เล่าก่อนเลยว่าเหตุผลที่อยากไปที่นี่ เพราะเราเห็นมาจากฉากหนึ่งของ เรื่อง Into the Wild ที่สร้างจากเรื่องจริงของ Christopher McCandless ชายหนุ่มที่ออกเดินทางอย่างเด็ดเดียว(ไปหาดูนะหนังดีมาก สำหรับคนชอบเดินทาง) เป็นฉากที่คริสพากิ๊กที่เจอระหว่างที่มาเดท ฉากกุ๊กกิ๊กๆที่ทำให้ต้องกัดหมอน แถมไม่พอประกอบสถานที่มันแปลกตาทำให้เราตะขิด ตะขวงใจว่า เหยยยมันคืออะไรอ่าา…ธรรมชาติสร้างรึป่าว? มันอยู่ที่ไหนของโลกเนี่ย? เลยไปค้นหาเพิ่มเติม ที่นี่เค้าเรียกว่า Salvation Mountain ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ แคลิฟอเนียร์ ทางผ่านที่เรากำลังจะขับเข้า San Diego พอดี เราก็เลยตั้งมั่นกันว่ามา California รอบนี้ยังไงเราก็ต้องไปแวะที่นี่ให้ได้ โดยระหว่างที่ขับรถไปยิ่งห่างยิ่งออกนอกเมือง และลำบากขึ้นแล้วเข้าสู่ใจกลางทะเลทรายขึ้นเรื่อยๆ ทางก็เป็นทางลูกรังเส้นจิ๋ว ไม่มีร้านค้า ไม่มีวี่แววบ้านคน ปั้มน้ำมันอย่าหวัง ไม่พอน้ำมันที่มีก็ใกล้หมด หมดแบบแจ้งเตือนด้วยไง เลยต้องชั่งใจกันว่า จะไปต่อ หรือหันหลังกลับกันดี จนในที่สุดเราก็มาถึงกันได้ จำได้เลยพอตอนเห็นนี่เฮกันทั้งรถ 555
แล้วสรุป Salvation Mountain นี่มันคืออะไร ใครสร้าง? สร้างทำไม? ภูเขาสีสันสดใสนี้สร้างจากกระดาษ ขยะ และปูนปาสเตอร์นี้สร้างโดยชายคนเดียวที่ชื่อ Leonard Knights จุดประสงค์หลักในการสร้างก็คือการประกาศความรักของพระเจ้า เราเลยเห็นคำว่า God is Love ตัวใหญ่เบ้อเร้อเป็นสัญลักษณ์ ลุง Leonard มีความศรัทธาในพระเจ้ามากกกก เลยคิดหาวิธีทางว่าจะทำยังไงดีนะถึงจะทำให้คนอื่นรับรู้ ตอนแรกลุงก็นั่งเย็บบอลลูน…ใช่!!! เพราะว่าลุงคิดว่าเมื่อไหร่ที่มีบอลลูนลอยผ่าน คนมักจะสนใจวิ่งออกมาดูและตื่นเต้นไปกับมัน เลยเป็นที่น่าสนใจน่าดูหากมีคำสอนของพระเจ้าติดไว้ แล้วถามว่าสำเร็จไหม?? ตอบเลยว่าไม่
ลุงเลยเริ่มจากการเพ้นท์รถทั้งหมดที่มี (หลักการเดียวกับรถวนหาเสียงนั่นแหละ) ยิ่งสีสันยิ่งโดดเด่นคนก้ยิ่งหันมามอง และก็เป็นไปตามคาด เพราะสีสันที่สดใสและรูปร่างแปลกตา เริ่มมีผู้คนสนใจมากขึ้น ในทุกๆวันลุงก็เพ้นท์และทำงานศิลปะแบบนี้ไปเรื่อยๆ จำนวนมากขึ้น และชิ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จนมาถึงชิ้นงานที่ใหญ่ที่สุดใช้เวลานานที่สุด และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของลุง Leonard นั่นก็คือ Salvation Mountain แห่งนี้ โดยลุงสะสมกองขยะ ทับด้วยทราย โปะด้วยกาวลาเท๊กส์ ทีละชั้น ท่ีละชั้น 30 ฟุต 40 ฟุต จนสูงใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆโดยทั้งหมดใช้เวลาในการสร้างกว่า 30 ปี!!!
จนทุกวันนี้คุณลุงได้จากไปแล้ว เหลือเพียง Salvation Mountain เป็นอนุสรณ์ เราก็ได้แอบเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ว่า ตกลงที่นี่ใครดูแลอยู่ในตอนนี้ คำตอบก็คือมีอาสาสมัครชาวคริสเตียน จำนวนหนึ่งเข้ามาทำนุบำรุงรักษา และสานต่อเจตนารมย์ของลุง Leonard โดยทุกวันนี้ก็ยังสร้างอยู่ ขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ โดยลุงเสื้อเขียวคนนี้เป็นแกนนำ ใครๆก็เลยเรียกเค้าว่าเป็น Salvation Man
สำหรับใครที่จะไปเยี่ยมชม ก็ต้องเข้าใจว่ามันเก่าและสร้างมาด้วยพูดง่ายๆก็ก้อนปูน และทราย เดินไปทางไหนก็ให้ระวังด้วย เรากลัวมันพังและเจ้าหน้าที่เองก็กลัวเหมือนกัน หลายที่จึงมีป้ายบอกว่าห้ามปีน โดยเฉพาะบริเวณนำ้ตกเพราะฉะนั้นถ้าไปก็เซลฟี่กันแต่พอดี รู้ว่าสถานที่มันเริ่ดแต่อย่าเพิ่งวิญญาณพี่ลูกเกดเข้าสิง จะชนะเคมเปญก็เกรงใจสถานที่กันด้วยน้าจ้าา
นี่มีรูปถ่าย Chirstopher McCandless ตัวจริงของหนังเรื่อง Into the Wild ด้วยแหละ ทำไมต้องระลึกถึงเค้าก็ไปหาหนังดูเอานะ ไม่อยากสปอย อิอิ
คือสีสันของที่นี่มันเป๊ะ ปัง อลังเวอร์ ใครที่คิดวางแผนจะมา แม่ขอ เลย ขออให้เตรียมเสื้อสีสดใส สู้ภูเขาปูน หรือไม่ขอลิปสีแดงแปร๊ดๆๆ รับรองสวยสู้เขาแน่นอนค้า
จาก Salvation Mountain นั้น อยู่ๆ วิทยุที่เปิดเพลง Taylor Swift สะบัดผมสวยๆ ก็กลายเป็นเพลงภาษาสเปนไม่คุ้นหู รู้แค่อยากลุกขึ้นมาสะบัดกระโปรงเฉยเลย! นั่นก็เพราะว่า San Diego เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่าง อเมริกา กับเม็กซิโกนั้นเอง ป่ะ ไปแรดต่อที่ San Diego กัน : https://www.wheredowego.in.th/2016/07/28/san-diego/