ไม่ต้องอ้างอิงถึงใครทั้งนั้น เอาเป็นว่าตัวเราเองนี่แหละที่เคยพูดว่า “สุโขทัยน่าเบื่อ!” เหมือนคนมีเพชรอยู่ในมือแต่คิดว่ามันเป็นแค่หิน ก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะวัยรุ่นอย่างเราๆ ความคึกคะนองและชอบอะไรที่ศิวิไลซ์แผ่ไปทั้งร่างกาย อยากไปแต่ที่ตื่นเต้นๆ จนได้เดินทางเยอะขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น ถึงรู้ว่าเพชรที่ถืออยู่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหลือเกินทั้งทางจิตใจและวัฒนธรรม ที่ฝรั่งทั่วโลกต่างบอกว่า “โอ้ ยู มันสวยมากๆ เลยนะ นี่คือของดีที่ยูควรรักษาไว้” จนได้กลับมาลองเที่ยวที่นี่ดูอีกครั้ง ก็อยากจะตบปากตัวเองถอนคำพูดทันทีที่เคยบอกว่าที่นี่น่าเบื่อ … “เออมันก็ดีอยู่นะ สุโขทัย”
สุโขทัยทริปนี้เราเลยลองแพลนแบบชิวๆ บินแบบหรูหรา พักผ่อนแบบสบายๆ และไม่ต้องเที่ยวให้เหนื่อยเกินไป 3 วัน 2 คืน
เอาเป็นว่าเป็นทริปที่มาพักผ่อนก็ได้ หรือจะพาเพื่อนฝรั่ง เพื่อนญีปุ่น เกาหลี แขกบ้านแขกเมืองทั้งหลายมาเที่ยว ชั้นก็มั่นใจว่าเค้าประทับใจแน่ๆ
หลายๆ คนบอกว่าสุโขทัยไม่ไกลจากกรุงเทพมากเท่าไหร่ แต่ถ้าจะนั่งรถมาก็เสียเวลาเกือบ 5–6 ชั่วโมงเหมือนกันนะ! ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวสุโขทัยคือ บางกอกแอร์เวย์ส สายการบินแรกและสายการบินเดียวที่บินตรงลงสนามบินสุโขทัย มากถึงวันละ 3 ไฟลท์ ทั้งเช้าตรู่ บ่าย และเย็น ทำให้เลือกได้สะดวกมากว่าจะบินแบบเช้าตรู่ถึงปุ๊ปเที่ยวปั๊ป หรือสายชิวออกบ่ายแบบเรา 55555
ก่อนขึ้นเครื่องผู้โดยสายของบางกอกแอร์เวย์ส ทุกคนสามารถเข้าเลาจน์ได้! นี่คือข้อดีแบบบูทีคๆ ทั้งขนมหวาน เบเกอรี่และเครื่องดื่มที่หลากหลายให้ทานกันได้แบบไม่อั้น และถ้าใครบินกับบางกอกแอร์เวย์ส บ่อยๆ เป็นสมาชิก Premier Flyer Bonus หรือกดรับสิทธิ์จากค่ายมือถือบางค่ายก็สามารถใช้บริการได้เหมือนกันนะ ในเลาจน์ Blue Ribbon ที่แตกต่างและเพิ่มขึ้นมาคือกว้างขวางขึ้นและมีอาหารร้อนให้ทานด้วย คืออิ่มจนอืดก่อนเดินไปขึ้นเครื่องและเตรียมไปกินเบาๆ อีกรอบบนเครื่องได้เลย!
บางกอกแอร์เวย์สใช้เครื่องบินเครื่องจิ๋วๆ น่ารักแต่มีความปลอดภัยสูงมากอย่าง ATR72 ทำให้เราเห็นวิวสวยๆ จากบนท้องฟ้าตลอดทางการเดิน 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพถึงสุโขทัย
สนามบินที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ สวยและไม่เหมือนใคร เหมือนมาเที่ยวอุทยานหรือสวนอะไรซักอย่าง การเดินทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการสุโขทัยคือการเช่ารถขับ ในสนามบินมีอยู่เจ้านึงคือ EDDY Rent a car เพื่อนๆ สามารถเช่าจากตรงนี้ได้เลย ราคาประมาณวันละ 1,000 บาท หรืออยากจะนั่งรถประจำทางเข้าเมืองก็มีรถสาธารณะไปส่งตามอำเภอต่างๆ เช่นกัน แต่เราว่าเช่ารถขับที่นี่น่าจะสะดวกที่สุดแล้ว
รอบๆ สนามบินสุโขทัยยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้ามาเรียนรู้ด้วยนะ และยังมีโซนโรงแรมอย่าง Sukhothai Heritage Resort โรงแรมหรูที่อยู่ในบริเวณสนามบินที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก เงียบสงบ เดินทางเข้าเมืองสะดวก ไปสนามบินก็ใกล้นิดเดียว เราเลือกพักกันที่นี่แหละทั้ง 2 คืนเลย
เป็นโรงแรมที่เหมาะกับการพักผ่อนนั่งอ่านหนังสือชิวๆ เล่นน้ำ หรือนอนเฉยๆ ก่อนออกไปเที่ยวตัวเมืองเก่าและอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ดังระดับโลก เราแนะนำที่นี่แหละ เพราะเป็นคนชอบนอนใกล้สนามบิน กลัวมากเวลาตื่นสายแล้วไปสนามบินไม่ทัน แต่ที่นี่… ไม่เกิน 5 นาทีหวะแก
วันแรกหลังจากเช็คอินเข้าโรงแรมเราแพลนกันว่าจะพักผ่อนซักพัก เพราะอากาศข้างนอกแดดค่อนข้างแรง ไม่ได้กลัวแดดหรอก แต่ตั้งใจจะไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในช่วงเย็นๆ แม้ฟ้าฝนวันแรกจะดูไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากปล่อยผ่านไปไหนๆ มาแล้วก็อยากไปดูก่อนถ้าไม่เวิร์กค่อยกลับมาอีกทีวันพรุ่งนี้ก็ทัน แบบไม่มีแดดช่วงเย็น มันก็สวยแบบเหงาๆ ไปอีกอย่าง
ช่วงเย็นเราแวะไปทานอาหารที่ร้านสินวนา รีสอร์ท ร้านนี้ถามจากพี่ๆ ในอุทยานนั่นแหละ เค้าก็แนะนำว่าร้านนี้โอเค ราคาแพงกว่าร้านปกติในสุโขทัยแต่ถูกกว่ากรุงเทพและอร่อยกว่าแน่ๆ 555 Recommend เลยคือหมี่กรอบสุโขทัย อยากซื้อกลับไปฝาก หวาน กรอบ มันส์ อร่อยมากกกกกก กินกันจนไม่กลัวแคลลอรี่และน้ำตาลขึ้นกันเลย
วันที่ 2 หลังจากเอ็นจอยอาหารเช้าสวยๆ แบบลูกคุณหนูที่เสิร์ฟมาให้เป็นเซ็ทๆ เราก็พุ่งไปที่โครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัย เพราะจองกิจกรรมที่นี่ไว้ในครึ่งวันเช้า วันนี้เราจะไปเรียนรู้การทำเกษตรแบบอินทรีย์กัน ภาพในหัวตอนแรกคือคิดว่าแค่เดินๆ ดูนู่นดูนี่ให้เค้าสาธิตทำให้ดู เราก็แค่เดินตามและอือๆ ออๆ กันไป แต่คิดผิด! เพราะมันคือการปฏิบัติจริงหวะคุณผู้ชม ต้องเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อหม้อฮ่อมแบบชาวน๊าชาวนา นั่งรถบรรทุกออกไปในฟาร์มที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
เริ่มตั้งแต่เก็บไข่เป็ด ไปดูสวนสัตว์ เอ้ออ สนามบินสุโขทัยมีสวนสัตว์ด้วยนะ แต่ช่วงนี้ปิดปรับปรุงเลยไม่ได้เข้าไป แต่มองจากรันเวย์ก็จะเห็นพี่ยีราฟ ม้าลาย วัวเต็มไปหมด เออเก๋ดีแฮะ
จากนั้นก็นั่งรถไปไหว้พระทันใจ ไปชมฟาร์มผักปลอดสารพิษ ไปลองสีข้าวและคัดเมล็ดข้าวพันธุ์ดีที่บางกอกแอร์เวย์ส ภูมิใจ๊ภูมิใจนำเสนออย่าง ข้ามหอมสุโข ด้วยตัวเอง
อะ! ยังไม่หมด ไปดูวิธีการทำกล้วยตากอาบแสงอาทิตย์ เปิดให้ดูสดๆ และลองหยิบชิมได้ด้วย 55555 ก่อนจะไปลองปลูกข้าวในแปลงสาธิตเพราะช่วงที่ไปฝนตกหนัก ทำให้ลงนาจริงๆ ไม่ได้ แต่ถ้าไปช่วงอื่นได้ดำนาจริงๆ ด้วยนะ ก่อนจะไปขี่พี่ควายที่ค่อนข้างเชื่องและไม่สนใจอะไรนอกจากกินทั้งวัน นี่คือกิจกรรมที่เราทำกันตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงประมาณ 11 โมงนิดๆ ก่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาทานอาหารออแกร์นิคที่รวมอยู่ในโปรแกรมครึ่งวันเช้านี้แค่คนละ 900 บาท ตอนแรกก็รู้สึกว่าแพงแต่พอได้ลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองและรวมค่าอาหารกลางวันด้วยแล้ว เอ้อออ คุ้ม!
อาหารกลางวันของที่นี่ก็รสชาติดีมากเลยถ้าใครไม่ได้มาทำกิจกรรมจะมาแวะกินอาหารก่อนกลับกรุงเทพก็มีนะ ราคาค่อนข้างถูกจนถึงถูกมาก และส่วนใหญ่เป็นผลิตผลจากในฟาร์มเอง ที่แนะนำสุดๆ คือน้ำต้นอ่อนใบข้าวปั่น หอม หวานกำลังดี และไม่เหม็นเขียว นี่ก็กินไปเลยค่ะ 3 แก้วถ้วน อิอิ
ช่วงบ่ายเราเข้าไปในเมืองแวะกินก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่เค้าว่าอร่อยนักอร่อยหนาของขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งมันก็อร่อยสมชื่อจริงๆ 555
ที่นี่มีหลายร้านมากๆ เราว่ากินร้านไหนก็อร่อยเหมือนกัน และอากาศช่วงบ่ายที่สุโขทัยค่อนข้างร้อน ถ้าจะไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์เลยก็อาจจะเร็วเกินไป
แนะนำว่าหาคาเฟ่เก๋ๆ ซักร้านนั่งชิวไปก่อนในตัวเมือง อย่างเรา เลือก หงษ์รามาทีรูม
ที่นี่เป็นโรงหนังเก่าเอามาทำเป็นโรงแรมด้านบนและคาเฟ่ด้านล่างก็ชิคๆ คูลๆ แบบบ่าวบ้านนั่งเมาท์มอยกับเพื่อนฝูงก็สนุกดี
ประมาณ 4 โมงเย็นเราออกจากตัวเมืองเก่ามุ่งหน้าไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ไฮไลท์ของทริปนี้ ที่นี่ถ้าไม่เที่ยวแบบเช้าไปเลย ก็แนะนำให้มาบ่ายๆ แบบนี้แหละ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตกจะสวยที่สุด สามารเช่าจักรยานขับในอุทยานได้หรือจะนั่งรถรางก็ได้เช่นกัน ค่าเข้าก็ถูกแสนถูกคนละ 30 บาท ค่ารถรางอีกคนละ 30 บาท อยู่ได้ทั้งวันเลยนะ!
เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่แตกต่างจากที่อื่น เมืองเก่าอื่นๆ อาจโดนทำลายเลยกลายเป็นเมืองเก่า แต่ที่นี่ไม่ได้โดนสงครามหรือถูกรุกราน แต่มันเสื่อมไปตามกาลเวลาของมัน ทำให้มันยังคงสภาพดีและสวยงามจนถึงทุกวันนี้จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก
ที่นี่มีหลายวัดมากๆ ถ้านั่งรถรางเจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำไปเรื่อยๆ เล่าถึงที่มาที่ไปพร้อมกับบอกลักษณะเด่นของแต่ละที่ว่ามีอะไรบ้าง เด่นๆ คือวัดมหาธาตุที่ตั้งอยู่กลางเมือง จุดนี้เค้าบอกว่าเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือลงสวยที่สุดในอุทยาน และมันก็สวยมากจริงๆ ขนาดเรายังยืนมองตั้งนาน เพราะมันเป็นภาพที่ไม่เหมือนที่ไหนๆ มันไม่ใช่ภาพวิวที่ไกลสุดตาแบบที่ผ่านๆ มา แต่มันคือภาพวัดวา ที่เป็นมรดกของชาติมันดูแล้วภูมิใจนิดนึงอะ อิอิ
หรือวัดสระศรีที่คนโบราณสร้างไว้กลางบึงน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า ตระพังตระกวน ก็สวยไม่แพ้กันนะฮ้า
ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่พื้นที่มันกว้างกว่า 70 ตารางกิโลเมตรเลยเดินได้สบายๆ ไม่เบียดเสียดกันแน่นอน
ไฮไลท์อีกคือวันศรีชุม ถ้าเคยเห็นตามโปสการ์ดหรือหนังโฆษณาประเทศไทย แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะมีวัดนี้ซึ่งอยู่ด้านนอกเขตอุทยานประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยังอยู่ในละแวกเดียวกัน ที่นี่มีพระอจนะ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ให้เราได้เข้าไปเดินเป็นแม่มณีจันทร์ขอพรคุณพระคุณเจ้าก่อนกลับกรุงเทพ
วันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพไฟลท์บ่ายแวะพักผ่อนกันให้เต็มที่ ก่อนแวะไปกินข้าวเที่ยงแบบสุขภาพดีที่ไม่ปกติไม่ค่อยจะกินกันที่โครงการเกษตรอินทรีย์ ภายในสนามบินสุโขทัยนั่นแหละ เมนูเดิมๆ แบบเมื่อวานสั่งทุกอย่างซ้ำอีกรอบ เพราะติดใจอร่อยมากจริงๆ โดยเฉพาะแกงส้มดอกขจร โอยยยยย หากินไม่ได้ง่ายๆ นะ! และด้านหลังยังมีน้องควายให้เราเดินไปเล่นได้ด้วยแหละ
ใกล้ๆ สนามบินยังมีคาเฟ่เล็กๆ ร้านนึงซ่อนตัวอยู่ จากปากทางเข้าสนามบินเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 1 กิโลเมตร มีร้านชื่อ จงกลคาเฟ่ ทีเด็ดคือกาแฟอันชัญแวะไปซื้อ ไปนั่งพักก่อนกลับมาขึ้นเครื่องบินได้สบายๆ
เรากลับจากสุโขทัยไฟลท์บ่าย สนามบินที่นี่สวยสมคำร่ำลือเพราะมันไม่เหมือนที่ไหนๆ ในโลกเอกลักษณ์ของสนามบินที่บางกอกแอร์เวย์สทำไว้นั้นดีมากเป็นหน้าเป็นตาให้บ้านเมือง 55555 ชอบความบูทีคแบบนี้เหมือนกัน มันธรรมดาไม่หวือหวา
รวมไปถึงบริการบนเครื่องที่เสิร์ฟอาหารร้อนเกือบทุกไฟลท์ หรือเป็น Light Meal แบบง่ายๆ ที่กินกันจนแน่น เพราะอิ่มกันตั้งแต่เลาจน์ในสนามบินเรียบร้อยแล้ว 5555
สุโขทัยเป็นเมืองที่มาเที่ยวง่ายๆ ชิวๆ เหมาะแก่การพาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยว แล้วเราเองก็ได้เปิดหูเปิดตากันไปด้วย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ต้องมาซ้ำบ่อยๆ แต่ถ้ามาเมื่อไหร่ก็ดูมีบรรยากาศให้น่าคิดถึงตลอดเวลา ลองมาเที่ยวสุโขทัยแบบบูทีคๆ ซักครั้ง ให้เมืองรองๆ แบบนี้เติมเต็มความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายกันนะ