ไม่ต้องลองหลับตาจินตนาการอะไรทั้งนั้น แต่แค่พูดถึงชื่อประเทศ “เม็กซิโก” ภาพหนังฮอลลีวู้ดที่แอบแม่ดู ตอนฉายบิ๊กซีเนม่าตอนกลางคืนก็ฉายซ้ำในหัวอีกรอบทันที.. เมืองที่ฝุ่นเยอะๆ คนหน้าโหด ไว้หนวดหนาๆ ขี่ม้าส่งเมือง ขุดทอง อันตราย ดวลปืน อะไรก็แล้วแต่ที่ดูน่ากลัวแล้วพอนึกถึงได้ก็กลายเป็นเม็กซิโกไปซะงั้น เอ้า! โคตรไม่ยุติธรรมเลย 5555555 เพราะที่เคยมโนไปเอง มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดซักนิด เรามีโอกาสนั่งเครื่องข้ามน้ำข้ามทะเลจากไทยไปอีกซีกโลก เพื่อไปดูมันให้เห็นกับตานี่แหละว่ามันน่ากลัวจริงรึป่าว แต่พอนั่งรถเข้าเมืองวันแรกที่ถึงปุ๊ป จากภาพที่คิดไว้คืออาจจะโดนวัยรุ่นหนุ่มลวนลามแบบตะโกนใส่หน้า “เฮ้ยมึง ตีกูป่าว” บอกเลยไม่ใช่ เพราะเหมือนโดนเม็กซิโก ตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ทำไมอากาศดีขนาดนี้ ทำไมTacoอร่อย ทำไมต้นไม้ร่มรื่น ทำไมดูมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจเยอะแยะไปหมด!
รอบนี้เราขอพาเที่ยวแลนด์มาร์คใน“Mexico City” เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกที่บอกเลยว่าไม่เสียแรงที่นั่งเครื่องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยว เพราะที่นี่เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเม็กซิโกสิ้นเชิง ถ้ารักยุโรปหลายๆเมือง ก็จะรักที่นี่ และถ้าอยากมาหรือกำลังจะมาเที่ยวอเมริกาเร็วๆนี้ก็ต้องอยากเพิ่มเวลาซักอาทิตย์มาเที่ยวที่นี่ด้วยแน่ๆ
การเดินทาง
จากกรุงเทพเราเลือกเดินทางกับ Cathay Pacific ไปลงที่ L.A. ก่อนต่อเครื่องไปอีกประมาณ 3-4 ชั่วโมงไปที่เมือง Mexico City (MEX) อย่างที่บอกนั่นแหละว่าถ้าแพลนมาเที่ยวอเมริกาแล้วก็ควรเพิ่มเม็กซิโกเข้าไปด้วยเพราะบินต่อไปแค่ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ เหมือนจากไทยบินไปเที่ยวไต้หวัน ใกล้กันนิดเดียวเท่านั้นแหละ ได้เพิ่มประเทศชิคๆ ไว้ในลิสต์อีก 1 ประเทศที่ควรไปเยือน ถ้ามีวีซ่าอเมริกาอยู่เข้าเม็กซิโกได้ทันทีไม่ต้องขอวีซ่า ถ้าไม่มีสามารถไปขอได้ที่สถานทูตเม็กซิโก ประจำประเทศไทย
รอบนี้เรานั่ง Business Class ไปเพราะนั่งกันค่อนข้างนานกว่าจะถึงเลยได้เหยียดแข้งเหยียดขาสบายๆ นอนหลับเต็มอิ่ม ตื่นมาก็พร้อมเที่ยวทันที อยากนั่งอีกบ่อยๆ จังเลย แต่เปิดเงินดูในกระเป๋า อ้าวเหลือค่าแท๊กซี่กลับบ้านพอดีเลย 55555555 สิ่งแรกที่เห็นในเม็กซิโก ซิตี้แล้วคิดไว้ในหัวเลยคือ “เฮ้ยยย ดูดีหวะ” ไม่เหมือนที่คิดไว้เลยซักนิด
Ángel de la Independencia
แลนด์มาร์คแรกที่เราอยากแนะนำก็ต้อง สวยงาม ดูดีแบบพวกเรา อิอิ ทีนี่คือ อนุสาวรีย์นางฟ้าแห่งอิสรภาพ เป็นไงหละ เป็นนางฟ้าไม่พอยังมอบอิสรภาพให้ทุกคนไปอีก ถ้าเปรียบที่นี่ให้เห็นภาพชัดขึ้นก็ประมาณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของบ้านเรา
แต่ทีนี่สะอาดสะอ้านกว่าเยอะ เพราะอยู่ในโซนใจกลางเมืองอย่าง Reforma ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประกาศอิสรภาพจากการถูกคุกคามและล่าอาณานิคมต่างๆ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี
วิธีมาที่นี่ก็ง่ายๆ นั่ง Subway สายสีส้มมาลงที่สถานี ¨Auditorio¨ ออกทางประตู Reforma Exit ขึ้นมาปุ๊ปเงยหน้าหันสายหันขวา ถ้าตาไปสะดุดเจอป้ายรถเมล์เมื่อไหร่ก็นั่นแหละถูกต้อง เดินไปรอที่ป้ายรถเมล์ จริงๆก็เห็นว่าไปได้ทุกคันแต่เพื่อความชัวร์ก็ตะโกนถามก่อนขึ้นซะหน่อยว่า “El Angel?” (ชื่อย่อของที่นี่) ถ้าใช่ก็ขึ้นโลดดด!
San Juan Market
เราถามคนเม็กซิโกว่าถ้าอยากกินอะไรแบบบ้านๆ หน่อย ไม่ต้องทรหดมากนะ ขอแบบบ้านๆ เดินตลาดไรงี้ มันมีที่ให้ไปมั้ย? เค้าก็แนะนำและพาไป San Juan Market ที่นี่อารมณ์เหมือนปากคลองตลาดนั่นแหละ คือมีของสารพัดอย่างขาย แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารสด ประเภทเอากลับไปทำกินกันเองที่บ้านนะคะลูก แต่ละร้านก็จะขายของแตกต่างกัน แต่ที่เด็ดสุดของที่นี่คือ ชีส! เค้าบอกว่าที่นี่เป็นตลาดรวมชีสจากทั่วโลกในราคาที่กินได้และเอื้อมถึงจริงๆ เราเองก็ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ชีสซักเท่าไหร่ แต่รู้ว่ามันอร่อยหมดนั่นแหละ 555 ยิ่งกินกับไวน์แดงนี่นะ อื้อหือออ ปากเปิกจริตจะก้านจะมาทันที
เราขอแนะนำร้านดังของตลาดนี้ เหมือนไปเชียงใหม่กาดหลวงแล้วแย่งกันซื้อไส้อั่วดำรงค์ ร้านชีสนี้คือ Gastronomica คุณลุงเจ้าของร้านนางเคลมว่ามีชีสจากทั่วโลก อยากได้ อยากกินอะไรก็มีให้หมด พอเราสั่งปุ๊ปนางก็จะเดินไปคลำๆ หามาแล้วฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่จานโฟมให้เราทันที ภาชนะไม่ผ่าน แต่รสชาติดีงาม ควรมาลอง
อีกอย่างนึงที่แปลกตาเรามากคือตุ๊กตา นี่คือตุ๊กตาวันเกิดหรือเรียกว่า Pinata (ปิน๊าต้า) Traditional ดั้งเดิมของตุ๊กตานี้มันเป็นรูปเหมือนโลโก้รายการระเบิดเถิดเทิงสมัยก่อนแต่เป็นสีๆ ผ่านมาตามยุคก็เพิ่มลวดลายเป็นสัตว์ สิ่งของต่างๆ เข้าไป แต่หน้าที่ของมันยังเหมือนเดิมคือ เด็กๆ เจ้าของวันเกิดจะเอาลูกอมไปใส่ไว้ในตุ๊กตา พอถึงวันเกิดปุ๊ปก็จะชวน อีแก้ว อีคำที่เป็นเพื่อนกันทั้งหลายเนี่ยว่าช่วยกันทุบ Pinata แล้วเอาลูกอมออกมากินกันจนฟันหลอ 55555 นี่เรื่องจริง ไม่โม้ เราซื้อกลับมาตัวนึงเหมือนกันไม่อยากจะอวด
Polanco
เราพักในย่าน Polanco ของเมือง เค้าบอกว่าย่านนี้เป็นย่านที่ปลอดภัย มีโรงแรมเชนดังๆ และร้านน่ารักๆ เยอะ เราออกมาเดินเล่นกันเองแบบชิวๆ ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ที่ต้องระวังคือทรัพย์สินส่วนตัวที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องระวังกันไว้มากๆ อยู่แล้ว
รอบๆ จะมีคาเฟ่ร้านเก๋ๆ น่ารักเต็มไปหมด เราชอบบรรยากาศของอากาศ 20 องศาต้นๆ แล้วออกมานั่งชิวจิบกาแฟกัน จะบอกว่าแถวนี้เยอะมากๆ ไหนหละ! ไหนที่บอกว่าเม็กซิโก ซิตี้น่ากลัว หื้มมม น่ากลัวยังไงกันค้าาาาา
บางคนก็เอาหนังสือมานั่งอ่านหนังสือตรงม้านั่งริมฟุธบาท บางคนก็อ้อแอ้ป้อแป้จีบกัน ที่หันไปมองมะไหร่ก็เบ้ปากใส่ทุกที 555555 เราว่ามันจะน่ากลัวหรือไม่น่ากลัวก็อยู่ที่คนด้วยแหละว่าจะเลือกเอาตัวเองไปไว้ในจุดไหน สำหรับเราขอแบบชิวๆ แบบนี้แหละ
Casa Azul – Frida House
นี่เป็นบ้านของศิลปินชื่อดังของเม็กซิโก ซิตี้ ถ้ามาแล้วไม่มาก็เหมือนไปเชียงรายแต่ไม่ได้ไปแวะบ้านดำ ของอ.ถวัลย์ ดัชนี แต่ที่นี่คือบ้านของ Frida Kohlo ศิลปินที่นี่หน้าตาสวยงามแต่ชีวิตของเธอน่าเศร้าเป็นสุขปนทุกข์ไปด้วยกันตลอดเวลา ไกด์ของที่นี่เล่าให้เราฟังว่า ชีวิตของเธอน่าสงสารมากป่วยเป็นโปลิโอตั้งแต่เด็ก แต่มีความฝันอยากเป็นหมอ ตอนสงครามเม็กซิโก ความฝันของเธอก็ล่มสลายเพราะถูกรถชนและเหล็กเสียบจากหน้าทะลุหลัง
เธอต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา พ่อของเธอเลยเอากระจกมาติดด้านบนเตียงให้เธอวาดรูปตัวเธอเอง ผ่านกระจก วาดตัวเองบ้าง วาดคนรู้จักบ้าง ศิลปะของ Frida จะมีเด็กทารกซ่อนอยู่เพราะเธออยากมีลูกแต่ไม่สามารถมีได้
Frida ต้องใส่ Corset ตลอดเวลาเพื่อช่วยพยุงอาการต่างๆ ของเธอไว้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะแฟชั่นของเธอฉูดฉาดและสวยงามเสมอ เธอยังเคยเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ แบรนด์เช่น Givenchy หรือเสื้อเกราะของมาดอนน่า
ชีวิตของเธอมีผัว ผัวก็เจ้าชู้ เคยจับได้ว่ามีชู้มากที่สุดถึง 20 คนตลอดเวลาที่คบกันเธอ หนักกว่าเดิมคือได้น้องของFrida เองเป็นชู้อีกด้วย และด้วยอารมณ์ศิลปินของนางทำห้ารวาดภาพมีหลายเฉดสี หลากอารมณ์ พอเธอแต่งงานและให้สามีย้ายมาอยู่ด้วย ก็เริ่มเปลี่ยนบ้านเป็นสีฟ้า เพราะสีฟ้าหมายถึงความรักและการศรัทธาในความรักของเธอ คิดดูละกันว่าความรักที่อดทนนานแค่ไหน 20 คนเอ๊งงงง 55555
สุดท้ายก่อนเธอเสียชีวิตก็โดนตัดขาออกไปข้างนึง และก่อนเสียชีวิต 2 อาทิตย์เธอได้วาดภาพ Viva La Vida ภาพสีสันสวยงามของแตงโม แต่แฝงไปด้วยเรื่องราวของชีวิต ความเป็นไปเป็นมา สูงสู่ต่ำ และในปี 2007 Coldplay มาเที่ยวที่นี่และได้ทำเพลง Viva La Vida ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเธอนี่แหละ
Coyoacan’s and San Angel
สองที่นี้เป็นส่วนที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้อีกที มีแต่คนบอกว่าถ้าเที่ยวเม็กซิโก ซิตี้แล้วมีเวลาก็ออกมาเที่ยว Coyoacan กันด้วยนะเพราะที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ในเมืองใหญ่ๆ อีกที มีโบสถ์ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล Artisan Market ให้ซื้อของฝากราคาถูกๆ และร้านอาหารชิคๆ ก็เยอะใช้ได้เหมือนกัน
ส่วน San Angel นั้นถ้าพูดตามตรงคือย่านที่อยู่ของคนรวยนั่นแหละ ถ้ามีเวลาว่างแบบเราก็ลองมาเดินเล่นดูสถาปัตยกรรมและรูปทรงของบ้านแบบสวยงาม มีกิมมิคเบาๆ เราชอบบ้านที่มีกระถางดอกไม้เล็กๆ ออกดอกอยู่ริมระเบียง ให้อารมณ์แบบเป็นสาวนักเขียน ที่มีแฟนหนุ่มอยู่ต่างเมืองแล้วปลูกดอกไม้ไว้ดูต่างหน้างี้ 5555 มโนไปปะ
วิธีเดินทางมา Coyoacan นั้นง่ายมากคือนั่งรถไฟใต้ดินสาย 3 (สีทอง) มาลงที่สถานี “Viveros” พอลงสถานีนี้ปุ๊ป เรียกแท๊กซี่เลยจ้ะ บอกราคามิเตอร์เท่านั้น เพราะนั่งแค่ประมาณ 5 นาทีก็ถึงย่านดาวน์ทาวน์ของที่นี่แล้ว ส่วน San Angel เรียกแท๊กซี่จากนี่ไปก็ได้เหมือนกันไม่ไกลกันมากเลยประมาณ 10 นาทีก็ถึง
Chapultepec Castle
ปราสาทนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เม็กซิโกเป็นอาณานิคมของสเปน ที่นี่เคยเป็นทั้งวังของกษัตริย์หลายพระองค์ ต่อมากลายมาเป็นบ้านพักของประธานาธิบดี จนถึงปัจจุบันเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตมากที่สุดแห่งหนึ่งของเม็กซิโก
ที่นี่ไม่ได้มีความเวอร์วังอลังการเหมือนวังในยุโรป แต่ที่มันพิเศษคือมันมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ในตัวของมันเอง ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะ เราไม่สามารถเล่าได้หมด เพราะมันเยอะมาก และทำความเข้าใจค่อนข้างยากเพราะภาษาที่คนที่นี่ใช่กันคือภาษาสเปนไม่ใช่ภาษาอังกฤษ กลัวเล่าให้ฟังแล้วโป๊ะ 5555 แต่เราชอบภาพนี้มากที่สุด ไกด์เราให้เราฟังว่าสมัยก่อนคนเม็กซิโกเองก็รู้หนังสือไม่เยอะ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ การจะอธิบายความหมายของอะไรซักอย่างนึงให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ดีที่สุดคือการ วาดภาพ เช่นในภาพนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ทั้งแต่โดนสเปนยึดจับไปเป็นทาส มีมิชชั่นนารีเข้ามาให้การศึกษา ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส ได้รับอิสรภาพ โดนอเมริกาบุกอีกรอบ จนกลายเป็นปึกแผ่นที่แท้จริงและสร้างรัฐชาติขึ้นมาได้
วิธีมาที่นี่ นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 (สีชมพู) ,ลงที่สถานี “Chapultepec” ก็เจอเลย แต่ปราสาทจะอยู่บนเนินเขาใช้เวลาเดินชิวๆ สบายๆ ก็ประมาณ 10 นาทีแค่นั้นเอง
The National Museum of Anthropology
นี่คือพิพิธภัณฑ์ทางมานุษยวิทยาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยไปมา ใหญ่โต ทำดีงาม ควรการแก่การไปเดินดู เม็กซิโกเป็นอีกประเทศที่มีวัฒนธรรมรุ่งเรือง
มากๆ ในอดีต และมีหลายๆ เผ่าที่อยู่ในระแวกเดียวกัน ผ่านกาลเวลาและยุคสมัยที่แตกต่างกันไป มีคนบอกว่าถ้าเอามรดกทางวัฒนธรรมเป็นที่ตั้ง การวาดแผนที่ของประเทศเม็กซิโกอาจจะกินพื้นที่อเมริกาตอนนี้เข้าไปด้วยเกือบค่อนประเทศ
เรามีเวลาที่นี่แค่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเพราะต้องรีบไปที่อื่นต่อเลยเลือกว่าอยากดูอะไร สิ่งที่เราอยากดูมากที่สุดคือปฏิทินของแท้ของชาวมายัน ที่เคยมีคนเคยทำนายวันสิ้นโลกไว้นั้นแหละ เพราะเค้าเชื่อกันว่าชาวมายันเนี่ย เป็นชนชาติที่มีการคำนวณเลขเก่งและแม่นยำมากที่สุดในโลก ตอนเราเห็นปฏิทินก็เอ้อออออ… แม่งคนทำนายนี่โคตรเก่ง คือดูไม่รู้เรื่องเลย 555
Mexico’s city downtown ( Centro)
The National Palace
รอบๆ ตึกจะมีหน้าต่างเล็กๆ ด้านนอก ถ่ายรูปออกมาน่ารักดีเหมือนกัน คิ้วท์ๆ ไปอีกแบบบ
Temple Mayor
เค้าว่ากันว่ามันถูกขุดเจอหลังจากพังตึกอาณานิคมของสเปนลงในย่านกลางใจเมืองแบบนี้นี่แหละ เลยเจอวัดทั้งหมด 6 วัดจาก 8 วัน Temple Mayor เป็นสถานที่สร้างไว้เหมือนภูเขา เพราะเข้าใจกันว่าภูเขาคือที่อยู่ของเทพเจ้า เหมือนคติพราหมณ์บ้านเราเลยเนอะ หน้าตาของแต่ละวัดก็จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าวัดนั้นเนี่ยสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาเทพเจ้าองค์ไหน
หลักๆ เลยคือเวลาสร้างวัดที่บูชาจะเริ่มจากเทพเจ้าแห่งสงครามก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งศิลปะ และธรรมชาติ
Bellas Artes Palace
ที่จัดศิลปะเหมือนหอศิลป์บ้านเรา ที่นี่จะนำเสนอเรื่องราวของศิลปินต่างๆ ที่สามารถใช้รูปภาพบรรยายแทนคำพูดได้ทั้งหมด เช่นเรื่องราวของทุนนิยม สังคมนิยม ระบบที่ขับเคลื่อนสังคม เครื่องจักรที่ทำลายและแทนที่มนุษย์ เหยื่อสงครามที่ประเทศต่างๆมาบุกยึด เอาตรงๆ ว่าดูเป็นเรื่องที่หนักๆ ทั้งนั้นที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาด
นอกจากนี้ยังมีโรงละครด้วย โคตรสวยแถมยังเปิดโอกาสให้นักแสดงต่างๆ เข้ามาแสดง โดยมีการแสดงทุกวัน สลับหมุนเวียนกันไปเวลาประมาณ 1-2 ทุ่มของแต่ละวัน
Mexico City’s Catheral
โบสถ์คาธอลิกสไตล์โคโลเนียลที่มีความดีงามอยู่บนดาดฟ้า 5555 เพราะเราสามารถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินแบบ Vanilla Sky บนดาดฟ้าของโบสถ์หลังนี้ได้ โดยเพื่อนๆ ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่หรือไกด์ของโบสถ์นั้นก่อนให้พาขึ้นไปนะ
เราว่าเม็กซิโก ซิตี้ ไม่ใช่เมืองสำหรับการช๊อปปิ้ง ไปเล่นเครื่องเล่นแรงๆ ปีนเขาหลายๆ ลูกจนเหนื่อยหอบ แต่มันคือเมืองสำหรับการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ อีกมิตินึง เราจะเห็นการใช้ชีวิต การนำเสนอเรื่องราวและที่มาที่ไปของพวกเค้าผ่านการมาเยือน เม็กซิโกดูเป็นประเทศนอกสายตาคนไทยมาตลอดเพราะมันไกล แต่เราว่าถ้าเมืองนี้คือหนังสือเล่มนึง มันเป็นหนังสือที่สนุก อาจจะไม่ได้มีฉากตื่นเต้นตบจูบเยอะๆ แต่ก็กลมกล่อมและอ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ
ถ้ามีแพลนมาเที่ยวอเมริกากันอยู่แล้ว แนะนำเลยว่าเพิ่มเข้ามาเถอะค่ะ เพิ่มเม็กซิโกอีกซักอาทิตย์นึง มานอนกินTaco สวยๆ ดูผู้ชายเม็กซิโกเพลินๆ 5555 ตอนกลางวันก็เข้ามิวเซียมเตรียมหนังสือมาแอ๊บจดนู่นนี่ คูลจะตายแก๊ 5555555 หรือถ้ายังไม่มีแพลน ก็แพลนมาเที่ยวเม็กซิโกด้วยซะเลย ดูเหมือนจะนานแต่นั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือ กินจุ๊บกินจิ๊บที่แอร์เสิร์ฟบนเครื่องแปปเดียวก็ถึงแล้ว
สุดท้ายนี้ขอบคุณ กองทุนส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวแห่งเม็กซิโกซิตี (CDMX) ที่ช่วยประสานงานและพาพวกเราไปในครั้งนี้ด้วย :)