ทริปนี้เกิดจากการชวนกันเล่นๆว่า “เฮ้ย อยากไปเที่ยวแบบที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ electronics และไม่เล่น social เลย”
ลองดูไหม? ซึ่งก็ออกมาเป็นทริปเวียดนามเหนือ ฮานอย-ซาปา แบบเน้นคุยกับคนตรงหน้า ซึมซับบรรยากาศรอบข้างอย่างเต็มอิ่ม
เพราะเมื่อทุกคนไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาเล่น ก็กลายเป็นว่าได้ถ่ายรูปเยอะมากและเขียนเยอะมาก เป็นทริปที่กลับไปพูดถึงตอนไหนก็จำรายละเอียดได้กันเกือบทั้งหมด ทั้งความเหนื่อย ความสนุก เสียงหัวเราะ ตลอดทริปนี้
ใครที่เบื่อๆอยู่ ลองมาล้างพิษดิจิทัลแบบพวกเราดูก็ได้นะ
ก่อนมาเวียดนาม อ่านกระทู้นำเที่ยวและฟังจากคนรู้จักมา พบว่าประเทศนี้ขึ้นชื่อเรื่องการโกงมาก พวกเราเลยระวังตัว(และหวาดระแวง)กันเป็นพิเศษ อะไรจะขี้โกงกันขนาดนั้นวะ ยังไม่พอชอบจี้อีกต่างหาก! ,แต่กลายเป็นว่าเจอคนเวียดนามใจดีและน่ารักเยอะมาก (อ้าว พลิกล็อค! 555)
เป็นทริปที่เจอแต่คนดีจริงๆ เรียกได้ว่ายังไม่ทันจะออกจากเขตสนามบิน คนดีคนแรกก็โผล่มาทักทายกันแล้ว คือตอนจะจ่ายค่ารถบัสมันมีเศษที่ต้องจ่ายเกินมาอยู่ แล้วพวกเราไม่มีแบงก์ย่อยกันเลย คนเวียดนามที่นั่งข้างหลังเลยจ่ายให้หมด ตอนนั้นซาบซึ้งมาก นึกในใจว่าคนนี้ป๋าว่ะ แต่พอมาคำนวนทีหลังแล้วคือไม่ถึง 10 บาท 555 (ยังไงก็ตามขอขอบคุณพี่คนเวียดนามคนนั้นมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)
ที่เห็นในรูปคือรถเมล์ที่นี่ ลักษณะจะคล้ายๆรถเมล์บ้านเรา ระหว่างทางที่นั่งมาจะฝุ่นๆ ข้างทางเป็นทุ่งนาย่อมๆ และบ้านคน มีเด็กนักเรียนปั่นจักรยานให้เห็นอยู่บ้าง มาถึงแล้วนะเวียดนาม! พอถึงสถานีปลายทางในตัวเมืองฮานอยแล้ว พวกเราก็หอบกระเป๋าข้ามฝั่งไปโซนที่มีร้านขายอาหารอยู่ แล้วสุ่มร้านโดยใช้หลักกันตาย ร้านไหนคนเยอะสุดก็พุ่งไปเลย และต่อจากนั้นก็จะก้อปเมนูจากโต๊ะข้างเคียง ตามหลักที่ว่าก็ได้มาลงเอยกับร้านของเจ้คนนี้ เมนูที่ก้อปมาคือซุปไข่อะไรสักอย่าง รสชาติแปลกดี
( ขนาดการหุงข้าว ร้านอาหารข้างทาง หรือ สตรีทฟู้ดที่นี่ เขายังหุงแบบเช็ดน้ำกันอยู่เลยนะ ให้ความรู้สึกแปลกตาอยู่เหมือนกัน แต่ก็น่ารักดี )
การได้ลองกินอาหารรสมือคนเวียดนามเป็นมื้อแรก นี่ก็เท่ากับเป็นการเริ่มต้นทริปเวียดนามอย่างจริงจังของพวกเรากันแล้ว เย้ ! พอพูดถึงอาหารแล้วก็มีเมนูนึงที่มีเฉพาะเวียดนามเหนือและเรานำเสนอมากๆ สิ่งนั้นก็คือออ..
‘Bun Cha’ อ่านว่า ‘บุ๋มจ่า’ อาหารพื้นเมืองของฮานอยที่พวกเราเห็นพ้องต้องกันและยกให้เป็นที่สุดของทริปนี้! มันคือหมูย่างเตาถ่าน แช่อยู่กับกระเทียมสดในซุปที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เสิร์ฟกับเส้นขนมจีนที่หนึบกว่าขนมจีนบ้านเรา ความรู้สึกของคำแรกที่กินคือ อร่อยมาก! มันลงตัวไปหมดทุกอย่างอะ (นี่ไม่ได้เว่อร์เลยนะ)
บอกเลยว่าใครไปฮานอย ไม่ว่ายังไงก็ต้องหา Bun Cha มากินให้ได้! ถ้าสังเกตดีๆ จะมีอยู่ทั่วไปในฮานอย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านข้างถนน ที่นั่งกับเก้าอี้ตัวเล็กๆ โต๊ะเตี้ยๆ ได้บรรยากาศสุดๆ เรียกได้ว่า ใครมาเวียดนามเหนือแล้วยังไม่ได้ลองชิม ‘บุ๋มจ่า’ สักคำละก็ เราว่ามาไม่ถึงนะ (บอกไว้ก่อน)
ใครบอกว่าถ้าอยากเปิดร้านอะไรสักร้านเป็นของตัวเองจะต้องใช้เงินเยอะ ใช้ไม่ได้กับที่ฮานอยนะ เพราะในรูปนี้คือช่างตัดผมประจำร้านสุดเซอร์ข้างถนน มีแค่กระจก กรรไกร หวี เก้าอี้ และคนตัด ก็เปิดร้านได้! ร้านตัดผมแบบนี้เจอได้ทั่วไปเลย ใครมีโอกาส(และความกล้า)ก็ลองไปใช้บริการกันดู
ถ้าใครพอมีความรู้ด้านภูมิศาสตร์อยู่บ้าง คงรู้ว่าอากาศที่ฮานอยจะสบายๆ แต่ก็ชื้นและเฉอะแฉะตลอดปี คงเป็นเพราะว่า ฮานอยเป็นเมืองที่มีทะเลสาบอยู่กลางใจเมือง ในรูปที่เห็นไม่ใช่ทะเลสาบคืนดาบอันแสนโด่งดัง แต่เป็นสวนสาธารณะที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีคนหอบเบ็ดตกปลามาใช้ชีวิตช้าๆให้ได้เห็นกันทุกช่วงของวันเลย นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของคนเวียดนามเค้าล่ะ
ภาพจำฮานอยในแบบของพวกเราคือบรรยากาศเมืองเก่า อากาศเย็นๆ กับโทนสีเหลืองน้ำตาล อาจจะเฉอะแฉะเป็นบางวัน แต่โดยรวมก็เป็นเมืองที่ชอบอยู่ดี
หนึ่งในสถานที่โปรดปรานของเราก็คือรอบๆทะเลสาบคืนดาบ หรือ Hoan Kiem Lake ที่อยู่ใจกลางของเมืองฮานอย
ชอบทั้งอากาศเย็นๆ ยิ่งใกล้ทะเลสาบยิ่งเย็น แถมมีต้นไม้ใหญ่ และหญ้าปูอยู่รอบๆ ที่น่ารักคือจะมีพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย มายืนออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายกันอยู่ไม่น้อย เห็นแล้วน่ารักดี และอีกภาพที่เห็นบ่อยที่ฮานอยไม่ใช่คนนั่งกดโทรศัพท์มือถือ แต่เป็นคนนั่งเฉยๆ หรือนอนเฉยๆบนมอเตอร์ไซค์ เพื่อมองผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และพูดคุยกับคนรอบข้าง
เราว่าเป็นเมืองที่เหมาะกับสโลแกนที่ว่า ‘ปิดเพื่อเปิดรับคนรอบข้าง’ ได้ดีมากๆเลยนะ
อย่างที่รู้กันว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก แต่ที่มากกว่าจำนวนรถคือเสียงแตร!
บีบกันตลอดเวลา เวลาละหลายครั้ง ฟังเสียงแตรจนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพี่เค้าจะบีบถี่ๆกันไปทำไม (?) แถมคนที่นี่ยังขับรถเร็วมากกก แม้ว่าจะมีจำนวนรถมากก็ตาม ตอนแรกๆที่ไปถึงพวกเรากลัวการข้ามถนนมาก แต่พออยู่ไปสักพักก็ค้นพบว่า การข้ามถนนที่ฮานอย อย่ามองซ้ายมองขวา แต่ให้มองข้างหน้าแล้วเดินตรงลูกเดียว! เพราะถ้าเรามัวแต่หันซ้ายขวา เราก็จะเจอแต่กองทัพมอเตอร์ไซค์ ที่ไม่มีวันจอดให้ และยิ่งเราทำท่ายึกๆยักๆไปขัดในเจ้แกก็จะพาลโดนบีบแตรใส่เอาได้
เดินผ่านโรงเรียนที่นี่แล้วเป็นช่วงเดินแถวพอดี เลยได้เห็นเด็กนักเรียนในชุดยูนิฟอร์มเต็มไปหมด ชุดเค้าก็คล้ายๆบ้านเรานะ ต่อจากฮานอย จุดหมายถัดไปของพวกเราคือซาปา เมืองทางตอนเหนือของเวียดนาม ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาและการทำนาแบบขั้นบันได บนความสูงกว่า 1,650 เมตร, ตามกันมาเลย!
เราเดินทางไปซาปาโดยการนั่งรถไฟ ตอนแรกที่ตกลงกันก่อนเดินทางไปเวียดนามคือเราจะซื้อตั๋วแบบ walk-in ที่สถานีรถไฟเลย เพราะหวังอยู่ลึกๆว่าจะได้ราคาที่ถูกกว่าในเว็บ แต่จนแล้วจนรอด เมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบิน พนักงานที่จุด tourist information ก็จัดการให้เสร็จสรรพ ทั้งๆที่ตอนแรกจะเข้าไปขอแค่แผนที่ แต่สิ่งที่ได้มาคือ ที่พักในฮานอย และตั๋วรถไฟตู้นอน ไป-กลับ Hanoi-Laocai รอบสามทุ่ม และจะถึง Laocai ประมาณ 6 โมงเช้า
ตั๋วที่ได้มาเป็นของบริษัท Tulico ในราคา $79 (ไป-กลับ) รู้สึกว่าแพงชิบหาย แต่ก็ยอมจ่าย และบริษัทนี้จะปลอดภัยตรงที่เป็นรถไฟของนักท่องเที่ยวเท่านั้น ไม่มีคนเวียดนามมาปะปนด้วย เราไปนั่งรอรถที่จะพาเราไปสถานีรถไฟ ที่บริษัท Sapa Summit (โรงแรมที่เราจองไว้ที่ซาปา) ล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย พร้อมนอนบนรถไฟมาก
สักพักก็มีรถตู้เก่าๆเซอร์ๆอารมณ์รถโฟล์คมารับ และวนรับผู้โดยสารจากที่อื่นๆจนเต็มคัน พอไปถึงสถานีรถไฟ ผู้ชายที่คอยจัดแจงที่นั่งบนรถตู้ก็กลายร่างตัวเองเป็นไกด์แบบงงๆ (อ้าว) แล้วก็พาพวกเราไปแลกใบเสร็จที่ได้มาตอนจองตั๋วเป็นตั๋วรถไฟ ง่ายมาก
รถไฟที่นี่สภาพสะอาดสะอ้านดี (กว่าบ้านเราเยอะ) จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าหรูพอสมควร ยิ่งนั่งๆนอนๆบนรถไฟและคิดไปคิดมา สภาพรถไฟแบบนี้ แถมกับเส้นทางที่รถไฟต้องปีนขึ้นเขาอีก เออยอมจ่ายก็ได้ 79 เหรียญอ่ะ รถไฟมาถึง Laocai เลทไป 2 ชั่วโมง เราลงมายืนรอรถกับคนที่จะไป Sapa Summit อยู่พักใหญ่ๆกว่าคนจะครบ และนั่ง mini bus ต่อไปอีกหนึ่งตื่น และแล้วเราก็มาถึงซาปาจนได้!
หลังจากเช็คอินและเอาของเก็บที่โรงแรมหมดแล้วก็ถึงเวลาเอ้อระเหยเดินชมเมืองกัน ซาปาเป็นเมืองที่ถูกล้อมรอบโดยภูเขา อากาศก็เลยเย็นตลอดปี เป็นที่เห็นปุ๊ป ก็จะรู้ได้ทันทีว่า สมัยก่อนที่นี่ต้องดังมาก ในแง่ของการเป็นสถานตากอากาศอันเลื่องชื่อของชาวฝรั่งที่อาศัยอยู่ในเวียดนามในยุคล่าอาณานิคม เรียกว่าหนีร้อน(จากฮานอย) มาพึ่งเย็น(กันถึงซาปา)
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นทริป manual และข้อห้ามประจำทริปคือห้ามแตะโซเชียล! ดังนั้นสิ่งหลักๆที่พวกเราทำก็คือ เดิน(และวิ่งบ้าง555) คุยกัน จดไดอารี่ และถ่ายรูป (ฟิล์มหมดกันไปคนละ 4-5 ม้วนถ้วนหน้า)
เรื่องนึงที่ต้องยอมรับเมื่อมาถึงเวียดนามไม่ว่าจะที่ไหน นั่นก็คือเด็กๆที่นี่หน้าตาน่ารักมาก แก้มแดงไม่แพ้เด็กญี่ปุ่นเลย แถมการแต่งตัวในภูมิอากาศหนาวยิ่งทำให้น่ารักเข้าไปใหญ่
เดินจากโซนที่พักตามทางลาดมาเรื่อยๆก็จะเจอลานกว้างอยู่กลางเมืองเลย ตอนที่พวกเราไปก็มีคนนั่งเล่นกันอยู่ประปราย ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว อากาศดีๆ ได้มานั่งพักเหนื่อย เขียนหนังสือ คุยกัน ก็สบายไปอีกแบบ
ฝั่งตรงข้ามของลานกลางเมือง คือโบสถ์คริสต์ ซึ่งสวยมากๆเลยนะ เราว่าให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุโรปบางเมืองได้เลยแหละ พอเริ่มเข้าช่วงเย็น มองดูวิวระดับสายตาก็จะเจอแต่หมอกแล้วล่ะ
วันต่อมา เราจองทัวร์เดิน trekking ไปหมู่บ้านชาวเขาจากโรงแรมกัน ซึ่งตอนแรกนึกว่าเดินชิวๆ แต่ของจริงคือไม่เบาเลย! 555ใครที่จะมา trek ก็อย่าลืมเอารองเท้าที่สมบุกสมบันติดมาด้วยล่ะ
เริ่มต้นเดินทาง ไอ้เราก็นึกว่าเดินกันขำๆ ลงไปตามทางลาดไงล่ะ ผ่านป่าไผ่ โค้งเป็นซุ้มดูร่มรื่น ให้อารมณ์ญี่ปุ่นๆอยู่เหมือนกัน 15 นาทีแรกของการเดิน trekking (ที่ยังไม่เหนื่อย) นี่มันสนุกจริงๆ
พอเดินออกจากตัวเมืองได้สักพัก เราก็จะเริ่มเห็นพวกนาขั้นบันไดเป็นวิวแบบนี้ไปตลอดทาง สวยคุ้มค่าความเหนื่อยและเงินที่จ่ายไปอยู่เหมือนกัน การเดินทางไปหมู่บ้านก็จะมีชาวเขาจากหมู่บ้านนั้นๆเดินไปกับเราด้วย อืม ขอบอกว่าชาวเขาที่นี่ พูดได้หลายภาษามากกก ยอมเลยอะ บางคนพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย
อย่างคนนี้ ชื่อ Two เขาเดินมาชวนเราคุยแล้วบอกว่า เป็นพาร์ทเนอร์กับเราจะเดินนำทางไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงหมู่บ้านปลายทาง (ชาวเขาที่นี่เห็นกล้องเป็นไม่ได้นะ แค่เห็นว่าเรามีกล้อง นางก็จะสะกิดพร้อมกับโพสต์ท่าให้ถ่ายละ อะอะ ถ่ายให้ก็ได้)
“The reflection of us” พวกเราคนนึงได้กล่าวไว้ว่า ‘มุมที่เธอมองกับมุมที่ฉันเห็นมันไม่เหมือนกันซะทีเดียวหรอก’ แกถ่ายชั้น ชั้นถ่ายแก ออกมาเป็นภาพที่ไม่ว่ามองกี่ครั้ง ก็ชอบทุกครั้ง
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้พักกินข้าวกัน กินเสร็จก็เดินต่อเพื่อจะไปขึ้นรถตู้คันจิ๋วกลับเข้าเมือง ความพีคแรกคือมัวแต่เดินตามฝรั่งหน้าดีสองคนจนไปผิดทาง! ดีที่เพื่อนคนนึงเห็นลุงในกลุ่มที่ trekking ด้วยกันแบบไกลๆ เลยรู้ตัว ไม่งั้นเราก็คงตามผู้ฝรั่งต่อไปอย่างไร้สติ 555
หลังจากนั้นก็วิ่งเลยจ้าา กลัวตกรถมาก เราจะไม่ยอมเดินกลับเด็ดขาด ความพีคที่สองคือระหว่างที่วิ่งขึ้นเขาอยู่นั้น เพื่อนคนนึงก็โดนยายชาวเขาวิ่งตามมาขายของ แบบวิ่งไปพูดไป ฮาร์ดเซลล์ขั้นสุด สกิลสูงมากยาย หนูยอมแล้ว ตลกก็ตลก รีบก็รีบ แต่สุดท้ายก็ทันรถตู้นะ เฮ!
และที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือคุณป้าขายเฝอ อาหารเวียดนามที่มาโด่งดังมากในเมืองไทย แต่เชื่อไหมว่า เฝอที่กินที่เวียดนามน่ะ รสชาติไม่เหมือนเฝอที่กินที่เมืองไทยเลยสักนิด และอีกอย่างร้านเฝอของคุณป้าแกเนี่ย มันออกแนวฮาร์ดคอร์ตรงที่มันมีเนื้อสัตว์สดๆวางอยู่บนโต๊ะที่ใช้เป็นที่กินข้าวของพวกเราเลย อยากจะกินหมู หรือเนื้อ หรือไก่ ก็ชี้เอาตรงนั้นแหละ เซอร์ๆกันไป
ด้วยความที่เป็นร้านในตลาดเช้าของชาวบ้าน แน่นอนหละว่าพวกเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกันหรอก ภาษามือกันไป แต่ก็นั่นแหละ บอกแล้วว่าคนที่นี่น่ารัก คุณป้าคงเห็นว่าเด็กพวกนี้ดูงงๆ นางเลยรินน้ำผึ้งมะนาวส่งให้พวกเราชิม แถมยังยืนกำกับให้พวกเรากินให้หมดแก้วอีกด้วย (แหม ต่อให้ไม่อยากกินก็ต้องรักษาน้ำใจกันนิดนึงล่ะ)
หลังจบทริปนี้ก็เห็นพ้องต้องกันว่าชอบการเดินทางครั้งนี้มาก อาจจะมาจากการที่หยุดมองจอ แล้วได้สังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น อาจจะโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ อยู่ตลอด (คนเวียดนามน่ารักๆมีเยอะนะ) เราว่าทุกการออกเดินมันจะกลายเป็นเรื่องดีๆได้ ถ้าเรารู้จักสนุกไปกับมัน ทั้งเรื่องดีและร้าย :) ไม่ต้องเที่ยวให้ครบทุกสถานที่สำคัญ แต่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเป็นของเราเอง เราว่าก็พอแล้วล่ะ
*รูปทุกรูปในบทความเราใช้กล้องฟิล์มถ่ายนะ
*ดูรูปเพิ่มเติมและติดตามทริปอื่นของพวกเราได้ที่ www.facebook.com/orkdern
ถ้าอยากอ่านแบบยาวๆ ก็ที่นี่แหละ เว็บไซต์ของไปไง มาไง เราจะมาเขียนเรื่อยๆ :-)