ถ้าว่ากันตามหลักการภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์แล้ว Seattle ถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับต้นๆของเมริกาเมืองนึงเลย แถมยังขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองที่สุดแสนจะโรแมนติก ไปแล้วไม่มีเหงา เพราะมี “เขา” อยู่รอบตัว 5555 บอกเลยว่า ถ้าในวันที่อากาศดีเนี่ย สามารถหมุนตัว ทำฟูลเทิร์น 360 องศา หันหน้าปรายตามองไปรอบตัว ก็จะสามารถมองเห็นภูเขาได้จากทุกทิศทาง เป็นเมืองที่ทั้งเจริญ แล้วก็สงบในคราวเดียวกัน
นอกจากความสวยงามเหล่านั้นที่เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลกันมาที่ Seattle แล้ว เรายังพบว่าวัฒนธรรมด้านดนตรีและศิลปะของที่นี่นั้น ก็แข็งแรงไม่ต่างกัน ทั้งพิพิธภัณฑ์ที่ไปยืนต่อคิวตั้งแต่ 7 โมงเช้าก็ยังไม่ทันซื้อบัตรเข้า ทั้งคอนเสิร์ตวงดีๆ ที่ถ้าเป็นบ้านเรา ค่าตั๋วคงแพงหูฉีก และต้องอดหลับอดนอน รอจองตั๋วที่หมดใน 10วิแรก
Downtown Area
Pike Place Market
แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปแล้ว ตลาดเก่าแก่แห่งนี้เปิดตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงพระอาทิตย์ตกดิน มีขายทั้งของสด อาหารทะเล ดอกไม้ ลามไปถึงของฝาก จนกระทั้งงานCraft และสินค้าท้องถิ่นก็มา บอกตรงๆว่าเดินสนุกมาก เราแวะเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหลายชัวโมงเลย ยิ่งเสาร์-อาทิตย์ตอนเช้าๆนิยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ ได้เห็นคนท้องถิ่นออกมาจับจ่ายซื้อของกันจริงๆ จะบอกว่าผลไม้ในตลาดนั้นสด หวาน กรอบและอร่อยมากๆ โดยเฉพาะลูกแพร ราคาถ้าตีเป็นเงินไทยอาจจะแพงซักนิด แต่บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก เพราะคำแรกที่กัดบอกได้เลยว่าสมราคา!
และอย่าลืมไปดูโชว์โยนปลาที่ร้าน Pike Place Fish Co. กันด้วยนะ หนุ่มกลัดมันเต็มร้าน เวลามีคนมาซื้อปลา หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกที่คอยต้อนรับจะตะโกนชื่อปลาแต่เหมือนร้องเป็นเพลง คล้ายๆ ว่า มีคนซื้อปลาทูแล้วจ้า คนที่อยู่ด้านในก็จะขานรับ หนุ่มที่อยู่ด้านนอกจะโยนปลาเข้าไปให้ชั่งน้ำหนักและใส่ถุงกลับมา สนุกดี
Beecher’s cheese
ที่นี่คือหนึ่งในร้านที่ตั้งอยู่ในตลาด Pike Place ที่เราภูมิใจอยากเสนอมากกก สำหรับคอชีสทั้งหลายต้องกรี้ดสลบ เพราะ Beecher’s ทำชีสให้ดูกันในตู้สดๆ กันสดๆ มีขายทั้งชีสก้อนกลับบ้าน หรือชีสแท่งอบกรอบ ซื้อเป็นของฝากได้ รวมถึงอาหารปรุงร้อน แถมพนักงานในร้านนั้น โอ้โหววววว บอกได้แค่ว่าตาเราเยิ้มกว่าชีสอีก!
โดยเมนูเด็ดได้แก่ “Grilled Cheese” หรือขนมปังปิ้งไส้ชีส ที่ปิ้งมาได้กรอบพอดิบพอดี บิครึ่งออกมาแล้ว ชีสข้างในไหลเยิ้ม ได้รสชีสเค็มๆ ตัดกับขนมปังหอมๆ กินตอนหนาวๆหิวๆเนี่ย หมดอันแบบไม่ทันรู้สึกตัวเลย แล้วถ้าใครเป็นคอชีสตัวยง อาจจะยังรู้สึกไม่จุใจพอกับเมนูนี้ ต้องโดน “Mac&Cheese” หรือมักกะโรนีผัดชีส อันนี้เยิ้มสุดใจ หวาน มัน หอมอร่อย แต่กินไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกไขมันรอบเอวหนาขึ้นหนึ่งเซนติเมตรในทันที 555
Gum Wall
แปลได้ตรงตัวตามชื่อเลย ก็คือ กำแพงที่เต็มไปด้วยหมากฝรั่ง ถูกสร้างจากคนมือบอนที่ไหนไม่รู้ เคี้ยวหมากฝรั่งเสร็จแล้วไม่มีที่ทิ้ง ก็เลยแปะไว้ตรงกำแพงซะเลยจ้า จากคนที่หนึ่ง เป็นสอง และต่อไปเรื่อยๆ แปะไปแปะมา โอโห แน่นทุกอนู ในระยะ 500 เมตรเลยทีนี้ 555
คือเอาตรงๆ มันก็ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่ มันคือน้ำลายใครก็ไม่รู้อะแก ถึงแม้กลิ่นจะหอมก็ตามเหอะ 555 ซึ่งที่นี่ก็กลายเป็น Landmark อย่างหนึ่งของเมืองไปแล้ว หลังๆมีการเอานามบัตรมาแปะบ้าง แปะรูปตัวเองพร้อมเบอร์โทรด้วยบ้าง มองอีกมุม ก็ถือว่าเป็นช่องทางการตลาดที่ดีอันนึงนะ 555
Pioneer Square
จัสตุรัสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยถ้าใครอยากศึกษาประวัติศาสตร์ของเมือง เขาก็มี Under Ground Tour พาไปซอกแซกเรียนรู้ความเป็นมาของ Seattle ด้วยนะ แต่สำหรับสายชิวอย่างเรา จัสตุรัสนี้เนี่ย บอกเลยว่าอันตราย! อันตรายต่อกระเป๋าเงินเป็นที่สุด!!
ซึ่งไม่ใช่เพราะขโมยเยอะหรืออะไรหรอก แต่เพราะมันเต็มไปด้วยร้านค้าชิคเก๋ แบบละลานตาไปหมดต่างหาก เรียกได้ว่าตั้งเรียงราย อัดแน่นกันทุกหัวมุมถนน คอยหลอกล่อให้เข้าไปเสียเงินอยู่เรื่อยๆ
รวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ อยู่ได้ตั้งแต่กลางวัน ได้บรรยากาศสบายๆ ดูคนออกมานั่งอ่านหนังสือ เล่นเกมส์กันเต็มสวนสาธารณะ แล้วพอตกเย็น ก็ได้เวลาของเสียงดัง และเสียงชนแก้ว ที่ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ชิววววววจริงอะไรจริงนะแก
Lower Queen Anne Area
Space Needle
ไหนๆก็ไหนๆ มาถึง Seattle ทั้งทีจะพลาด Landmark สุดคลาสสิคของเมือง ที่อยู่ในหนังสือ และโปสการ์ดแทบจะทุกอันไปได้ยังไง 555 ไอ่เจ้า Space Needle เนี่ยคือ ตึกที่สูงที่สุดของเมือง มีรูปร่างเหมือนเข็มสูงๆเพรียวๆ และมีจานบินอยู่ด้านบน อันเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง ซึ่งเราสามารถขึ้นไปชมวิว และมีร้านอาหารด้วย ซึ่งในวันที่อากาศดีๆ ฟ้าใสๆเนี่ย ก็จะมองทะลุเห็น Mount Rainier ได้แบบสบายๆเลย
Chihuly Garden and Glass
ถัดมาข้างๆ ก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะการเป่าแก้ว ฝีมือคุณ Dale Chihuly ผู้ซึงเป็นศิลปินเป่าแก้วที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ตอนแรกก็คิดว่าจะน่าเบื่อๆ บ้านเราก็มีเป่าแก้วเนี่ย แต่เหยยยย มันดีย์อ่ะ เราชอบตรงที่มันเหมือนเป็นอีกก้าวนึงของการงานศิลปะการเป่าแก้ว คือเน้นเพื่อจัดแสดง โชว์ความสวยงามของเครื่องแก้ว ที่ไม่จะเป็นต้องเป็นของใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องประดับเท่านั้น
แล้วแต่ละห้องก็จะใช้เทคนิคการจัดแสดง ที่แต่งต่างกันไป แบบ ป้อปจ๋าๆ ใช้ไฟ LED ก็มี แบบเชิงสร้างฝันหน่อยๆ อย่างห้องใต้ทะเล ที่ใช้ไฟส่องทะลุเครื่องแก้วสีต่างๆกัน ก็สนุกไม่เบาเลย
พอเดินออกมาด้านนอก ก็จะเป็นสวน ที่ไม่น่าเชื่อว่า เครื่องแก้วจะสามารถปรับให้เข้ากับการจัดสวนได้ขนาดนี้ ชอบมากเลย เป็นที่ๆอยากให้ทุกคนได้มาที่สุดแล้วถ้าได้มา Seattle
Museum of Pop Culture
เป็นอีกพิพิธภัณธ์ที่ไม่อยากให้พลาดกัน ยิ่งถ้าใครอินเรื่องดนตรี และ Pop Culture แล้วละก็ ที่นี่น่าจะเรียกว่าเป็นสวรรค์ได้เลย แต่แค่ได้เดินผ่าน ถ่ายรูปตึกสวยหน้าตาล้ำ กับแวะช้อปเบาๆ ที่ร้านขายของที่ระลึกด้านใน ซึ่งรวบรวมทั้ง CD แผ่นเสียง เสื้อยืด และของจุกจิกของศิลปินวงดังมาไว้ในที่เดียว ก็คุ้มค่ากับการโฉบผ่านแล้ววว
แต่ถ้าได้มีโอกาสเข้าไปข้างในก็เท่ไม่เบาเพราะมัน Pop Culture สมชื่อจริงๆ ค่ะคุณผู้ชม เราชอบจอ LCD ขนาดยักษ์ที่ฉายภาพยนตร์ คอนเสิร์ต การ์ตูน และสื่อร่วมสมัยต่างๆ ออกมาภายในจอขนาดยักษ์บานเดียว มันจะฉายวนไปเรื่อยๆ ทั้งวัน นั่งดูเพลินๆ ยังไงก็ไม่เบื่อ รวมไปถึงนิทรรศการต่างๆ ช่วงที่เราไปก็มีนิทรรศการ Star Trek และรวมหนังลี้ลับ
นี่ยังไม่รวมถึงซุ้มเกมส์จาก Nintendo และเสากีต้าร์ขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่กลางมิวเซียมนะ คูลสมชื่อจริงๆ
Northern DownTown Area
ย่านนี้อยู่พัดขึ้นมาทางตอนบนของถนน Pike Street ซึ่งแน่นอนว่ายังคงคอนเซปเดิม คือความเก๋ แต่เพิ่มเติม คือจะวัยรุ่นขึ้นมาอีกนิดนึง เห็นพวกพวกร้าน Craft Beer ร้าน Skateboard และร้านเสื้อผ้าแนว Street มากขึ้นต่างจาก Pioneer Sqaure ที่จะได้ฟิวผู้ดี สง่างาม สงบๆ ซึ่งเราอยากแนะนำให้มาย่านนี้ ช่วงบ่ายคล้อยๆ ที่พวกเด็กมหาลัย จะเลิกเรียนแล้ว พากันยกพวกมาเล่นบอร์ด เล่นกีฬาอะไรว่าไป เป็นอาหารตาชั้นดีนะเออ
Starbucks Reserve Roastery & Tasting Room
หลายๆคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เมือง Seattle เนี่ย เป็นต้นกำเนิดของตำนานกาแฟ Starbuck ร้านกาแฟที่มีสาขาดังไปทั่วโลก ซึ่งก็มีสาขาแรกตั้งอยู่ใน Pike Place Market ที่ตอนนี้แทบจะเป็นร้านขายของฝาก มากกว่าขายกาแฟไปแล้ว ส่วนตัวเราไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่
แต่กลับกัน พอเราเสิร์จเจอ Starbucks Reserve Roastery & Tasting Room ซึ่งเป็น Starbucks ที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หลักๆคือทาง Starbucks ตั้งใจทำให้เป็นคอนเซปห้อง Lab ที่เป็นทั้งที่คั่วกาแฟขายให้กับแบรนด์ Starbucks Reserve ทั้งอเมริกา รวมถึงมีเมนูแปลกๆ และเทคนิคใหม่ๆให้ได้ชิมกัน ลามไปถึงการขายเสื้อผ้า ขาย accessary และมีแม้กระทั่งห้องสมุด! โอ้ยยย ล้ำเหลือเกินเด้อ ยอมแล้วจ้า
ซึ่งใครอยากมาสัมผัสประสบการณ์ชิมกาแฟแบบมีผู้เชียวชาญ คอยซักถาม และแนะนำ ยกมาให้ชิมทีตัว จนกว่าจะเจอสูตร และเมล็ดที่ชอบที่สุดเนี่ย เขาก็มีบริการฟรีๆนะ แต่แนะนำว่าต้องมาเช้าๆหน่อย เพราะสายปุ้ป คนจะเยอะมากกก ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเลยทีเดียว
The Elliott Bay Book Company
เป็นอีกที่นึงที่ประทับใจมาก ง่ายๆเลย มันคือ ร้านหนังสือจ้า 5555 พูดไปจะหาว่าเป็นเด็กเนิร์ด แต่ร้านหนังสือที่นี่มันน่าอยู่จริงๆนะ คือเขาจัดบรรยากาศให้มันโปร่งสบายตา เพดานสูงโล่ง มีที่นั่งอ่าน สลับกับชั้นหนังสือ และมุมแนะนำจัดอันดับ แบบมีโน้ตเล็กๆจากทางร้าน ว่าเกี่ยวกับอะไร ชอบเพราะอะไร โอ้ยยย ก็ว่ากะจะมาเล่นๆแป้ปเดียวนะ แต่ทำไมเงยหน้ามาอีกทีผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วหละ 555
Everyday Music
ตรงข้ามกัน ก็จะมีร้านแผ่นเสียงใหญ่ ใหญ่มากกกก จนสามารถเรียกว่าเป็นโกดัง น่าจะเหมาะกว่า โดนจะมีทั้งแผ่นเสียงใหม่ และของเก่า โดยของนั้นอัพเดทกันทุกวัน อือหือออ คนรักแผ่นเสียงมานิต้องมีล้มละลายกันบ้างไม่มากก็น้อยอะ
Molly More
อยู่ไม่ไกลกัน จะมีร้านไอศกรีมเจ้าดังที่กลิ่น Waffle Cone ที่ทำสดๆใหม่ๆนั้นลอยหอมเตะจมูกมาตั้งแต่หัวโค้ง ซึ่งได้กลิ่นปุ้ป เราพูดกับเพื่อนว่า กินกันคนละโคนเลยนะ แต่ดีที่ไหวตัวทัน เพราะโคนนึง ลูกนึงนั้นใหญ่ยักษ์มาก แบบแบ่ง 3 ยังจุก แต่ทำไมหันไปข้างๆแล้วคุณพี่ฝรั่งชาวมะกันเขากินกันคนละ 3 ลูกได้หละ
แวะอ่านที่เที่ยวอื่นๆ ใน Seattle และ Portland ต่อได้ที่นี่เลย
Northwest National Park, USA 2017 >> https://www.wheredowego.in.th/travel/north-america/northwest-national-park-usa-2017/
No plan in Portland >> https://www.wheredowego.in.th/travel/no-plan-in-portland-usa-2017/