“จ้างก็ไม่ไปหรอก อินเดีย!” เราเคยพูดกับตัวเองไว้แบบนั้น ตอนที่ยังไม่รู้จักประเทศนี้ดีพอ เพราะถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ดังๆ ที่ถ่ายทำในอินเดียไม่ว่าจะเป็น Slumdog Milionaire, Water หรือ The Lunchbox จะเห็นภาพอินเดียผ่านการนำเสนอจากสื่อที่ว่า อินเดียมันสกปรก วุ่นวาย เลอะเทอะ และอย่าได้พูดถึงเรื่องกลิ่น! แม้ว่าหนังเหล่านี้จะมอบข้อคิดดีๆ ได้ยอดเยี่ยมหลังดูจบแต่ภาพเหล่านั้นเปิดรอบฉายวนเวียนและตอกย้ำอยู่ในหัวเราเรื่อยมา ไม่แปลกที่เวลาใครบอกว่าอยากไปอินเดีย เราเป็นต้องทำหน้ายี้ใส่ ส่ายหัวให้สองที พร้อมคิดในใจว่า “จ้างก็ไม่ไปหรอกอินเดีย”
แต่ส่ายหัวได้ไม่ทันไร ก็ต้องเปลี่ยนใจกลับมาพยักหน้าขึ้นลง เหตุเกิดเพราะภาพถ่ายไม่กี่ภาพที่เราเห็นผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า
ที่ได้ฉายทับภาพยนตร์อินเดียในหัวเราทั้งหมด พร้อมขึ้นซับไตเติ้ลบอกกับเราว่า รีบไปที่นี่เถอะก่อนจะไม่มีโอกาส…ภาพถ่ายไม่กี่ภาพที่ว่ามีคำบรรยายสั้นๆใต้ภาพว่า ‘เลห์’ ว่าแล้วก็เลยเอ่ยปากขอร่วมเดินทางกับเพื่อนอีก 3 คนที่เคยพูดถึงทริปนี้กันไว้ลอยๆ ว่าจะไปไม่ไป
รู้ตัวอีกที แอร์โฮสเตสก็บอกให้เราพับถาดอาหาร คาดเข็มขัด และปรับเบาะที่นั่งให้ตรง ขณะเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินเลห์
ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศอินเดียแล้ว เอาจริงๆ ก่อนไปเราไม่รู้หรอกว่าเลห์มันเป็นเมืองอะไรหรืออยู่แคว้นส่วนไหนของอินเดีย
รู้แค่ว่ามันสวยมาก!
หน้าตาบ้านเมือง ผู้คน หรืออาหารที่นั่นก็ไม่ได้อินเดียแบบสุดขั้ว คล้ายจะดูค่อนไปในทางธิเบตมากกว่า เอาน่า! ลองดู อาตี๋หน้าขาวจากเมืองไทยอย่างเราน่าจะรับมือไหวแหละ แต่เพียงแค่ก้าวไม่กี่ก้าวจากสนามบินก็รู้เลยว่า ยังไง๊ ยังไง…อินเดียก็คืออินเดีย ความชุลมุนวุ่นวาย เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ทุกที่ที่ไป แม้เหตุการณ์จะไม่น่าเวียนหัวเท่าตอนที่เราไปแวะพัก เปลี่ยนเครื่องที่นิว เดลีก็ตาม แต่ระหว่างทางจากสนามบินไปยังที่พัก ก็ยุ่งเหยิงมากพอให้เราคุ้นเคยกับที่นี่ไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อถึงเลห์ ไม่ใช่การถ่ายรูปเพื่อ check in แต่เป็นการปรับตัว
การปรับตัวในที่นี้หมายถึง การปรับสภาพร่างกายให้ชินกับสภาพอากาศที่นี่ เนื่องจากเลห์ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงมาก อากาศจึงเบาบางมากมาก และส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยง่ายมากมากมาก แต่นอกจากสภาพร่างกายที่ต้องการเวลาปรับตัวแล้ว ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการปรับสภาพจิตใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มแห้งๆ ให้กับตัวเอง “เอาวะ ลองดู” แล้วพร้อมออกไปต่อสู้กับชาวอินเดียที่นี่กันให้มันส์ !
วันแรก เราไปเที่ยวกันใกล้ๆ ก่อนเพื่อไม่ให้ร่างกายตกใจเกินไปนัก รวมถึงจิตใจด้วยกลัวเจออะไรพีคๆ แล้วจิตตกตั้งแต่วันแรก 5555
แถวตัวเมืองเลห์จะมี Shanti Stupa กับ Leh Palace เป็นโบราณสถานสำคัญของเมือง เราว่าสิ่งดึงดูดใจของที่นี่อาจจะไม่ใช่ตัวสถาปัตยกรรม
แต่เป็นวิวแบบพาโนรามาที่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
ที่นี่เราจะสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมสูง เลห์ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ขณะที่ด้านล่างเป็นบ้านเรือนแซมด้วยต้นสนหน้าตาดูดี
ก็ถือว่าเป็นฉากเปิดต้อนรับการเดินทางของเรา ได้อย่างน่าประทับใจ
เราอยู่ที่นั่นกันจนพระอาทิตย์ใกล้ตก จึงได้เวลากลับที่พัก ที่พักส่วนใหญ่ในเลห์จะใกล้กับ Main bazaar ซึ่งเป็นย่านหลักในการรอต้อนรับนักท่องเที่ยว มีร้านอาหาร ร้านขายของให้เดินกันอย่างสบายๆ มื้อเย็นมื้อแรกเราเลือกกินที่ร้านชื่อ Garden Restaurant เป็นร้านแรกและร้านที่อร่อยที่สุดของเราในเลห์ หากใครมีโอกาสไปก็ลองไปแวะชิมกันดูได้
ส่วนใครชอบช็อปปิ้ง ของขึ้นชื่อที่นี่เหมือนจะเป็นผ้า Pashmina ซึ่งทำมาจากขนของแพะภูเขาที่เลห์ เพราะฉะนั้นผ้าชนิดนี้จะมีที่นี่เท่านั้น (คนขายบอกมา จริงเปล่าวะ?) 555
เรื่องสนุกของการมาที่นี่ คือตลอดเวลาที่เดินอยู่จะรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เรา แล้วได้ยินเสียงทายแว่วมา ฟังออกเป็นคำๆ Korean? Japanese? Chinese? Nepali? บ้างตลอดทาง คือมึงจะทายทำไมไม่รู้! สงสัยอะไรกันจังเลยย
ตอนแรกก็ปล่อยเบลอไม่สนใจ แต่ตอนหลังเราเริ่มเล่นด้วย พอใครทายผิดก็ทำเสียงแอ๊ดดดด! ดังๆใส่ ให้งงเล่นๆไป แต่ถ้าบังคนไหนทายถูก ก็จะได้รับเสียงปิ๊งป่องปิ๊งป่อง! แบบเกมส์โชว์สมัยเด็ก แถมการตบมือให้กันไป ก็เป็นการเพิ่มสีสันให้การเดินเล่นตอนเย็นดี เพี้ยนๆ ดี 555 ก็บอกแล้วว่า ปรับสภาพจิตใจก่อนเจอคนอินเดีย แล้วเรื่องสนุกๆจะตามมาเอง
สำหรับการเที่ยวครั้งนี้ เรามีเวลา 1 สัปดาห์ เราวางแผนกันก่อนไปคร่าวๆ แล้วไปตกลงกับเอเจนซี่เช่ารถที่นั่น แผนที่เราวางไว้ว่าจะไปหลักๆ คือ Leh, Pangong Lake, Nubra และ Lamayuru ซึ่งใครมาเที่ยวเลห์ก็ต้องมาเมืองพวกนี้แหละ แต่ต่างคนก็ต่างประสบการณ์
เพราะนี่มัน อินเดียนะแก! วางแผนอะไรแน่นอนได้ที่ไหนเล่า!
Pangong Lake
ระหว่างทางจากเลห์มา Pangong Lake เรานิยามมันว่าเป็น 5 ชั่วโมงแห่งหายนะ คือ หายนะทั้งทางที่แคบและโค้ง(ชิบหาย) แถมต้องผ่าน Pass (คือจุดที่มีความสูงโคตรๆๆๆๆๆๆๆ) 1 จุด
บวกกับความหายนะจากคนขับรถ โอ้ยยยย นี่อยากจะถามว่า มึงหลุดมาจาก Fast and Furious ใช่ไหม? แต่ด้วยความที่กลัวจะไม่ได้กลับบ้าน เลยต้องอดทน นั่งมึนและโยกกันไปตลอดทาง
โชคดีที่ในหายนะยังมีสิ่งปลอบใจอยู่ คือ วิวสวยๆตลอดข้างทาง เตรียมใจไว้ได้เลยว่าทุกที่ทีไปในเลห์ จะต้องหมุนกระจกรถลงแล้วกดชัตเตอร์กันรัวๆตลอดทริป เราเดินทางไป-กลับจุดหมาย โดยได้เสพความสวยงามกันจมอิ่มตลอดทาง ไอ่ประโยคที่ใครว่ากันว่า “ระหว่างทางสำคัญไม่แพ้ปลายทาง” ไม่แน่ว่าคนคิดอาจจะเป็นชาวเลห์ก็เป็นได้นะ
สำหรับ Pangong Lake ก็คือทะเลสาบสีฟ้าสด(มาก)แบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์หรือ App แต่งรูป ซึ่งตัดกับภูเขาสีส้มด้านหลัง ซึ่งก่อนไปเราเคยเห็นรูปที่นี่บ่อยแล้วหละ…แต่ถึงในรูปจะสวยยังไง ของจริงก็ต้องขออวดว่าสวยกว่านิดนึง (ให้หน่อยเหอะ นั่งรถมาไกล555)
Nubra
วันถัดมาเราเดินทางต่อไปยัง Nubra ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีหมู่บ้านหลายๆแห่ง คนส่วนใหญ่คนจะไปเยือนหมู่บ้าน Deskit กับ หมู่บ้าน Hunder กัน โดยแวะสถานที่ยอดฮิตระหว่างทาง คือ Sand Dune เป็นทะเลทรายสีขาวผืนใหญ่ แต่ยังมีที่เด็ดอีกที่ใน Nubra ซึ่งถ้าใครถามเราว่าประทับใจที่ไหนที่สุดในเลห์ เราขอยกมือโหวตให้กับที่นี่ ‘หมู่บ้าน Turtuk’
Turtuk Village
หมู่บ้าน Turtuk ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ของนักท่องเที่ยวในเลห์ ด้วยระยะทางที่ไกลมากจากตัวเมือง และด้วยเส้นทางที่หายนะเช่นเคย แต่คำยืนยันความสวย จากปากชาวเลห์ ก็มากพอจะกล่อมคนใจง่ายอย่างพวกเราตอบตกลง พร้อมฟาดเงินอินเดียไป 1 ฟ่อน! จากนั้น ภาพก็ฉายซ้ำจ้ะ นั่งตัวตรงแกว่งกันบนรถไป 7 ชั่วโมง นี่นั่งไป ก็คิดไปนะ ว่าจะเป็นเป็นไส้เลื่อนไหม?
จนถึงที่หมายเท่านั้นแหละ…ถ้าลืมไปแล้วว่า ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ก็คงเข้าใจว่าคนขับพาเราหลงทางหลุดมาในนิยาย(เว่อร์) 555
นี่กูเป็น Mary Poppins รึป่าววะเนี่ย!
เพราะภาพแรกที่ปรากฏของหมู่บ้าน Turtuk คือทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม แปลงดอกไม้หลากสี เสียงนกร้องจิ้บๆ ผีเสื้อโบยบิน ท่ามกลางหมู่เด็กๆ หน้าตาเปื้อนยิ้มวิ่งเล่นกัน และมีชาวนาฝัดรวงข้าวอยู่ลิบๆ ชาวบ้านเก็บผักผลไม้อยู่อีกฝั่ง โอ้โห นี่กูไม่ได้มากองถ่ายหนังเรื่องไหนใช่ไหม?
แต่ใครอย่าได้ถามถึงเรื่อง Wifi ในหมู่บ้านนี้เชียวละ แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ของชาวบ้านเองยังไม่มีเลย หากใครต้องการติดต่อกับหมู่บ้านอื่น ต้องเดินไปที่ดาวเทียมสื่อสารกลางหมู่บ้านเท่านั้น ส่วนเรื่องไฟฟ้า ทางที่พักจะปั่นไฟให้เราใช้ได้แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น
ซึ่งก็แปลว่า แค่มีใช้เก็บของ กินข้าว ให้ไม่เดินเตะกันก็บุญแล้ว อย่าหวังจะชาร์ตแบตใดๆ ซึ่งในวันที่มือถือมีค่าเป็นศูนย์แบบนี้ มันก็เป็นโอกาสให้เราได้กลับมานั่งทบทวนตัวเอง แล้วลองใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอกมากขึ้น ได้นั่งคุยกันถึงการผจญภัยสองวัน ที่ใช้ทั้งแรงกายแรงใจ มากกว่าสองเดือนในกรุงเทพซะอีก ….บางที ที่เราชอบที่นี่มากๆ ก็อาจเพียงเพราะว่า มันมาเตือนคนที่เกือบลืมไปแล้วอย่างเรา ว่าการได้ใช้ชีวิต มันทำให้รู้สึกดี แบบนี้นี่เอง
Lamayuru
ถัดจาก Nubra เราเดินทางกลับมาที่เลห์ เพื่อเดินทางต่อไปแคมป์ที่ Lamayuru กัน! ภาพที่เกิดขึ้นในหัว คือเราจะได้กางเต็นท์กลางป่าสน ปิ้งบาร์บีคิวรอบกองไฟ และ นอนหลับใต้เสียงใบไม้ สวยๆเยี่ยงใน Pinterest ที่ดูมาก่อนแล้วว่าแคมป์ปิ้งแม่งน่าจะอารมณ์นี้ แต่เปล่าเลย…. เรากำลังกางเต็นท์กันหลังร้านอาหาร ต้องเจียวไข่ ทำอาหารแบบแค่พออิ่ม และนอนหลับแบบค่ายรด. 55555 อยากหัวเราะให้ตัวเองดังๆ อินเดียเอ้ย แต่ความพีคไม่หยุดแค่นั้น มันอยู่ที่ตอนกลางคืน
หลังนั่งเล่นคุยๆ กันเสร็จ ต่างคนก็มุดออกมาจากเต้นท์ เพื่อแยกย้ายกันเข้านอน…แหงนหน้ามองฟ้าเท่านั้นแหละ เชี่ย! ดาวบนฟ้าเยอะเป็นปริมาณ ที่พวกเราทุกคนต้องอุทานเป็นเสียงเดียวกันออกมาดังๆ
แถมถ้าดูดีๆ ยังมองเห็นทางช้างเผือกแฝงตัวอยู่ลางๆ ให้พวกเราพากันร้อง เชี่ยยยยยยยยยย! (ภาค 2) เลยกลายเป็นว่า ทุกคนลืมง่วงกันหมด วิ่งไปเอากล้องมากันใหญ่ เพื่อบันทึกไว้ว่า นี่เป็นวันแรก และครั้งแรกที่เรามองเห็นดาวชัดที่สุดในชีวิต ชัดซะจน การบ่นเรื่องแคมป์ทั้งหมด ถือเป็นโมฆะ….แค่ได้อยู่ในบรรยากาศแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ตามแผนเราจะไป Trekking จากจุดที่เราตั้งแคมป์ไปยังเมือง Wanla ด้วยความที่ปกติการใช้ชีวิตในเลห์จะเหนื่อยเป็นพิเศษอยู่แล้ว การต้องเดินข้ามเขาจึงไม่ต่างอะไรจากการทรมานตนดีๆนี่เอง ตอนแรกเลยว่าจะขอบาย เดี๋ยวนั่งรถไปรอที่ปลายทางนะเพื่อนๆ แต่เห็นหน้าพี่ไกด์ฮึกเหิม แล้วก็เกรงใจเกินกว่าจะบอกปฏิเสธแก เอาว่ะ! ไหนๆก็ไหนๆ เดินหน่อยละกันไป
แล้วเราก็พบว่า ตลอดเส้นทางการเดิน เหมือนหลุดไปโคจรอยู่บนดาวอังคาร เพราะรอบด้านมีแต่โขดหิน ท้องฟ้า และโขดหิน โล่ง และว่างเปล่า สัญญาณของสิ่งมีชีวิต คือแค่พวกเราและชาวต่างชาติอีก 2 คนที่ต่างเหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุย ได้แต่ยิ้มให้กันพอให้อุ่นใจ
เอาจริงๆ เส้นทางการเดินถือว่าไม่โหดมากนัก แต่ก็พาเอาเราหอบพอสมควร แต่ทั้งหมดเพื่อแลกกับวิวที่สวยและเซอร์เรียลไปอีกแบบ เราก็เดินเซอร์เรียลกันไป 5 ชั่วโมงกว่า กลางแดดเปรี้ยงๆ จนถึงเมือง Wanla สภาพตอนนั้นคือหมดสภาพ
เรามีเวลาเหลือหนึ่งวันในเลห์ก่อนจะเดินทางต่อไปยังอินเดียกลาง วันนั้นทั้งวัน เราเลือกนั่งพักในร้านกาแฟสบายๆ แล้วหยิบปากกากับสมุดโน้ตขึ้นมาเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ ….ประโยคแรกที่จรดปากกาลงไป คือ ‘กูเหนื่อย’ ตัวใหญ่เบ้ง จากนั้นถึงค่อยเขียนประโยคตัวเล็กๆไว้ว่า
‘ ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ที่สวยที่สุดที่เคยเห็น, ไม่ใช่ที่ที่สงบที่สุดที่เคยไป, ไม่ใช่ที่ที่คนใจดีที่สุดที่เคยเจอ และ ไม่ใช่ที่ที่ประทับใจที่สุดที่เคยรู้สึก แต่ที่นี่เป็นที่ที่คุ้มค่าที่ได้มา และเป็นความคุ้มค่าที่กำลังพอดี ’
คือถ้าให้กูมานานกว่านี้ อาจจะช็อค เหนื่อยตายไปแล้วเกลียดที่นี่ไปเลยก็ได้ 5555 สำหรับเราแล้ว การออกเดินทางมาเลห์ครั้งนี้ เหมือนเป็นการเตือนสติให้เรารู้ว่า อีกด้านหนึ่งของโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็วจนเราชินชา ยังมีโลกอีกด้านที่หมุนช้าเพื่อรอให้เรากลับมารู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่
ส่วนที่เราเคยบอกไว้ว่าจ้างก็ไม่ไปหรอกอินเดีย ลองจ้างเราดูอีกที ขออนุญาตตบปากตัวเองแล้วถอนคำพูด…
ติดตามเรื่องราวการเดินทาง พร้อมภาพถ่ายของเราแบบทันทีได้ที่ With Fellows นะ
หรือรออ่านยาวๆ เป็นตอนๆ แบบนี้ก็ที่นี่แหละเว็บไซต์ของ ไปไง มาไง :)