หลังคลายล็อคดาวน์ สิ่งนึงที่เราคิดถึงไม่น้อยไปกว่าการเดินทางคือการรับประทานอาหารนอกบ้าน จิบเครื่องดื่มชั้นดีที่ Pairing พร้อมกับอาหารที่พิถีพิถันขั้นสุด เพื่อเฉลิมฉลองให้สมกับการออกมาทานอาหารนอกบ้านกันอีกครั้งในช่วงบรรยากาศดีๆ สิ้นปีแบบนี้ เธอลองหลับตาจินตนาการถึงอาหารรสชาติระดับพรีเมียม วัตถุดิบที่เตรียมมาอย่างดี และเชฟที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกๆ ขั้นตอน หัวเราะคิกคักกับเพื่อนหรือยิ้มกริ่มให้กับตัวเอง เป็นการเปลี่ยนทริปเดินทางที่ยังไปไหนไกลไม่ได้มาเป็นมื้อพิเศษเพื่อให้รางวัลตัวเองที่ดีเชียวหละ!
วันนี้อยากแนะนำ Fine Dining 3 ร้านสุดพรีเมียมที่พึ่งไปรับประทานกันมา รีวิวนี้รวม Tomahawk ที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ พร้อม Truffle Risotto ที่หอมละลายในปาก รวมไปถึง Cheeses & Cold Cuts ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยทานมาในชีวิต และอาหารไทยแนวคิดใหม่ที่เน้นใช้วัตถุดิบในประเทศไทยทั้งหมด การันตีความอร่อยด้วยรางวัลมิชลิน 1 ดาวและติดอันดับใน Asia’s 50 Best Restaurants ทุกเมนูแต่ยังคงความสร้างสรรค์ แปลกใหม่ และมีรสนิยม
นี่คือ 3 ร้าน ที่การันตีโดย Michelin Guide ที่เราอยากแนะนำ มันคือความพรีเมียม เป็นความหรูหราอย่างเป็นกันเอง เหมาะอย่างยิ่งกับการไปใช้บัตร American Express Platinum เฉลิมฉลองในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ พร้อมสิทธิพิเศษให้ผู้ถือบัตรทุกคนรับประทานอาหารกับคนรัก เพื่อนสนิท ครอบครัวหรือไปคนเดียวแบบเท่ๆ ‘ฟรีเครดิตเงินคืนทันที 7,500 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น!’ เพียงโทรเข้า Call Center เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ก่อน แล้วก็เลือกไปทานตามลิตส์ร้านอาหาร Fine Dining กว่า 21 แห่งที่ร่วมรายการได้เลย ดูร้านอาหารได้ที่ https://amex.co/3kJpH8P
ใครยังไม่มีบัตรแพลทินัมตอนนี้ก็ยังรีบสมัครได้ทัน เพราะผู้ถือบัตรใหม่ก็สามารถใช้สิทธิ์ได้จนถึงสิ้นปี และขอบอกว่าโปรสมัครบัตรตอนนี้คือดีและแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว สมัครเลยวันนี้พร้อมสิทธิพิเศษระดับ VIP คลิก https://amex.co/3G4OFbh
Cocotte Farm Roast & Winery
ในซอยสุขุมวิท 39 ที่วุ่นวายยังมีร้านอาหารฝรั่งเศสอารมณ์ดีแสนพรีเมียมอย่าง Cocotte Farm Roast & Winery ร้านนี้โดดเด่นมีวัตถุดิบ เพราะวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศไทยถูกส่งตรงมาจากมูลนิธิโครงการหลวง ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วย Support Local Community ให้ยั่งยืน ผสมผสานกับวัตถุดิบชั้นนำอย่างดีที่นำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับเราที่นี่เหมือนเป็นร้านอาหารอารมณ์ดีที่สามารถมาทานมื้อรีบๆ ระหว่างวันก็ได้ หรืออยากนั่งชิวกับเพื่อนก็มี Vibes ที่เป็นกันเองและสบายๆ ตลอดทั้งวันก็ได้เช่นกัน
ที่นี่เราสั่ง Signature Menu ที่ได้รับรางวัล Michelin Plate ปีล่าสุด อย่าง Smoked Beef & Burrata, Truffle Risotto และเด็ดที่สุดคือ Tomahawk Australian Wagyu Farmer Board ซึ่งไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว เพราะเค้าเคลมไว้ว่านี่คือ ‘The most exquisite tomahawk in town’ ที่เสิร์ฟพร้อมซอสต่างๆ มากถึง 3 ชนิด อร่อยแบบตาเยิ้ม
และอย่าลืมสั่ง Farmer Board ที่มาพร้อม Cold Cuts & Cheese อย่างละ 3 ชนิด จัดจานมาอย่างสวยงามน่าถ่ายรูปและรสชาติก็ไม่เป็นรองใครจริงๆ ปิดท้ายด้วยของหวานที่ใครๆ มาก็บอกว่าอย่าลืมทานอย่าง Cocotte’s Tiramisu ที่ไม่หวานจนเกินไป ล้างปากปิดท้ายมื้อดีๆ ได้อย่างดี
ส่วนใครที่ชอบเครื่องดื่มสดชื่นๆ ที่นี่มีทั้ง Cocktails และ Mocktails ให้เลือกดื่มคู่กับอาหารที่สั่งมาสามารถสอบถามคำแนะนำจากพี่ๆ พนักงานและบาเทนเดอร์ได้เลย อย่างรอบนี้เราได้ลอง Signature Menu อย่าง Angel Heart ที่มีความหวานอมเปรี้ยวของพีซ สตรอเบอร์รี่ และนมเปรี้ยวและ Spring Blossom ที่เอาผลไม้มาทั้งสวนอย่างราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แอ๊ปเปิ้ล มีกลิ่นหอมนิดๆ ปลายจมูกจากวนิลาและอบเชยที่ลนไฟให้มีกลื่นหอมตั้งแต่จิบแรก!
อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่า “บัตร American Express Platinum ที่พร้อมเฉลิมฉลองในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ไปกับเธอด้วย สิทธิพิเศษให้ผู้ถือบัตรทุกคนรับประทานอาหารกับคนรัก เพื่อนสนิท ครอบครัวหรือไปคนเดียวแบบเท่ๆ ‘ฟรีทันที 7,500 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น!’” นี่ไม่ใช่คำอวยเกินจริงหรือมีเงื่อนไขหยุมหยิมนะ เพราะเพียงแค่สมาชิกบัตรหลักลงทะเบียนผ่านทาง Call Center แล้วไปทานร้านอาหารที่อยู่ในลิสต์ทั้ง 21 ร้านในประเทศไทยตามลิงก์นี้ https://amex.co/3kJpH8P ก็จะได้รับเงินคืนเข้าบัตรทันทีตั้งแต่บาทแรกที่ใช้สูงสุด 7,500 บาทต่อบัญชีบัตร นี่คือสิทธิพิเศษดีๆ ที่ American Express มอบให้ผู้ถือบัตร Platinum ทุกท่านเพื่อการเฉลิมฉลองโดยเฉพาะ
Lenzi Tuscan Kitchen
เพื่อนเราบอกว่าถ้าอยากกินอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ รสชาติเหมือนนั่งอยู่ริม Como Lake หรือจินตนาการว่าพึ่งเดินช้อปปิ้งกลางมิลานเสร็จแล้วกำลังหาร้านอาหารอิตาเลี่ยนดีๆ อยู่หละก็ … แนะนำร้านนี้เลย ใจกลางซอยร่วมฤดีที่บอกกันปากต่อปากจนโด่งดังอย่าง ‘Lenzi Tuscan Kitchen’ ร้านอาหารอิตาเลี่ยนสุดพรีเมียมที่ได้รับรางวัล Michelin Guide จนเราต้องขอมาลองด้วยตัวเองซักครั้ง
จุดกำเนิดของร้านนี้ย้อนกลับไปในปี 1945 ใกล้กับแคว้นทัสคานี ในประเทศอิตาลีครอบครัวของเชฟ Francesco Lenzi มีฟาร์มเป็นของตัวเอง จนกระทั่งได้ย้ายมาเป็นเซฟที่กรุงเทพฯ ก็ยังวัตถุดิบต่างๆ จากฟาร์มของครอบครัวมาปรุงอาหารแบบพิถีพิถันต่อในกรุงเทพ ผสมกับวัตถุดิบจากประเทศต่างๆ ที่ต้องเป็นที่สุดในแต่ละด้าน และวัตถุดิบในประเทศบางชนิด จนกลายมาเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ รสชาติดีจนหลายคนรวมทั้งเราก็ติดใจเหมือนนั่งทานอาหารในบ้านเพื่อนแบบโฮมเมดสุดๆ แถมมี Open Kitchen ให้ดูทุกขั้นตอนเลยด้วย

มาที่นี่เราขอแนะนำให้สั่ง Tagliere del Lenzi ที่มีให้เลือกถึง 3 ไซส์สำหรับคนชอบทาน Coldcut & Cheese เพราะวัตถุดิบทั้งหมดถูกส่งตรงมาจาก Lenzi’s Farm ในแคว้นทัสคานี แน่นอนไม่ว่าจะชีสนมแพะหรือนมวัว มันต้องอารมณ์ดีแน่ๆ เพราะมันถูกเลี้ยงแบบฟาร์มเปิดและแฮมหมูในจานนี้มีมากกว่า 7 ชนิด จากส่วนต่างๆ ที่ดีที่สุด บอกเลยส่าจานนี้ไม่ผิดหวัง สมแล้วที่เป็น Signature Dish มันเป็น Coldcut & Cheese ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลยแหละ!

ส่วน Menu of the day วันที่เราไปทานคือ Tuna Tartare ที่ทำมาจาก Blue Fin Tuna หั่นพอดีคำและมาพร้อมซอสที่ท้อปลงบนเนื้อทูน่าอย่างผสมด้วยซอส Burrata cheese , Balsamic Pearl และ Creamy Avocado ลงตัว
สำหรับ Pasta และ Main Course เราสั่งมาด้วยกัน 2 อย่างคือ I Rigatoni Di Sam Miniato พาสต้าเส้น Rigatoni พร้อมไส้กรอกจาก Lenzi’s Farm พร้อม Porcini Mushroom และ Truffle จากเมือง San Miniato ในแคว้นทัสคานีเช่นกัน จานนี้ต้องรีบกินตอนร้อนๆ อย่ามัวถ่ายรูปจนเพลิน เราชอบการทานอาหารแบบนี้นะ มันมีเรื่องราว มันมีที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่ทำให้เราตื่นเต้นว่าจานด้านหน้าที่เรากำลังจะทานมันคืออะไร มาจากไหน ในเมื่อเซฟตั้งใจทำ เราเองก็จะทำหน้าที่ตั้งใจกินให้ดีที่สุด อิอิ
และ Main Course อีกจานที่ไม่อยากให้พลาดสำหรับคนชอบทานเนื้อแกะ เพราะ Imported From Tasmanian หมักในน้ำผึ้งและทำให้สุกผ่านเตาอบฟืน เสิร์ฟพร้อมแครอทรมควันและกระเทียมบดใส่เห็ดทรัฟเฟิลสีดำ ราดด้วยซอสสุดพิเศษของร้าน

ส่วนของหวานที่ดีงามสำหรับคนชอบกินแป้งแบบเราคือ Bonboloncini Ripienni หรือ Italian Doughnuts นั่นเอง ที่นี่สอดไส้คัสตาร์ดหอมๆ ราดด้วยซอสจากบลูเบอร์รี่และโปะหน้าด้วยผลไม้สดหลายชนิด สดชื่น ชุ่มฉ่ำมาก กินเสร็จแล้วนั่งอืดกันแบบสบายใจ

80/20 (เอ็ทตี้ ทเวนตี้)

เราเคยทานร้านนี้ครั้งแรกที่อีเวนต์ Fruitfull by Wonderfruit ที่บ้านจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) เมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นความประทับใจจนมาถึงวันนี้เพราะเมนูที่สร้างสรรค์ หยิบจับส่วนผสมต่างๆ ที่ดูไม่เข้ากันออกมาเป็นอาหารพรีเมียมที่รสชาติดี และบอกกับตัวเองว่าจะกลับไปทานที่ร้านให้ได้ จนมาวันนี้ได้มีโอกาสกลับมาลอง ‘Welcome Back Tasting Menu’ เป็นชื่อคอร์สที่เหมือนรู้ใจเรามากจริงๆ แถมมาในรูปแบบไฟน์ไดนิ่งเต็มรูปแบบทั้ง 10 คอร์สเลย
ร้านอาหารริมถนนเจริญกรุงนี้มาในคอนเซปต์ 80/20 ที่แรกเริ่มมีแนวคิดมาจากการผสมผสานวัตถุดิบพื้นบ้านในประเทศ 80% และวัตถุดิบชั้นดีจากต่างประเทศอีก 20% แต่ปัจจุบันได้เลือกใช้เฉพาะวัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากในประเทศทั้ง 100% แล้ว นอกจากนี้ยังเน้นส่วนผสมพื้นบ้านที่อาจโดนมองข้าม หรือไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถนำมาเป็นอาหารได้อย่างลงตัว ผสมกับความครีเอทีฟเข้าไปจนออกมาเป็นเมนูต่างๆ ในร้านนี้โดยเฉพาะ

สำหรับ ‘Welcome Back Tasting Menu’ ที่เราอยากแนะนำนั้นแม้ว่าชื่อเป็นอาหาร Tasting แต่พอทานครบแล้วอิ่มท้องจนแน่น เราขออธิบายแบบคร่าวๆ เพราะอยากให้ทุกคนเซอร์ไพรส์ตอนไปรับประทานด้วยตัวเองมากกว่า ?
ในคอร์สนี้เราชอบ Stormy Sea ที่สุด มันคือเนื้อปลาหมึกจิ๋วๆ ที่เซฟได้รับแรงบันดาลใจจากการไปตกปลาที่จังหวัดจันทบุรี ซอสที่ราดบนเนื้อปลาหมึกเป็นรสชาติที่เราไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน สีหวานๆ แบบนี้จัดจ้านลงตัวกับเนื้อปลาหมึกสดๆ มาก เพราะเดรสซิ่งหลักที่ทำมาจากมังคุดผสมกับสละและพริกซอย มันหอม เปรี้ยว เผ็ดแต่สดชื่น
Main Course ที่อร่อยมากๆ อย่าง Grilled Beef Curry ที่เห็นแค่ชื่ออาจจะคิดว่าเป็นเมนูแกงธรรมดา แต่หลังครัวมันคือวัตถุดิบและวิถีการทำแบบพื้นบ้านเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด อย่างเช่นเนื้อส่วนที่ดีที่สุดจากจังหวัดสุรินทร์ ทั้งย่างหอมๆ และตุ๋นผสมกับพริกแกงแดง หรือข้าวสวยที่หอมมากๆ เพราะหุงด้วยวิธีแบบข้าวเช็ดน้ำ ที่ทำให้หอมกะทิ และข้าวก้นหม้อมีความเกรียม กรุบกรอบเบาๆ ทานแนมด้วยสมุนไพรพื้นบ้านนานาชนิด และเครื่องเคียงที่ทำมาจากหน่อไม้ฝรั่งผัดพริกไทยดำ ท้อปด้วยไข่นกกระทาที่ทำเป็นไข่ดาว แค่นี้ก็ฟินไปถึงอีสานบ้านเฮาละเด้อ


ไม่ใช่แค่คอร์สหลักๆ ที่ครีเอทได้น่าสนใจ แต่รวมไปถึง Palate Cleanser ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ จนเราแอบเผลออยากให้คอร์สหลักหมดเร็วๆ จะได้ทาน Palate Cleanser อาหารล้างปากตัวต่อไปเร็วๆ ซะที ยกตัวอย่างชื่อเมนูที่อยากทำให้น้ำลายไหลเช่น Nam Fon (น้ำฝน)และ Lao kao (เหล้าข้าว) อร่อยมาก เป็นรสชาติที่ไม่เคยทานที่ไหนจริงๆ
และตบท้ายด้วยของฝากที่เหมือนโดนเชฟวางยาให้กลับมาทานที่นี่อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่าง สวนมะพร้าว ไอศกรีมที่เป็นมากกว่ามะพร้าวธรรมดา หอมน้ำผึ้งและนุ่มด้วยคัสตาร์ด กับ บ้าบิ่น ขนมไทยง่ายๆ ที่เอามาสอดไส้กล้วย แบบไม่เหมือนใคร อร่อยจนเผลอหลับตาพริ้มและเลียขอบปากกันเลย
นี่เป็นแค่ตัวอย่าง 3 ร้านอาหารชั้นเลิศแบบพรีเมียมจากทั้งหมด 21 ร้านในประเทศไทย ที่สามารถไปลิ้มรสมื้ออาหารได้ฟรีๆเพียงแค่เป็นคุณเป็นผู้ถือบัตร American Express Platinum ที่มอบเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 7,500 บาทตั้งแต่บาทแรกที่ใช้ และยังมีร้านอาหารชั้นนำอีกหลายแห่งทั่วโลกที่อาจจะได้เดินทางไปเที่ยวเร็วๆ นี้ สามารถทานได้ทุกร้านที่ร่วมรายการและดูรายละเอียดต่างๆ ได้ทาง https://amex.co/3kJpH8P ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2564
