เคยเป็นกันมะ! มันจะมีที่ๆ นึงที่เราอยากไปมาตลอด แต่มันต้องมีอะไรมาขัดจังหวะทำให้ไม่ได้ไปซักที เหมือนไม่มีดวงไปเจอมัน เหมือนมีความรักสุดท้ายแล้วก็โดนเท เงินที่เอาไปเปกันทั้งหลายนี่ก็กลับมาฉุกคิดได้ว่า เออ กูเอาไปเที่ยวดีกว่า 5555555
ทริปภูเขาไฟโบรโม่นี่เป็นทริปนึงที่เราอยากไปมากๆ มาตลอด นั่งดูตั๋วไปเรื่อยๆ “เฮ้ยยยย ไปกลับ 3xxx เองหวะ” แสดงว่าทั้งทริปถ้าไปซัก 5 คืนหมื่นห้าไม่เกินแน่ นี่ลุกลี้ลุกรน เอาไงดีๆ ถ้าไม่ไปตอนนี้อีกหน่อยมันจะเกร่อ อีกหน่อยเราจะไปเจอที่ๆ น่าสนใจกว่านี้จนไม่อยากไปดูมันรึป่าววะ นี่เลยตัดปัญหาความล่กของตัวเอง จองไปก่อนแม่งเลยใบนึง เป็นการยืนยันตัวตน ก่อนจะไปลากเพื่อนลากฝูงที่จองตามๆ กันมาได้อีก 9 คน เป็นอันว่าเริ่มทริปโบรโม่ได้แบบไม่เดียวดายและสวยงาม!
ทริปนี้ เราถ่ายด้วย Samsung Galaxy S7 edge ช่วงนี้ไปไหนก็พกไปด้วยตลอด “ว้าย อันนั้นสวย” ก็ถ่ายแชะ “ว้าย หนุ่มอินโดกล้ามปู” ก็ถ่ายอีกแชะ “ว้ายกำมะถันในที่มืด” ก็ยังถ่ายติด 555555 รอบนี้นอกจากกล้องแล้วก็พก S7 นี่แหละไปเที่ยวด้วย
เรานึกภาพไม่เคยออกเลยว่าเราจะเดินทางยังไงในทริปนี้ รู้แค่ว่าแต่ละที่มันอยู่ห่างกันพอสมควร บางทีต้องนั่งรถเป็นวันๆ การไปเองในเวลาที่จำกัดนี่ไม่ถูกต้องแน่นอน จะเช่ามอไซค์ขับเองแบบฝรั่งลุยๆ ก็คงไม่ใช่ทาง เดี๋ยวลงข้างทางแน่นอน เราเลยตัดสินใจจ้างไกด์ “สวัสดีบาม (คือจริงๆ เขาชื่อ Bramanti แต่นี่เรียกบามๆ) เรามีเวลา 6 วัน ช่วยจัดทริปให้หน่อยได้ปะ เอาแบบให้เห็นทะเล น้ำตก ภูเขาแบบครบๆ” นอกนั้นบามจัดการให้เราหมดเลย 555555
เริ่มกันที่สนามบิน Surabaya ไฟลท์เราDelayed ทำให้มาถึงค่อนข้างดึก ฝนตกหนักมาก เหมือนเป็นการสมน้ำหน้าเรา ฮึ ตั๋วถูกก็ได้แค่นี้แหละมึง เราแวะซื้อซิม(Sim Pati ดีทีสุดด) ซื้อขนมนิดหน่อย แล้วตีรถยาวๆ ไปประมาณ 8 ชม. (รวมเวลาหลับของคนขับ) ก็จะถึง BANYUWANGI (บันยูวาหงี่) เราว่าที่นี่สวย! เมืองนี้เหมือนเป็นเมืองแวะสำหรับคนที่มีเวลาเหลือไม่ต้องรีบไป Ijen เราแวะเที่ยว BANYUWANGI กันหนึ่งคืน ที่นี่หาดทรายเป็นสีดำ และน้ำทะเลเป็นสีฟ้าแบบ ฟ้ามากจริงๆ ตอนแรกก็มโน เดี๋ยวจะนั่งอ่านหนังสือริมหาด ฝรั่งน่าจะเยอะ เอ็นจอยเบาๆ ที่ไหนได้คนแทบไม่มี เราเลือกโปรแกรมไป snorkel กันสวยๆ ตามสไตล์คนเบาๆ อยากพักผ่อน 5555 ที่นี่จะไม่ใช่เรือลำใหญ่เหมือนภาคใต้บ้านเรานะ มันคือเรือเหมือนเรือหางยาว ก็นั่งแฉะๆ กันไปตามเกาะต่างๆ ดำน้ำดูปะการัง ปลาแหวกว่าย เราว่ามันก็สวยตามธรรมชาติของมันแบบโลกใต้ท้องทะเลนั่นแหละ แต่ชอบสีน้ำและหาดทรายมากกว่า ดำแบบน่าสนใจมาก แนะนำว่าควรพกขนมไปเยอะๆ เพราะหิวมาก ล่อไปหลายชั่วโมงอยู่
จาก BANYUWANGI ขับไปประมาณ 45 นาทีก็ถึงน้ำตก Blawan Waterfall เชื่อมั้ยว่าเกิดมายังไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหลแรงและเร็วขนาดนี้ 55555 เพราะมันอยู่ใกล้ด้วยมั้ง เลยเห็นความเร็วของมันที่แบบปังๆ กระแทกเข้าหน้า แถมตอนเราไปไม่มีอะไรมากั้นทั้งนั้น จะเดินเหินถ่ายรูปยังไงต้องคอยระวังกันพอสมควร แต่รอบนี่เขียวขจีและโคตรอุดมสมบูรณ์
เราใช้ S7 ถ่ายทำให้ภาพคมชัดมากขึ้น ด้วยความละเอียดกล้องหลังมากถึง 12 ล้านพิเซลและหน้าจอกว้างถึง 5.1 นิ้ว ทำให้รู้สึกเหนือกว่าเพื่อนไปโดยปริยาย “ไหนแก ยืมมาเซลฟี่หน่อยยยย” คือได้ยินประโยคนี้ทั้งทริป นี่ก็เบะปากใส่รัวๆ
ตัวน้ำตก Blawan มันก็อยู่ในหมู่บ้านที่เราจะนอนกันคืนนี้นั่นแหละ ต้องบอกก่อนว่าอย่าคาดหวังกับความสะดวกสบายของที่พักบนดอยแบบนี้ มันก็เหมือนต่างจังหวัดบ้านเราที่ยังไม่ค่อยเจริญอะ ไม่ได้มีอะไรหวือหวาคอยรองรับเราหรอก แค่มีWi-fi ติดๆ ดับๆ ให้ใช้นี่น้ำตาก็จะไหลแล้ว มีแต่ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดารอให้เราสัมผัสเท่านั้นแหละ ถึงที่พักเย็นๆ ที่นี่ทำไข่เจียวอร่อยมาก เหมือนรสมือแม่ที่บ้าน 55555 นี่เอาน้ำพริกมาด้วยก็จ้วงกันเต็มที่เลย น้ำตาแทบไหล มันอร่อยอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ
จุดพีคแรกของทริปนี้จริงๆ ก็มีแค่ 2 ที่ถ้าไม่นับน้ำตก ที่นี่คือที่แรก Ijen เรางัวเงียตื่นกันตั้งแต่ประมาณ ตีหนึ่งทั้งๆ ที่พึ่งหลับไปตอนสี่ทุ่ม โดยจะออกเดินทางตอนตี 2 ไปดู Ijen และ BlueFlame บอกเลยว่าอากาศหนาวแต่อย่าบ้าหอบฟางขนไปเยอะ เพราะต้องเดินทางที่ชันและมืดอีกประมาณ 3 กิโล มันจะร้อนเองไปโดยปริยาย ข้อดีของการเดินตอนกลางคืนคือดาวสวย และไม่ต้องใส่ใจมากว่ามันจะชันขนาดไหน แค่รีบเดินๆไปให้ถึงจุดที่สวยสุดก็พอ
มีอีกหลายกลุ่มมากที่เดินทำให้ระหว่างทางไม่เหงาเลย ที่สำคัญใครไม่อยากเดินเค้ามีบริการรถลากด้วยนะ มีคนลากพาขึ้นไปและกลับลงมาส่ง ราคาไปกลับประมาณ 1500-2000 บาท ก็จะสบายไปอีกแบบ สำหรับคนที่มาที่นี่อย่าลืมหน้ากากกันพิษเด็ดขาด มันไม่ใช่หน้ากากที่ใช้เวลาเป็นหวัดนะ แต่มันต้องเหนือกว่านั้น ลองถามจากไกด์ดูก็ได้ว่ามีให้รึป่าว อย่าลืมพกน้ำและขนมไปเยอะๆ มันจะหิวตอนเดินเสร็จ และคอแห้งมาก
เราใช้ S7 ถ่ายใน Ijen ค่อนข้างเยอะ เพราะถ่ายในที่มืดได้ดี ไม่ว่าจะ Blueflame หรือระหว่างเดิน เราค่อยๆ รอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Ijen มันเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนจริงๆ เป็นโมเมนท์และมุมที่ทุกคนควรมาสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้งในชีวิต ไม่พูดมากหรอกเดี๋ยวจะหาว่าโม้ เพรามันสวยมากจริงๆ เค้าบอกว่ามีแค่ 2 ที่ในโลกเท่านั้นนะ คือที่ Iceland กับ Ijen นี่แหละ
Ijen ตอนพระอาทิตย์ใกล้ขึ้นมันสวยมาก เป็นอะไรที่ควรค่าแก่การสละเวลามาเดินปีนเขาตอนดึกๆ ดื่นๆ ถ้าเช้ามาเจอวิวแบบนี้เราก็ยอม และแนะนำให้ทุกคนควรยอมมาด้วยเหมือนกัน
ขับรถต่อไปอีกประมาณ 6 ชั่วโมง คนอื่นเวลามาเที่ยวอาจจะจัด Bromo กับ Madakaipura ไว้ด้วยกันคือ ไปโบรโม่ตอนเช้าแล้วไป Madakaipura ตอนบ่าย แต่สำหรับเรา เราว่ามันควรอยู่คนละวัน เพราะมันใช้พลังเยอะทั้ง 2ที่ เค้าบอกว่าน้ำตกที่นี่เมื่อก่อนเอาไว้นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมกันด้วยเดิน ผ่านก็เชื่อแหละเพราะว่ามันสงบ และเข้าไปค่อนข้างลึก แถมเปลี่ยวมากถ้าไปตอนกลางคืน เราไปช่วงรอมฏอนคนแทบไม่มีเลย
ทางเดินที่นี่ไม่ยากเท่าไหร่เค้าทำไว้อย่างดีแล้ว มันจะยากก็ตรงไปถึงน้ำตกนี่แหละ แนะนำว่าอย่าลืมเสื้อกันฝน เสื้อผ้าที่เปียกน้ำได้ และรองเท้าแตะ เพราะมันจะเปียกไปทั้งตัว เสื้อกันฝนที่ใส่เนี่ยคือเอาไว้บังหน้าไม่ให้มันกระเด็นเข้าตาจนแสบ 55555 น้ำที่นี่ไหลแรงและเย็นมาก แต่บอกเลยว่าคุ้มค่าที่จะไปดู เพราะมันสวยแบบตะลึงจริงๆ
เราหยิบ S7 ออกมาถ่าย เพราะมันเป็นเครื่องเดียวตอนนั้นที่กันน้ำได้ ได้รับการรับรองมาตรฐาน IP68 ปัญหาคือหน้าจอมันอาจจะกดไม่ค่อยติดเพราะเป็นกระจก ให้กดด้วยการใช้ปุ่ม Volume แทน ทีนี้ก็ถ่ายกันมันส์เลย บอกเลยนะว่าควรไปดูซักครั้งในชีวิต ถ้าตั้งใจไปโบรโม่แล้ว อย่าตัดที่นี่ทิ้งเด็ดขาด แต่ข้อควรระวังคือ อย่าเล่นใหญ่เยอะเกินไป เพราะแม่งทางโคตรอันตรายเลยสำหรับเรา ไม่ว่าจะโขดหิน น้ำไหลแรง เอาแบบพอดีและมีสติเนาะ น้ำตกที่นี่สวยงามและยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตพวกแกก็ยิ่งใหญ่กว่า อย่าไปผลีผลามหรือเล่นใหญ่เกินจริงจะลำบากเอา
เราพักที่ Lava View Lodge ข้อดีคือตื่นเช้าว่าเห็นภูเขาไฟอยู่ด้านหน้าโรงแรมเลย และห้องก็ใหญ่มาก อาหารก็อร่อย เราแนะนำที่นี่ ไม่รู้ว่าแพงกว่าที่อื่นมากมั้ย แต่เราว่าที่นี่โอเคสำหรับคนเรื่องมากแบบเรา ชั้นนอนได้! 55555 เรารีบทำอะไรให้เสร็จแล้วเข้านอนทันที เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 สำหรับที่นี่พกเสื้อกันหนาวไปด้วยสำหรับตอนเช้า พอบ่ายๆ ก็เริ่มร้อนละ และคอสตูมต้องเต็มนะคะ จะมาไก่กา ไม่ได้ เสื้อเขียวทหาร รองเท้าบูต ทาตาเข้มๆ ปากแดงๆ เอาให้พร้อมนะจ้ะ ภูเขาไฟนี่ไม่ได้หาถ่ายได้แถวชลบุรีหรือเชียงใหม่นะ
จุดแรกที่เราไปมันก็แพลนเดิมๆ นั่นแหละ คือยอดเขา Penajakan คนก็จะไปแออัดยัดเยียดกันแถวๆ นั้น เราแนะนำว่าลองหาซอก หาซอยหลืบๆ ดูมันจะมีจุดอื่นให้ดูได้เหมือนกันแต่ไม่ต้องเบียด เราไปกับบาม บามเลยแนะนำว่า “มึงไม่ต้องขึ้นไปเบียดหรอก เดี๋ยวพาไปอีกที่ เห็นเหมือนกันไม่มีคนด้วย เดี๋ยวพอไอ่พวกนั้นลงมา เราค่อยขึ้นไปถ่ายแบบสบายๆ” นี่ก็เชื่อไปอีก ตามบามว่าเลย จะเอาไงก็เอา ไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่แล้ว
ยอดเขาPenajakan จะทำให้เราเห็น Overview ของภูเขาไฟที่นี่ทั้งหมด ทั้งโบรโม่และสุเมรูยังเดือดบุ๋ยๆ รอวันปล่อยพลังออกมา ทุกวันนี้มันก็ยังพ่นควันออกมาตลอด เพียงแต่ไม่ได้อันตรายเท่านั้นเอง
เสร็จจากยอดเขาก็ลงมาด้านล่าง ช่วงที่อยู่โบรโม่เราจะได้นั่งรถจี๊ปกันมันส์มาก เวลามันเลี้ยวหรือมันส่าย เหมือนนั่งรถลุยทะเลทรายแบบนั้นแหละ ควรเตรียมผ้าปิดปากไปด้วยนะ เพราะฝุ่นเยอะมากจริงๆ ทางเดินจากจุดที่รถจอดไปบนโบรโม่ค่อนข้างไกล มันเดินได้
เสร็จจากยอดเขาก็ลงมาด้านล่าง ช่วงที่อยู่โบรโม่เราจะได้นั่งรถจี๊ปกันมันส์มาก เวลามันเลี้ยวหรือมันส่าย เหมือนนั่งรถลุยทะเลทรายแบบนั้นแหละ ควรเตรียมผ้าปิดปากไปด้วยนะ เพราะฝุ่นเยอะมากจริงๆ ทางเดินจากจุดที่รถจอดไปบนโบรโม่ค่อนข้างไกล มันเดินได้
แต่เราเลือกที่จะนั่งม้า เพราะแม่งเห็นทางละ นอกจากกูต้องคอยหลบขี้ม้าแล้ว ฝุ่นก็ยังเยอะอีกต่างหาก ค่านั่งม้าไปกลับจะอยู่ที่ประมาณ 400 บาทไปกลับ ถ้าเดินไปได้ครึ่งทางแล้วอยากนั่งมันควรจะอยู่ที่ 250-300 ไปกลับนะ ไม่ควรเกินจากนี้
ที่โบรโม่ฝุ่นเยอะมาก แต่ยังไม่เท่า Ijen กลิ่นกำมะถันอ่อนๆ แนะนำว่าจะใช้อะไรให้ระมัดระวังฝุ่นเข้า รวมถึงน้ำและของว่างที่เตรียมไว้กินด้วยนะ กล้องก็ด้วยนะใช้กันต้องระวังให้มาก ของเพื่อนเรากลับมาฝุ่นเพียบ ยิ่งถ้าจะเปลี่ยนเลนส์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยแหละ ไม่ว่าทางขึ้นบันไดหรือขึ้นไปแล้วเดินด้วยสติทุกก้าวนะ ลูกผัวยังไม่มีพลาดลงไปนี่เสียดายชีวิตแย่เลย
นี่แหละบ้านเราภูเขาไฟที่มีอยู่ลำปางก็ดับวอดไปหมดแล้ว พอมาเห็นของจริง ก็พึมพัมกับตัวเอง “เออดีละ ที่บ้านกูไม่มี” เราว่ามันน่ากลัว มีความเชื่อว่าเทพโบรโม่ที่เคยสถิตอยู่ที่นี่เก็บของย้ายบ้านไปแล้ว หลังจากการระเบิดครั้งล่าสุด ชาวบ้านบางกลุ่มที่อยู่รอบๆ ก็พลอยทยอยย้ายไปด้วย
ช่วงที่เราขึ้นไปบนปากปล่องโบรโม่ ไม่มีเสาหรือรั้วปูนดๆ กัน ต้องเที่ยวด้วยความระมัดระวังส่วนตัว 5555 นั่นแหละ อย่าวู่วามหรือเล่นมากไป มันไม่มีแน่นอนถ้าเกิดอะไรขึ้นบนนี้ ถ่ายรูปให้เสร็จ เก็บความประทับใจ แล้วเดินลงจ้ะ ข้างๆ ทางจะมีขายดอกไม้แห้ง เค้าบอกว่าให้เอาโยนลงไปในปากปล่องเป็นเหมือนการบูชาเทพเจ้าโบรโม่(ซึ่งอาจจะไม่อยู่แล้ว 5555)
รอบๆ โบรโม่ เอาจริงๆ มันมีตั้ง 4 จุดสำหรับการมาเที่ยวที่นี่ คือไกด์จะพาเราแวะทุกที่เก็บทุกเม็ดให้ครบสำหรับการมาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Penajakan,Bromo,Savannah และ Whispering sand อย่าพลาดหรืออิดออดไม่ยอมไปดูเพราะเหนื่อยหรือหิวข้าง ควรไปดูให้ครบจนเสร็จ!
เสร็จจากโบรโม่ประมาณ 11โมง เรารีบกลับโรงแรม ทานข้าว อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจากฝุ่น แล้วตีรถกลับสุราบายา เราเลือกนอนสุราบายาอีกคืน เพราะอยากแวะเดินเล่นในห้าง ดูวีถีชีวิตเมืองสุราบายา และกินโรตีบอยที่เมื่อก่อนฮิตจริงๆ ที่เมืองไทย แต่ที่นี่ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม
โคตรคิดถูกเลยที่เลือกมาที่นี่เพราะ ไม่น่าเชื่อว่าใกล้ๆ บ้านเราแค่นี้จะมีลมหายใจของเทพเจ้าอย่างโบรโม่ Blueflame ที่มีไม่กี่ที่ในโลก มีน้ำตกที่สูงและใหญ่จนน่าใจหาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันคงเป็นแค่เรื่องเมาท์ของเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไปกลับมาแล้วบอกว่าชอบ เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันดีแค่ไหน มันดีจริงๆ นี่มันดียังไง จนกว่าจะได้มาสัมผัสได้ด้วยตัวเอง รีบมา เดี๋ยวเชยนะ