครที่ชอบก็ลองแวะมาดู สำหรับเราหลอนไปหน่อย
Kinshachi Yokocho
จากโรงละครโนห์ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาทีจะเจอกับ Kinshachi Yokocho ถนนคนเดินเล็กๆ ที่มีร้านอร่อยเพียบ รวมถึงของฝากต่างๆ ประจำเมืองนาโกย่าก็สามารถหาเลือกซื้อได้ที่นี่ เราแวะทานมื้อกลางวันกันที่นี่ และมาถึงนาโกย่าทั้งนี้ก็อย่าพลาดชิมข้าวหน้าปลาไหลเด็ดขาด
เราเลือกทานที่ร้าน Bincho สาขา Kinshachi Yokocho ที่นี่เรียกข้าวหน้าปลาไหลว่า Hitsumabishi เสิร์ฟมาในชามขนาดใหญ่ซึ่งเราสามารถแบ่งทานได้เป็น 4 ส่วน ตามวิธีการทานของชาวนาโกย่า เช่นส่วนแรกทานแบบธรรมดาไม่ปรุงใดๆ เพิ่มเติม ส่วนที่สองใส่สาหร่ายและวาซาบิแซ่บๆ ส่วนที่สามเอาซุปลงไปผสม เมื่อทานเสร็จทั้งสามส่วนแล้วค่อยตัดสินใจว่าชอบทานแบบไหนที่สุด นั่นแหละค่ะคือส่วนที่สี่ เลือกตามใจชอบได้เลย เออคนคิดก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย
Tamesaburo Memorial Museum
ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เราก็ย้ายมาจิบชากันต่อที่ Tamesaburo Memorial Museum ที่นี่เป็นบ้านของเศรษฐีชาวนาโกย่าที่เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์
ในส่วนของคาเฟ่นั้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์เลยชื่อว่า Sukiya Café แวะมานั่งจิบชากับขนมถั่วแดงกวนในถ้วยชามเซรามิคแสนพิเศษพร้อมนั่งมองสวนญี่ปุ่นที่แสนสบายตาแค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว
พิเศษเพียงโชว์ Boarding Pass การบินไทยเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า รับฟรี ขนมและเซ็ทโปสการ์ดเป็นของที่ระลึก
Parco
ถึงเวลาช้อปปิ้งก็ต้องเต็มที่! อยากบอกว่าอะไรที่โอซาก้า โตเกียวมี ที่นาโกย่าก็มี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปเลยสามารถช้อปปิ้งได้เต็มที่แน่ๆ แถมคนน้อยกว่าด้วย ใครที่อยากเดินช้อปปิ้งเย็นฉ่ำช่วงหน้าร้อน หรืออบอุ่นช่วงหน้าหนาวแนะนำให้วิ่งเข้า Parco เลยค่ะ มีครบจบทุกอย่าง หลายตึก หลายโซน เดินเลือกซื้อของฝากให้ตัวเอง และคนรักได้ถูกอกถูกใจแน่นอน
พิเศษเพียงโชว์ Boarding Pass การบินไทยเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า รับคูปองส่วนลดมูลค่า 1,000 เยนที่เคาท์เตอร์ Information ตามในภาพได้เลย มีจำนวนจำกัดสำหรับ 500 ท่านเท่านั้น
Osu Shopping Street
ถ้ายังไม่จุใจก็สามารถมาเดินช้อปปิ้งกันที่ย่าน Osu กันต่อได้ ที่นี่มีร้านค้ากว่า 400 ร้านให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ที่นี่มีหมดทุกอย่างเลยจ้า แต่ข้อเสียคือปิดค่อนข้างเร็ว ร้านค้าต่างๆ ในนาโกย่ามักจะปิดเร็ว คือประมาณ 20.00 น. ก็ปิดกันหมดแล้ว
Gomitori
ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราแวะร้าน Izakaya ชื่อดังประจำนาโกย่าที่ใครๆ ก็ต้องลองมาทานไก่ทอดชื่อดังอย่าง Tebasaki Chicken Wing ซักครั้ง
ที่นี่ยังมีอาหารเสียบไม้หรือยากิโทริเด็ดๆ อีกมากมาย รวมถึง Miso Oden ที่มาถึงนาโกย่าแล้วควรลองซักครั้งจริงๆ รสชาติกลมกล่อม สายติดเค็มแบบเราชอบใจสุดๆ ที่ร้านนี้ยังมีโปรโมชั่น 1000 เยน จับเท่าไหร่กินเท่านั้น คือเค้าจะเอาปีกไก่ Tebasaki ปลอมมาให้เราจับภายใน 1 ครั้งด้วยมือเปล่า จับได้เท่าไหร่เอาไปเลย เราได้ทั้งหมด 11 ชิ้นถือว่าคุ้ม!
พิเศษเพียงโชว์ Boarding Pass การบินไทยเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่นาโกย่า รับฟรี Tebasaki Chicken Wing 1 ชิ้น
อย่างที่บอกตั้งแต่ 27 ตุลาคม 67 ที่ผ่านมาการบินไทยเพิ่มเที่ยวบินที่ 2 ระหว่างกรุงเทพฯ – นาโกย่า ทำให้ทุกคนสามารถเที่ยววันสุดท้ายได้เต็มวัน ก่อนไปเช็คอินที่สนามบินประมาณสามทุ่ม เที่ยวบิน 𝐓𝐆𝟔𝟒𝟕 𝐍𝐆𝐎-𝐁𝐊𝐊 :: 00.30 น. – 04.30 น. ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ และอาทิตย์ บินตรงเพียง 6 ชั่วโมง ถึงกรุงเทพฯ ช่วงเช้ามืดพอดี ถือว่าเป็นการใช้เวลาท่องเที่ยวได้คุ้มค่าสุดๆ เลย จองได้เลยที่ www.thaiairways.com
ทริปสั้นสบายกระเป๋าอย่างนาโกย่าและมิเอะน่าจะเข้าไปนั่งในใจใครหลายคนเพราะครบรสสุดๆ ทั้งซีฟู๊ด มูเรื่องความรัก แช่ออนเซ็นส่วนตัว ดูวิวธรรมชาติอลังการ แถมยังได้ช้อปปิ้งในประเทศที่หลายๆ คนหลงรักอย่างญี่ปุ่น บินตรงกับการบินไทยสู่นาโกย่าเพิ่มความพิเศษให้กับตัวเองด้วยเที่ยวบินดึกจากนาโกย่าให้เธอได้เที่ยวเต็มวันอย่างจุใจ รับรองว่าแฮปปี้ หลงรักที่นี่แน่ๆ