จะไปเที่ยวที่ไหนกี่ทีๆ เวลาบอกแม่ บอกป๊า ก็จะถูกบ่น ” ว่าไปอีกล๊ะ! ” ทุกที
รู้นะว่าไม่ได้ไม่อยากให้ไปหรอก แต่จริงๆแล้ว “อยากไปด้วย ใช่มั้ย?” งั้นก็จัดไปสิ ! ไม่มีที่ไหนเหมาะสมกับมือใหม่หัดแบคแพก ที่มีลักษณะเด่น คือขี้กลัว แพนิค ขี้โวยวาย ฟูมฟาย รวมๆกันแล้ว เรียก ‘มนุษย์แม่’ มากไปกว่าประเทศนี้อีกแล้ว
ยิ่งใกล้ที่หมายเท่าไหร่ แม่ กับ ป๊า ก็ตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น อย่างว่าแหละ นานๆสมาชิกในบ้าน จะมารวมกันได้ครบสักที ไม่ให้ดีใจออกนอกหน้าก็ไม่ถูกป่ะ แต่เอ้ะ! ทำไมมีแต่คนมอง หรือไม่เคยเห็นคนสวย 555 เปล่าเลยจ้า! หันไปเจอป้ายนี่เต็มๆ เป็นป้ายที่บอกว่า รถไฟญี่ปุ่นเนี่ย เค้าไม่ให้คุยกันเสียงดังนะ มันรบกวนคนอื่น ยื่นมือไป ดึงแม่เข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบ จุ้ๆๆๆๆๆ ให้นางเบาวอลลุ่มลงหน่อย
อ้อ! แล้วก็มือถือเนี่ย ก็ควรปิดเสียง และโซนเก้าอี้สีเหลือเค้าเอาไว้ให้คนชรา จะอยู่ใกล้ๆ ต้องปิดเครื่องไปเลย ดุไหมละ แอบคิดในใจเหมือนกัน ว่านี่ห้องสมุด หรือรถไฟ แต่เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เคารพกฏระเบียบบ้านเมืองเขากันด้วยเนอะ
แหะๆ พวกเรานิ แทบจะคว้านท้องแสดงความเสียใจ แต่เกรงใจเลยยืนคำนับทั้งครอบครัวในโบกี้แทน อภัยให้มือใหม่หัดเข้าญี่ปุ้นด้วยง้าป
พอมาถึง Sapporo ก็ต้องวัดใจกันตั้งแต่แรกเลย คือตอนอยู่ไทยบ้านเราเนี่ย มนุษย์แม่ ท่านเคยเดินไกลสุด ก็แค่หารถในที่จอด แต่มานี่แบคแพคเก้อ
ย่อมไม่มีรถทัวร์ หรือ ลิมูซินมารับ จะไปโรงแรมต้องเดินเอาเท่านั้น!!
งานนี้ พี่ชาย ผู้หาและจองที่พัก ออกปากว่า เดินได้ๆ ไม่ไกล และอาสา เป็นคนนำทัพเอง แรกๆก็เพลินดี ชมวิวนู้นนี้ ตื่นตาตื่นใจ ซัก 15 นาทีผ่านไป….
“ใกล้ยัง??….” “ยังงงง …เเป๊ปนึง อีก12 บล๊อค” “อ้อ หรอ นี่เราเดินมากันกี่บล๊อคแล้วละลูก?” ” พึ่งได้3 เองแม่” … ความเงียบเริ่มครอบงำ
และเราทั้ง 5 ก็ได้เรียนรู้ ความน่ากลัวของคำว่าเดินได้ 555
กว่าจะถึงที่หมาย ก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ทุ่มแล้ว แต่ข้าวซักเม็ดยังไม่ตกถึงท้องตั้งแต่เย็น
ซอมบี้ 5 ตัวเลยตัดสินใจฝ่าความหนาวออกหาอาการกัน แล้วก็พบกับ ” ราเม็งมันกุ้ง!!! ”
คือโมเม้นนั้น ให้กินอาหารหมาก็ยังว่าอร่อย แต่ได้กินมันกุ้งแบบหอมๆ น้ำซุปร้อนๆ เส้นนุ่มๆด้วยแล้ว โอ้ยยยย ซดทีก็เหมือนกับได้เข้าไปลอยอยู่ในหัวกุ้งเลย อร่อยโฮกกกก!! ทีเด็ดอีกอย่าง อยู่ตรงที่หัวมันทอดกรอบ ซึ่งใช้โรยหน้า เคี้ยวได้กรุบๆ ช่างเป็นมื้อแรกในซัปโปโร ที่เกินบรรยายเชรงๆ
Teach Parent How to Back Pack Day1
บทเรียน โรดทริป บทที่1 : “อย่ากินกาเเฟ ตอนเช้าถ้า(ขี้)ไม่เเข็งพอ!!!”
เช้าตรู่วันต่อมา พ่อ พี่ และเรา รับหน้าที่ตื่นแต่เช้า ล่วงหน้าไปทำภารกิจเช่ารถ ซึ่งการเช่ารถ ถ้าเป็นบ้านเราก็ 5 นาทีคงเสร็จ
แต่พอดี ที่นี่ มันคือ จี้ปุ่งงงง!! นะคะคุณ!! พี่แกต้องเป้ะ และละเอียดมากๆๆๆๆ กว่าจะโค้งต้อนรับ สอนการบังคับนั่น แล้วก็ตรวจสอบเอกสารนี้
เทรนซะเหมือนมาสมัครเรียน เพื่อสอบใบขับขี่ ไอ่เรากับพี่ก็ยืนฟังอย่างตั้งใจ แต่ป๊าก็มาสะกิด ข้างๆ “ห้องน้ำอยู่ไหนอะ ปวดอึ้ ไม่ไหวแล้วเนี่ย อั้นมานานละ” 55555 จะขำ ก็ขำไม่ออก จะขัดจังหวะถามเขาก็เกรงใจ ได้แต่บีบมือที่เหงื่อแตกของป๊าเบาๆ แล้วบอกให้ “อดทน” โชคดีจริงๆ ที่อีกไม่นาน พี่แกก็โค้งคำนับ กล่าวอำลา แล้วเราก็ได้รถมาขับเล่นอย่างสบายใจ (ซะที!)
ซึ่งกระนั้น การขับรถในเมืองเจ้าระเบียบครั้งแรกบอกเลยว่า สุดติ่ง เพราะคนขับรถเก๋งที่นี่ เหมือนเป็นลูกเมียน้อย ในเมืองจำกัดความเร็วที่ 40 กม/ชม เจอแยกไหนก็ต้องหยุดดูไฟ ให้คนข้ามก่อน ถ้าเผลอจอดเลยเส้น ก็จะถูกมองแรง เหมือนทำผิด ฐานฆ่าคนตายมา พูดเลยว่า เกร็งสุดๆ แต่คนที่เกร็งยิ่งกว่าเรา คือ มนุษย์พ่อ ที่อั้นอึ้ มาร่วมชั่วโมง เกร็งมือ เกร็งเท้า จนเลือดไม่เดิน หน้าซีด แทบสิ้นสติไปแล้ว 555 ใจนึงก็อยากจะจอดให้นางพัก แต่อีกใจก็ไม่มั่นใจระเบียบบ้านเขา แต่คิดว่าไม่น่าจอดข้างถนน แบบที่ไทยได้ แล้วห้องน้ำสาธารณะต้องแวะที่ไหนอะ โอ้ยย สารพันปัญหาไปหมด
ชั่วขณะที่ใกล้จะถึงโรงแรมมากๆแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น…. คับบบราเม็งมันกุ้ง และอุด้งเมื่อคืน ก็หลั่งไหล ดั่งสายธาราจากตัวป๊า ลงสู่เบาะ!!! 555555 น้ำตาจะไหลจริงๆ รถเราก็ไม่ใช่ เพิ่งจะเช่าออกมาได้แป้ปเดียเอง แต่ก็โกรธนางไม่ลง ได้แต่คุ้ยหาโบรชัวร์ กระดาษอะไรให้แกรองนั่งไปก่อน ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้อีกอย่างว่า น้องจากฮืทเธคแบบลองจอน นอกจากจะกันหนาวได้แล้ว ยังซับน้ำได้ดีมีประสิทธิภาพประคองกันมาจนถึงโรงแรมจนได้ แค่วันแรก ก็สนุกจังฮู้วว!
หลังจากที่ประสบเหตุสุดวิสัยเมื่อเช้า การออกสตาร์ทเค้าพวกเราจึงล่าช้าออกไป ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนกันเล็กน้อย จากเดิมที่จะขับรถไปดูทะเลสาบที่ไกลออกไปหน่อย ก็กลายเป็นการขับไปเที่ยวชมเมือง โอตารุ ที่อยู่ใกล้กว่าแทน ซึ่งขับรถไปประมาณ ชม.ครึ่ง ผ่านส่วนที่เป็นชายฝั่งทะเลด้วย วิวดี้ดี อย่าหลับกันนะ
โอตารุ เป็นเมืองเล็กๆ อุดมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างน่ารักๆ เหมาะเจาะกับคนไทยที่ชอบการถ่ายรูป และรักการถูกถ่าย เปรียบเทียบก็ประมาณซานโตรินีที่มีร้านรวง ตกแต่งสวยเต็มไปหมด แต่เนื่องจากบ้านเราไม่ได้คลั่งไคล้การถ่ายรูป กับ Landmark อะไรมากมาย จะสะพานพาดคลอง หรือ หอนาฬิกาแบบคนอื่นๆก็ไม่ค่อยอิน โอตารุจึงกลายเป็นเมือง สำหรับผู้หิวโหยแทน!ของกินเย๊อะจริงจริ้งง เดินเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ กระเพาะนิย่อยกันแทบไม่ทัน ซึ่งกับดักที่บ้านเราโดนตัดกำลังไป ก็คือ อาหารเป็นจาน บอกเลยว่าไม่ควรอย่างยิ่ง มาทั้งที ลองนู่นนิด นี่หน่อยดีกว่า
อย่างโคร๊อกเกะ อร่อยเหอะอันนี้ก็ซื้อมั่วๆ เห็นเป็นร้านเล็กดี น่าจะขลัง 555 เดินเข้าไปก็ถามพนักงานขายเค้าเอา ว่าอะไรเด็ดสุด นางก็ตอบกลับมา ด้วยความภาคภูมิใจว่า ต้องรสนี้เลยค่ะ โอลิมปิคเหรียญทองนะค้า กัดคำแรกเท่านั้นแหละ เหริยญทองจริงๆวะแก! ชนะร้านเด็ดชื่อดัง ที่ต้องต่อคิว 2 ชม.ตรงย่านชิโมคิตาซาว่าในโตเกียวไปแบบขาดลอย
ส่วนร้านนี้เป็นอารมณ์ เหมือนโรงอาหารนิดๆ ข้างหน้าเป็นบาร์ให้หยิบของสด ใครอยากกินอะไรก็หยิบใส่จาน แล้วส่งให้คนปิ้งซะ ขอสารภาพว่าจริงๆเข้ามา เพราะคนปิ้งหน้าตาเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว แซ่บลืม หวังใจว่าจะ สื่อสารภาษาอังกฤษให้เข้าใจสักหน่อยที่ไหนได้ อาโหน่วว ใส่เฉย เหวอเลยกู
มาถึงข้าวโพดในตำนานกันบ้าง ข้าวโพดสีขาวซีดๆเนี่ยแหละ ทีเค้าบอกว่าหวานนักหวานหนา แล้วก็สมคำล่ำลือ หว๊านนน หวานน หวานจริงๆ หวานจนคิดว่า ที่แช่อยู่เนี่ ยก็คือแช่น้ำตาลแน่ๆ มีใครรู้มั่ง ช่วยบอกเราที
กลับมาดูรูป ก็ยิ่งอยากกลับไปซดหอยกาบ ที่นี่ เวลาย่าง จะฉีดน้ำใส่ด้วย ไม่รู้ว่าเป็นซีอิ๋ว หรือเกลือ แต่มันทำให้เข้าเนื้อกรุบ เด้งดึ๋งดั๋ง กัดที หอยแตกเปรี๊ยะๆๆๆๆ อร่อย!
หลังจากกลับมาจากโอตารุ ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ไปไหนก็คงปิดหมดละ งั้นแวะเข้าไปชม บรรยากาศในมหาวิทยาลัย ญึ่ปุ่นกันซักหน่อยดีกว่า โดยไม่รู้ว่ามันจะดีขนาดนี้!
โอ้โหววววว !!! เห็นเป็นถนนเส้นตรงๆ เส้นเดียวแบบนี้ แต่พ่อแม่ ลูกแอคท่า กันลืมดูรถ เกือบโดนชนเลยจ้า ยืนมันกลางเลนเนี่ยแหละ เอ้า ถ่ายหน่อยๆ ตรงนี้ๆ นี่ๆๆ สวยๆๆ เอ็นจอยกันไปอี๊กกกกก หันไปหันมา เห้ย ทำไมมีสำเนียงคุ้นๆวะ อ๋ออ! มีคนไทยมาอีกกลุ่ม และเหมือนส่องกระจกเห็นตัวเองเมื่อกี้เลยจ้า 555 และหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราก็เลิกบ่น และเข้าใจหัวอกคนจีนที่ชอบมาเที่ยวใน มหาวิทยาลัย เชียงใหม่เลย 555
Teach Parent How to Back Pack Day 2
เวลาอ่านรีวิว ญี่ปุ่น แต่ละที่พูดเลยว่าอ่อนใจ แต่ละกระทู้งัดที่ดัง ที่เด็ด ที่อร่อยแน่นอน ต้องไปกินให้ได้ ขนกันมาสารพัด บอกเลยว่ากูสู้ไม่ได้จ้า ลิ้นก็จรเข้ เเดกอะไรก็อร่อยไปโม้ด 555 คิดไรไม่ออก หันไปเจอเซเว่อ ร้านสะดวกซื้อ แหล่งโอเอซิสของชาวแบคแพคเกอร์ผู้ต้องการความรวดเร็ว และประหยัดงบ งั้นเอางี้เลยละกัน!! ไปไง มาไง ไปญี่ปุ่น ขอรีวิว เซเว่น!!!!!
ปกติ เซเว่นบ้านเราจะมีแค่ตู้แช่น้ำแบบเย็นใช่ปะ แต่ที่นี่ มีตู้แบบอุ่นเว้ย!!! เวลาเดินไป เดินมาแล้วหนาว มือเย็นแบบถุงมือเอาไม่อยู่ละ เดินเข้าไปเลย แล้วจัดกาเเฟอุ่น หรือโกโก้อุ่น หรือชาอุ่นก็มี แต่ที่เด็ดสุดต้องเป็น น้ำผึ้งมะนาวอุ่น !!! เดินถือกระป๋องอุ่นๆไป จิบน้ำมะนาวร้อนๆให้ชุ่มคอไป ก็ฟินได้ละ นอกจากนี้ แน่นอนว่านึกถึงเซเว่น ต้องนึกถึงอาหารสำเร็จรูป ใครหิวๆ มาๆมากินข้าวหน้าเนื้อ ทงคัทสึ อุดัง ข้าวปั้น มีโม้ดอะ สารพัดอย่างกับเสิชกูเกิ้ลแหนะ ละไม่ต้องกลัวไม่อร่อยนะ เเพคเกจจิ้ง นางเลอเลิศ ดีงาม แยกชั้นมาอย่างแนบเนียน บางทีแค่แกะกล่องก็สนุกละ มันจะซ่อนนู่นซ่อนนี่เก่งไปไหนเอาจริง 555
ขอบอกเลยว่าประทับใจมาก เดินผ่านที่ไหน ก็ต้องขอเดินเข้าไปดูหน่อย บางทีก็ไม่ได้อยากกินไรนะ เจอมุมที่ทำสดๆ ทอดใหม่ๆ เครื่องชงกาเเฟสดก็มา มันอดใจไม่ไหวที่จะต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือออกมาทุกครั้งไป และที่สำคัญ เซเว่นเกือบทุกที่ มีส้วม!!ทำไมนะ ทำไมไม่รู้อย่างงี้ตั้งแต่วันแรก
ไม่งั้นสบายไปละพ่อ 555
วันนี้ แผนของเรา คือขับรถยาว พุ่งตรงออกจากตัวเมือง Sapporo ประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราก็จะเข้าสู่ “อุทยานแห่งชาติ ชิโกสึ-โทยะ”
ซึ่งตลอดสองข้างทางนั้น เหมือนมีใครเอาพู่กันสีเขียว-เหลือง-แดงมาแต้มๆ เป็นจุดๆ ตลอดทางเลย เนี่ยแหละ! สิ่งที่เราตามหาของทริปนี้ ความสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี! เพราะก่อนมา เราก็หวั่นๆเหมือนกัน ว่าจะเริ่มร่วงไปเยอะแล้ว เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงเร็ว กำลังจะเข้าหน้าหนาวเต็มตัว แต่การมาอุทยานวันนี้ ก็ทำให้ทริปนี้ไม่ผิดหวังแล้ว มนุษย์พ่อกับแม่ ที่หลับปุ๋ยมาตลอดทาง ก็ตื่นมาวี้ดว้ายกันใหญ่ เพราะมันสวยมากจริงๆ
“You are arriving at your destination” ในที่สุดก็ถึงแล้ว.. .” ทะเลสาบชิโกะสึ “จุดมุ่งหมายแรกของเราวันนี้!! โชคดีที่อากาศเป็นใจ ฟ้าเปิด แดดจ้า เลยรัวชัตเตอร์ได้เต็มที่ จนเมมเเทบเต็ม แล้วก็พึ่งรู้ว่า อ่าว ด้านล่างของจุดชมวิว มันเดินลงไปได้อีกหนิ ใกล้ชิดทะเลสาปกันอีกระดับ
ทะเลสาบชิโกะสึ ถึงแม้ชื่อจะน่ารัก แต่ความลึกไม่ได้น่ารักไปตามชื่อ เพราะมันเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ลึกสุดก็อยู่ที่ 363 ม. อื้มมมม นัลลล๊ากกกก น่าลงไปว่ายน้ำเล่นมั้ยละ!
วิวตรงริมตลิ่งด้านล่างนี้ ถือว่าสุดๆ แว้บแรกนี่ แทบหยุดหายใจ ตายไปเลย เพราะเหมือนถูกโอบล้อม ด้วยภูเขาไฟ 3 ลูก ชื่อเรียกยากนิดหน่อยว่า ภูเขาไฟเอะนิวะ ภูเขาไฟทะรุมาเอะ ยิ่งมาช่วงนี้ภูเขาลูกใกล้ๆ ก็จะเป็นสีเเดงเหลือง เขียว สลับๆกันไป โอ้ยได้ฟิลใบไม้เปลี่ยนสีที่สุดดดด นั่งๆไป ก็เดินซื้อไอติมซอฟท์ครีมมากินด้วย เพลิ้น เพลิน ได้มีเวลาค่อยๆละเอียดรสชาติ มโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงแห่งทะเลสาบชิโกะสึ
ถ้าใครมาตามเส้นทาง อุทยานแห่งชาติ ชิโกะสึ-โทยะ ขับมาแล้วกลับเลยถือว่าผิดมาก เพราะว่าถ้าขับมาอีกนิดจะถึง ‘โนโบะริเบะสึ’ ซึ่งเป็นอีกเมือง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อน อ่ะๆ ก่อนจะลงไปแก้ผ้าแช่น้ำ แล้วแอบส่องหุ่นอื่น แนะให้ทำตัวมีสาระกันก่อน ด้วยการไปดูแหล่งที่มาของน้ำแร่ หรือที่เค้าเรียกว่า “หุบเขานรก” เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยแร่ซัลเฟอร์สีขาวโพลน ลักษณะเด่นของมัน คือกลิ่นที่เหม็นเหมือนตดเน่า ขี้ไม่ออกซักสามวัน
หุบเขานี้ลึก และใหญ่มาก มองลงไปจะเห็นรถเครนกำลังขุด ตักอยู่ ควันคละคลุ้ง ตัดกับสีใบไม้หลากสีเชียว แค่เห็นก็ตื่นเต้น แล้ว ไม่อยากจะนึกว่าถ้าได้เอาตัวลงไปแช่ จะออกมาผิวขาวเด้งเหมือน เงาะป่าชุปตัวในทองบ้างไหม 555 น่าเสียดายที่ในออนเซ็น เค้าไม่ให้ถ่ายรูป หรือไม่ให้แต่จะเอากล้องเข้าไป ไม่งั้นคงได้รูปสาวๆแก้ผ้าอาบน้ำพร้อมกันเป็นหมู่คณะมาฝากทุกคนแล้ว เห้ย! ไม่ใช่ดิ 555 งั้นเราเลยเอาภาพระหว่างทางไปมาให้ดูแทนละกัน
‘โนโบริเบสี แกรนด์โฮเทล’ ไม่ใช่ที่พักของเรา แต่เป็นที่ๆเราจะมาใช้บริการออนเซ็นต่างหาก ซึ่งที่นี่เป็นบ่อรวม แยกชาย-หญิง และเปิดเป็นรอบๆ ซึ่งออนเซ็นรอบเย็นของที่นี่ เปิดตอน 4 โมงเย็น เรามาถึงครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า ช่างเหมาะเจาะซะเหลือเกิน จัดการจ่ายเงินปุ้ป ก็ดีดตัวแยกสองฝ่าย ไปปาร์ตี้แบบหนุ่มๆสาวๆกัน ฮี่ๆ
พิธีกรรมการแช่ออนเซ็น ไม่ยากเลย เริ่มจากเปลี่ยนรองเท้าเป็นเกี้ยที่เขามีให้ เพื่อเดินเข้าไปถอดชุดห้องแต่งตัว เข้าไปปุ้ป พี่สาวชาวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งด้อมๆมองๆอยู่นานแล้ว และเห็นว่าเราเป็นคนต่างชาติ ก็เข้ามาชาร์ตทันทีพร้อมกับ ชี้ๆไปที่เสื้อ แล้วเอาแขนมาไขว้กันเป็น กากบาท สื่อความหมายชัดเจนว่า “ถึงจุดแก้ผ้าแล้วค่ะ แก้ผ้าให้หมดเลย ถอดไว้ในตระกร้านี้เลยจ้ะ เลยห้องนี้ไปเสื้อผ้าไม่อนุญาติแล้วนะจ๊ะ” วัฒนธรรมนี้ช่างไม่คุ้นเคย สำหรับคนไทยอย่างเราเหลือเกิน ถึงจะเป็นแม่ ลูกกันก็เหอะ 5555 พากันวิ่งไปคนละมุมเหมือนเล่นซ่อนหาพร้อมผ้าผืนน้อยๆที่อนุญาติให้นำเข้าไป ขัดเนื้อขัดตัวข้างในได้ เอ้า!ต้องเลือกแล้วละ ว่าจะหวงบนหรือ หวงล่างดี 555
หลังจากเดินหนีบๆเข้าไปในห้องอาบน้ำ แม่ลูก ชาวไทยก็ต้องยืนเหวอ สังเกตการณ์กันสักพัก เพราะว่า มีบ่อน้ำหลายบ่อเหลือเกิน จนทำตัวไม่ถูก ยืนหลบมุมศึกษาพฤติกรรมคนอื่นสักพัก ก็ได้ข้อสรุปว่า สเต็ปแรก คือ เราต้องทำอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายกันก่อน โดยดึงเก้าอี้ไม้ตัวน้อยมานั่ง แล้วใช้ฝักบัวที่เรียงรายแถวขอบบ่อ ล้างๆขัดๆถูๆร่างกายกันก่อน ถ้าใครเป็นคอการ์ตูนญี่ปุ่น น่าจะนึกภาพออก 555 การทำแบบนี้ก็เพื่อขจัดสิ้งสกปรก คราบเหงื่อ ขี้ไคล และเปิดผิวเพื่อรับแร่ธาตุจากน้ำแร่ให้เต็มที่นั่นเอง
เสต็ปสอง ก็เลือกบ่อที่อยากลงได้ตามใจชอบ แต่ละบ่อ จะมีป้ายกำกับไว้ ว่าเป็น บ่อน้ำเกลือ บ่อน้ำแร่ บ่อซัลเฟอร์ โดยแต่ละอันก็ให้คุณสมบัติต่างกันไป ซึ่งบ่อตรงกลาง น้ำจะร้อนน้อยที่สุด แต่! ถึงกระนั้นแล้ว มันก็ยังร้อนมากๆๆๆๆๆอยู่ดี โอ้ยยย จุ่มนิ้วหัวแม่โป้งเท้าลงไป ก็ร้องจ๊าก และชักกลับอย่างรวดเร็ว กว่าจะทำใจลงแต่ละบ่อได้จริงๆ ก็ผ่านไปนานอยู่…นั่งแช่ได้ไม่นาน ก็เริ่มวิงๆหัว เหมือนหน้าจะมืดละ รู้สึกคล้ายจะเป็น หมูต้มสุกไปทุกที เลยต้องลุกออกมาพักก่อน แล้วก็ได้พบกับสรวงสรรค์อันแท้จริง “Outdoor Onsen” มันดีมากอะแกรรร! น้ำร้อนจี๋ ผสมกับลมเย็นๆที่พัดมาปะทะ กลายเป็นอุนณภูมิที่พอดี อากาศถ่ายเถ และผ่อนคลายมากๆ แต่อยู่นานมาก หน้าก็จะชานะ เพราะเป็นส่วนที่ไม่โดนน้ำร้อน 555 เลยต้องสลับนั่งข้างในบ้าง ข้างนอกบ้าง เฮ้ออ สบายสุดๆคุ้มแล้วที่ดองไว้ไม่ได้อาบน้ำมา 2 วัน
จริงๆ ออนเซ็นหลัก มีบ่อ 2 ประเภทหลักๆ คือ บ่อร้อน กับ บ่อเย็น ซึ่งลักษณะเด่นตามชื่อเลย คือบ่อรอน เป็นน้ำร้อนจี๋ ลงแช่อันแรก และบ่อเย็น เป็นน้ำเย็นเฉียบ 0 องศา หรือติดลบ เอาไว้ช้อตผิว ลงแช่หลังจากแช่บ่อร้อนแล้ว เป็นการทำให้เลือดลมสูบฉีด และผิวสวยเต่งตึง แต่ขอบอกว่า อันตรายมากๆๆๆๆๆๆนะ ใครมีโรคหัวใจ หรือโรคอื่นๆที่เสี่ยง ห้ามทำเด็ดขาด!
“ฮ้าาาาาา” ยกมือขึ้นบึดขี้เกียจหนึ่งที หลังแช่น้ำกันเสร็จเรียบร้อย ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นชินจัง ที่เดินหน้าแดงก่ำ มีควันลอยติดตัวออกจากห้องอาบน้ำ ชาร์จพลังกันเต็มสูบ ขับรถลุยกลับไปทานข้าวเย็นที่ Sapporo กัน
Reccomended สุดๆ เพราะนี่เป็นเมนูที่หาที่ไหนไม่ได้อีกนอกจาก Sapporo เค้าเรียกว่า ซุปคาเร่ หรือ ซุปแกงกระหรี่
คือเป็นเหมือนเเกงกะหรี่อ่ะแหละ แต่เหลวกว่าเยอะ จนสามารถกินแบบ ซดน้ำซุปพร้อมกับข้าวสวยร้อนได้เลย ซึ่งเราก็สามารถเลือกท้อปปิ้งเพิ่มเติมกันได้ มีทั้งไก้ทอด แฮมชิ้นโต เทมปุระ ฟินนนน
Teach Parent How to Back Pack Day 3
หลังจากเมื่อวานเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางเหลื๊ออเกิน แม้ระยะทางที่ขับ จะไม่ไกลเลย เหมือนขับรถจากกทม. ไปนครชัยศรี แต่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย 80 นี่คือความเร็วสูงสุดที่เหยียบได้ละ ไอ่เราตีนผี อยากจะเร่ง ก็กลัวโดนถ่ายรูป ส่งไปเช็คบิลที่บ้าน แบบแพงหูฉี่ เลยต้องทำถูกต้องตามกฏจราจรเขา จากระยะทางที่ปกติอยู่ไทยคงแค่ 1 ชม.ถึง ก็ล่อไปเกือบสาม ชั่วโมงแหนะ! วันนี้เราเลยขอสบายๆหน่อย เลือกสถานที่ใกล้ๆ ในเมือง Sapporo แทน
Moerenuma Park คือสวนสาธารณะ ขนาดใหญ่โต มโหฬาร ที่สนุก และทำให้สวนนี้ไม่เหมือนทั่วๆไป คงจะเป็นการไต่ Mt. Moere แบบภูเขาจำลอง ซึ่งถูกสร้างขึ้น ให้มีความสูง 62m. เหนือระดับน้ำทะเล ชอบโมเม้นตอนขึ้นไปบนยอดแล้ว สามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองได้มากๆ เสียดายที่ตอนไปหิมะยังไม่ลง ไม่งั้นจะได้เห็นคนลื่นตัวเองลงจากยอด ด้วย Sledding หรือลากเลื่อนเต็มไปหมด น่าสนุกเน้าะ ใครได้มา ถ่ายรูปมาฝากที!
หลังจากที่เห็น Sapporo ในมุมสูงจากยอดเขาจำลองกันแล้ว คราวนี้เราขึ้นมาต่อ ที่จุดสูงอีกแห่งของเมือง Mt.Moiwa กันบ้าน ซึ่งเป็นยอดเขาธรรมชาติ สามารถขึ้นมาชมวิวที่ยอดนี้ได้สองทาง ถ้าใครฟิตชอบออกกำลังกาย อยากสำรวจธรรมชาติแบบเต็มอิ่ม จะเลือกเดินขึ้นด้วยขาก็ไม่ว่ากัน แต่งานนี้ คุณแม่เซย์ โนค่ะ ขอขึ้นเคเบิ้ลแบบประหยัดแรง สวยๆดีกว่า เพราะเกรงว่า ค่าเคเบิ้ลคาร์ที่ประหยัดได้ จะไม่คุ้มค่ารักษาเข่าที่ต้องจ่ายอะนะ 555
ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น ทุกการบริการ ดีเยี่ยมเสมอ ซึ่งพนักงานที่นี่ ก็ไม่ทำให้เสียชื่อ พนักงานทุกคนจะโค้งคำนับจนกว่าพวกเราจะลับสายตาไป เช่นกันกับบริเวณสถานีรถไฟ น่ารักเน้อะ
ส่วนตัว เราว่าญี่ปุ่นมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีความงามในทุกๆฤดู ที่แตกต่างกัน จะมาฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ ก็จะได้เห็นภูเขาถูกย้อมเป็นสีแดงไปทั้งลูก หรือถ้ามาหน้าหนาว จุดเดียวกันตรงเนี้ย ก็จะถูกหิมะย้อมเป็นสีขาวโพลนสะอาดตา ทำให้เราหลงไหลได้ทุกที
มาถึงญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความฟรีด้อมทางเพศทั้งที จะปล่อยให้ผ่านก็กะไรอยู่….เห้ย! ไม่ได้จะไปขายตัวเว้ย 555 จะเล่าว่าคืนสุดท้ายที่นี่ ระหว่างที่เดินชมบรรยากาศ และแสงสียามค่ำคืน เจอกับแก๊งมนุษย์เงินเดือนเดินแกว่งประเป๋าเมาหยำเป๋บ้าง แก๊งเด็กวัยรุ่นทียืนตาม 4 แยก ชักชวนคนไปร้องคาราโอเกะด้วยบ้าง ทุกอย่างก็ปกติดี ไม่มีอะไรพีค จนกระทั่งแม่ตะโกนขึ้นมาว่า “ต๋ายยยยละ(สำเนียงเมืองๆแบบภาคเหนือ)…ดูดิๆ กระต่ายๆๆดิ้นใหญ่เลย!!!” พวกเราก็ งง กระต่ายไรวะแม่ นี่ไม่ได้พามาเที่ยวสวนสัตว์นะเหวย พอกวาดตามองตามมือนาง ที่ชี้ขึ้นไปบนชั้นสองของตึกนึง
โอวววววว กระต่ายจริงด้วย เหล่าบันนี่ น้อยก้นเด้งดึ๋ง กำลังชงเหล้าให้หนุ่มๆ ในร้านดื่มกันใหญ่เลย ไอ่พวกคนข้างนอกนี่ ก็ดูเพลินเลยนะ 555 เผลอๆเยอะกว่าคนนั่งในร้านอีก การตลาดเยี่ยมจีๆเลยค่าคุณพี่
และ4วันใน Sapporo หมดลง รีบบอกลาไปก่อนหิมะจะถาโถมเข้ามา ได้เวลาเปลี่ยนที่หมายใหม่แล้ว! ติดตามกันนะ