- I left my heart at Yosemite National Park
หลังจากเป็นชาวเมืองกันมาซักพัก ได้เวลางัดเตนท์ ถุงนอน และอาหารแห้งที่แบกข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองไทยมาใช้ซักที เพราะวันนี้ เราจะไป camping กันนนนนนน!
โดยการขับรถจาก S.F. ไป Yosemite นั้นใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง แล้วแต่ด้วยว่าหยุดแวะบ่อยแค่ไหน เผื่อเวลาเข้าห้องน้ำ
เข้าซุปเปอร์เติมเสบียงกันอย่างน้อยๆ 30 นาทีเลย และถนนบางช่วงชัน มากถึงมากที่สุด หวาดเสียวกว่า Highway1 วันก่อนมาก
Yosemite National Park ในช่วง 5-10 ปีนี้กำลังโด่งดังมากๆ เพราะหลังจากที่ Apple เอารูปยอด Half dome ไปเป็นแบคกราวน์นั่นแหละ (ใครมีคอม Mac ก็นึกภาพ Desktop แรกที่เค้าตั้งไว้นั่นแหละ) แล้วก็ยังเอาชื่อ Yosemite เป็นชื่อระบบปฏิบัติการด้วยนั้นแหละ (อ่ะ…หมดช่วงเนิร์ดไปชมธรรมชาติกันต่อ)
ว่าด้วยเรื่องของ camp site หรือพื้นที่กางเตนท์เนี่ย จะมีสองจุดใหญ่ๆคือ ใน Valley หรือใจกลางของ Park เลย ตื่นมาปุ้ป ออกไป trekking ต่อได้เลย และนอก Valley ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเอกชน ต้องขับรถออกไปประมาณ 30-40 นาที
ตอนแรกเราก็อยากนอนใน Valley นะ แต่ระบบการจองเนี่ยเปิดล่วงหน้า 1 ปีนะ 5555 และก็มักเต็มตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่เปิดโอ้ย…ต้องแพลนชีวิตล่วงหน้าขนาดนั้นเลยหรอ ชีวิตจะยากไปไหม สาวภูธรจากเอเชียตะวันออกฉียงใต้อย่างเราๆ ใครจะสามารถแพลนได้เป็นปีๆได้ 5555 อ่ะๆ แต่เราก็หามา ว่ามันมีจุดนึงชื่อ Camp4 เป็นจุดเดียวใน Valley ที่ใช้ระบบ first come-first serve ก็มีความหวังขึ้นมาหน่อย สรุป….แม่ง เต็มตั้งแต่ 8 โมงเช้าละ ตั้งแต่ยังไม่ออกจาก S.F เลยจ้า….ฮือ
อีกทางเลือกคือ นอก Valley ที่เป็นของเอกชนนั้น วิธีการจอง คือต้องจองผ่านศูนย์อันนึง ที่รับจองเกือบทุก camp site ในอเมริกาทั้งผ่านโทรศัพท์ และระบบออนไลน์ แต่อิระบบนี่ก็ช้ามาก ให้ถือสายรอประมาณ 20 นาทีได้ เรียกได้ว่า เวลาทั้งเช้าหมดไปกับการตบตีเพื่อหาที่นอนคืนนี้ 555
ดังนั้น ใครจะมา แพลนเรื่องที่นอนกันดีๆ โดยเราสามารถสรุปให้ได้คือ
1. นอน Lodge : สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบหน่อย มากับผู้ใหญ่หรือเด็กเล็ก ภายในอุทยานจะมีที่พักแบบบ้าน หรือเรียกว่า Lodge ที่จะมีราคานิดนึง
โดยถ้าพกดวงมาด้วย มาไม่ตรงช่วงนักท่องเที่ยวเกาหลีเหมาก็พอมีโอกาสหาได้และได้นอนในอุทยาน
2. อยาก Camping : ถ้าไม่รู้ก่อนล่วงหน้า 1 ปีหรือมีความสามารถจอง Camp ในอุทยานได้ เราแนะนำว่าให้จอง Campsite เอกชนรับรองว่าได้นอนคลุกดินกินบรรยากาศธรรมชาติแน่นอน
โดย Campsite เอกชนนี้จะมีที่ให้เรานอนได้หลายแบบ จะเป็นแบบนอนในบ้าน หรือจะมาเป็นรถบ้านก็สามารถจองที่จอดได้ หรือจะมาแบบติดดินเค้าก็มีจุดกางเต้นท์บริการเช่นกัน(บางที่มีให้เช่าเต้นท์ด้วย)
แนะนำประมาณนี้แต่บอกเลยว่ามาหาเอาดาบหน้านิ ไม่สนุกเลยจริงๆ โอเค เรื่องที่นอนจบไป มาถึงเรื่องสถานที่เที่ยวกันบ้างเส้นทางขับรถชมวิวใน Yosemite กันบ้าง จะเป็น one way loop คือวนเป็นวงกลม สมมุติถ้าขับเลยจุด 1 ไปแล้ว อยากกลับมาดู ก็ต้องขับอ้อมไปข้างนอก แล้วเข้ามาใหม่ ฉะนั้นวางแผนกันดีๆนะ หรือใครไม่อยากขับรถให้วุ่นวายใจ เขาก็มีบริการ Shuttle bus วนรอบๆ และแวะลงเป็นจุดๆได้อยากดูตรงไหนให้ลงป้ายที่ต้องการ
เรามีเวลาประมาณ 2 วันที่นี่ เลยใช้ครึ่งบ่ายวันแรกไปกับการ trekking รอบๆ Valley ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร นอกจาก “โอ้ยยยยสวยย” เดินๆ ก็สะกิดกัน “ฮือออ…ตรงนี้ดีถ่ายให้หน่อย” เดินไปอีกก็สะกิดกันอีก “ไม่ไหวแล้วววว” จนเพื่อนเริ่มเบือนหน้าหนีแล้วบอกให้หยุด คือ เดินไปทางไหนก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด เส้นทางเดิน Trek จะถูกโอบล้อมด้วยภูเขาลูกใหญ่มหึมา ทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวนิดเดียว เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างไว้นี่ไม่ได้เวอร์ รู้สึกตัวเองเท่ชิบหาย เท่เหมือนพี่ติ๊ก เนวิเกอเตอร์ช่อง 3 ที่พาไปเดินเล่นที่เขาใหญ่ เป็นบ่ายที่หัวใจพองโตสุดๆ ซึ่งจุดหลักๆที่เราไปกัน คือ Lower Yosemite fall และ El capital
ส่วนวันที่สอง ในช่วงเช้าออกจากแค้มป์ ขับกลับเข้ามาในอุทยานขับรถชิวๆขับขึ้นไปชมวิวด้านบนที่ Tunnel viewpoint เป็นจุดที่สามารถเห็น 3 แลนด์มาร์กของที่นี่ได้พร้อมกัน เป็นมุมมหาชนเหมาะกับการถ่ายรูปทำโปรไฟล์ ชีวิตดูมีแอคติ้ง เพื่อนๆก็ดูกันไว้เนาะ ว่าจะเอามุมไหนเป็นรูปโปรไฟล์เผื่อจะมามั่ง
และขับต่อขึ้นไปอีกประมาณครึ่งชัวโมง-40 นาที คือ Glacier point จุดสูงสุดของ Park ซึ่งจะปิดช่วงหน้าหนาว ที่จริงๆแล้วสามารถเดิน trek ขึ้นมาได้ด้วย ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ซึ่งสวยมากกกกกก และเสียวมากเพราะความชันและคดเคี้ยวของถนน ทำให้วิวที่เห็นดูเว่อวังอลังการและมีค่าสมราคาอย่างยิ่งยวด จะฟินมากถ้าพกแซนวิชขึ้นมานั่ง picnic กินไปดูไปคือดีงามสุดๆ จากขนมปังเหนียวๆแข็งๆคือ ทุกอย่างจะดีงามนุ่มนวลและกลมกล่อมขึ้นมาทันที (เออ..ขอให้ได้เว่อร์555)
และนี่คือภาพบางส่วนของ Yosemite ของเรา เราอยากแนะนำให้ทุกคนควรมาซักครั้งในชีวิตก็ยังดี คือเกิดมาทั้งทีควรมาเห็นอะไรสวยๆ แบบนี้!
ขากลับลงมาเราเจอน้องหมีด้วย ใครโชคดีจะเจอหมี เราเจอตัวนึงนอนเกาจู๋อยู่น่ารักเชียวหละ ได้เวลาบอกลา Yosemite กันด้วยหัวใจสีเขียวเบ่งบานไปกับธรรมชาติเขียวขจี และอากาศดีๆ ของที่นั่น เพื่อไปเจอเพื่อนอีกกลุ่มที่ Death Valley ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ก็คุยๆ กันว่าทำไมต้อง “ดินแดนแห่งความตาย” ที่ “Death Vally” : https://www.wheredowego.in.th/2016/07/28/death-valley/
