HONG KONG, BUSGET TRIP

สำหรับคนเริ่มเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่นมกำลังแตกพาน หรือมนุษย์เงินเดือน ที่เริ่มจะมีเงินเก็บเป็นของตัวเอง Destination ยอดฮิต
ยังไง้ ยังไงก็คงหนีไม่พ้นฮ่องกง เมืองอะไรที่จะมีแสงสีเยอะน่าตื่นตาตื่นใจ จะสวนสนุกก็เพียบ หรือจะไหว้พระขอพรก็แน่น จากกรุงเทพ/เชียงใหม่/ภูเก็ต มาฮ่องกงแค่ 2ชั่วโมงนิดๆ เผลอๆ นั่งรถจากบ้านไปสนามบินบางทียังนานกว่านี้อีก แถมฮ่องกงยังแพลนน้อย เที่ยวก็ง่าย จ่ายก็คุ้ม คือถ้าเทียบกับเส้นเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกงนี่ไม่ต้องคิดมากเลย เอะอะอยากมาก็มาได้ทันที

ด้วยความที่ฮ่องกงมันเป็นเมืองเร็วๆ ถ้าเป็นผู้หญิงก็จัดว่าแซ่บมาตั้งแต่รุ่นพ่อยันปัจจุบัน แถมเป็นเมืองนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะมีอะไรใหม่ๆ ฮิตๆ หลายอย่างให้น่าค้นหาอยู่เนืองๆ ฉะนั้นอย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมหลายคนถึงไปแล้วไปอีก รอบเดียวไม่เคยพอ ก็เพราะมันใกล้ มันง่าย มันสนุกและอยู่ในงบที่ทุกคนเอื้อมถึงไงเล่า ต้องบอกเลยว่า รีวิวฮ่องกงทริปนี้เป็นแบบจุ๋มจิ๋มพอประมาณ แค่ 3วัน2คืนก็เที่ยวครบทุกอารมณ์ เรียกว่าเอาใจคนทำงาน วันลามีน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด จะขอหยุดทีไร เจ้านายชอบเบ้ปากใส่ เลยลาศุกร์แค่วันเดียว แล้วลากกระเป๋าไปกันเลย

เราเลือกออกเดินทางไปฮ่องกง ด้วยไฟลท์เช้าตรู่ 6.45 รีบตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน ตื่นเช้ากว่าเวลาไปทำงานอีก เราแนะนำเลยนะ ว่าถ้าบินใกล้ๆ ออกตอนเช้าจะเวิร์คสุด เพราะไปถึงเที่ยวได้เลยทันที แวะฝากกระเป๋า เปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อยให้ทะมัดทะแมงแล้วเริ่มลุยได้ ก็เวลาน้อย มีแค่3วัน อย่าย้วยไปย้วยมา เดี๋ยวเพื่อนจะรำคาญเอาเนอะ

เราถึงฮ่องกงประมาณ 10โมงนิดๆ ก็รีบไปเอาซิมฟรีที่ลงทะเบียนไว้ เออ…อันนี้คุ้มมากก ทุกคนควรใช้ “ I-sim hong kong ” เป็นซิมฟรีที่ใช้งานได้จริง จากการกดดูโฆษณา พร้อมกับเปิดบัตร Octopus หรือบัตรสารพัดนึกของที่นี่ ไว้1 ใบ จะขึ้นรถ ลงเรือ นั่งบัสหรือซื้อขนมในเซเว่นบัตรนี้บัตรเดียวเอาอยู่ ทั้งซิมฟรีและบัตรปลาหมึก ทำได้ทันทีก่อนออกจากสนามบินอยู่ระหว่างทางออก A/B เป็นจุดกึ่งกลางพอดีเลย หาไม่ยากซักนิด

รอบนี้เราจองที่พักไว้แถวๆ จิมซาจุ่ยนั่นแหละ เลยเลือกนั่ง Cityflyer จากสนามบินไปลงในเมือง เป็นสาย A21 ที่มีวิ่งทั้งคืน มีที่ว่างกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ด้วย สะดวกสบายสุดๆ ด้วยราคาคนละ 33HKD ถูกกว่า Airport Express เกือบครึ่ง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

และที่พักเราครั้งนี้ก็คือ Hop inn อยู่ตรงถนน Mody Rd. ตกประมาณคืนละ 700 บาทต่อคน ก็ถือว่าไม่ถูก ไม่แพง สะอาดดี และตกแต่งสไตล์ Modern ถ้าเดินทางถึงข้างล่างแล้ว มันจะดูมืดๆ นิดหน่อย เพราะโฮลเทลฮ่องกงส่วนใหญ่ จะอยู่ในแมนชั่นตามชั้นต่างๆ ให้อารมณ์เหมือนหนังฮ่องกงสมัยก่อน ย้อนยุคๆโบราณนิดๆ แต่พอเข้าไปแล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มีกล้องวงจรปิด มี Reception ตลอด ปลอดภัยมากๆ

วันแรกของเราเริ่มต้นด้วยการนั่งเรือ Ferry ข้ามไปฝั่ง Hong Kong  มารอบนี้ตั้งใจว่า 3 วันนี่ต้องเอาให้ครบทุกรูปแบบไม่ว่าจะปีนเขา ออกนอกเมือง หรือเดินชิวหาคาเฟ่ดีๆ นั่งก็ต้องเอาให้ครบเกินได้แต่ห้ามขาดก็พอ

จุดหมายแรกที่จะไป ก็คือ PMQ ที่นี่เป็นแฟลตตำรวจเก่า ที่เอามาปรับปรุงและรีโนเวทใหม่ ให้เป็นร้านค้าและแกลลี่งานอาร์ตแสดงงานคราฟต์ต่างๆ คือถ้ามองจากข้างนอกคงนึกไม่ถึงว่านี่คือห้าง 555 แต่ข้างในเขาตกแต่งดีมากนะ อย่างตามบันไดก็แอบมีดีเทลเก๋ๆ และที่ชั้น 4  ก็มีส่วนหย่อมเล็กๆให้นั่งชมวิวด้วย

สิ่งดึงดูดใจอีกอย่างของที่นี่ คือเดินดูของไป หันมาอีกทีก็สบตากับหนุ่มตี๋ฮ่องกงแบบแซ่บๆตลอด บางคนมัดจุกนั่งกินกาแฟดริฟต์ บางคนไว้หนวดเป็นบาริสต้า โอ้ยยย แม่ใจ๋บ่ดี … อยากจะไปถักเปีย หรือถอนหนวดให้ในทุกๆ เช้า

ถนนฝั่งตรงข้ามกับPMQ จะมีร้านซาลาเปาแบบฟิวชั่นอยู่ร้านนึงชื่อร้าน  Little Bao เห็นว่าอร่อยมาก ตอนเราไปเค้าปิดพอดีเลยอดกิน ใครไปชิมมาแล้วอย่าลืมมาเมาท์นะว่าเด็ดจริงป่าว!

การเดินทางมา PMQ ทำได้หลายทาง จะ MRT ก็ได้ หรือจะนั่ง Bus มาก็สะดวก เพราะมีหลายสายมาก อย่างเรานั่งเรือข้ามฝั่งมา ก็ต่อรถบัสสาย 7 มาลง Aberdeen street สังเกตเอาก็ได้ว่าเป็นถนนเก๋ๆ มีแต่ร้านคาเฟ่สวยๆ ลงบัสแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยเอง หรือจะเป็นสาย 3A,91 หรือ 94 ก็ถึงเหมือนกัน

ฮ่องกงนี่มันดีอย่างนึงนะ คือสามารถเดินทะลุซอยนู้น ออกซอยนี้ได้แบบไม่ต้องกลัวหลงเลย ไม่ว่าจะโผล่ทางไหนก็มีอะไรให้ทำทั้งนั้น เดินดูวิถีชีวิตของคนฮ่องกง บางคนก็ยิ้มแย้มหน้าตาสดใส บางคนนี่ก็บึ้งมาเชียว ไม่รู้ไปโกรธใครมาเหมือนกัน

เดินขึ้นๆ ลงๆ เนิน ท้องก็เริ่มร้อง เรา Random ลองชิมทั้งข้าวหมูแดงอบจานเด็ดของฮ่องกงจากร้านข้างทางที่ไม่ได้ฮิตอะไร ไม่ได้เสิร์จเอาจากรีวิว ก็พบว่าอร่อยดีเหมือนกัน แถมคุณป้าเจ้าของยังพูดภาษาอังกฤษคล่องปร๋อเลย จากนั้นก็ล้างปากด้วยของหวานเป็น ทาร์ตไข่ฮ่องกงอีกซักอัน

ซึ่งเค้าบอกว่าของที่นี่ กับมาเก๊าจะต่างกันที่เนื้อแป้ง และใส้ของมาเก๊าจะไหม้ๆ หน่อย ฮ่องกงจะเรียบๆ เนียนๆ  สีสันน่ากินเชียวหละ

พอตกเย็นเราก็แว๊บกลับไปช๊อปปิ้งกันที่ Fayuen Market ย่านมงก๊ก ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องรองเท้ากีฬาและอุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่เรามาเดินดูแล้ว เราว่ามันก็มีหมดทุกอย่างนะไม่ใช่แค่กีฬา พวกเสื้อผ้าผู้หญิง ของจุ๊กจิ๊กก็เยอะอยู่ คือลากแฟนมาช้อปด้วยได้ ไม่ตบกันแน่นอน ได้เสียเงินทั้งคู่

เราลองแวะทานบะหมี่ข้างทางใน Fayuen Market นี่เลย เห็นคนฮ่องกงต่อคิวกันยาวดี  เขามีเมนูรูปภาพไว้ให้ ก็ใช้ภาษามือสื่อสารกันไป เราชิมเป็นบะหมี่เกี้ยว และบะหมี่หมูตุ๋น ซึ่งรสชาติอาจจะจืดไปนิด ถ้าเทียบกับบ้านเรา แต่ก็ซดคล่องคอดี เหมาะกับอากาศหนาวๆ เป็นที่สุด ส่วนมากอาหารที่นี่จะให้เยอะมาก แบบคนไทยเรา สั่งถ้วยนึงกินได้ 2-3คนเลย ก็ถ้าเป็นร้านอาหารจริงจังหน่อย เขาจะมีขั้นต่ำว่าต้องสั่งคนละกี่ดอล ก็ต้องเคารพกฏตามนั้นไปนะ

หมดวันแรกแล้ว เดินกันขาลาก ช้อปกันกระจาย ถ้าใครซื้อของตามร้านใหญ่ๆ แล้วรูดบัตรเครดิต สามารถบอกแคชเชียร์ได้เลยนะว่าจะจ่ายเป็นเงินไทยหรือเงินฮ่องกง เค้าจะกดให้ดูเลย ว่าแบบไหนถูกกว่าหรือแพงกว่า ถ้าเทียบกับเรตที่เราแลกมา มันดีตรงนี้แหละ ไอ่เราตอนแรกว่าจะไม่อยากอะไร แต่เห็นป้ายลดราคาหน่อยเป็นไม่ได้ จัดรองเท้าไปคู่นึง เตรียมประเดิมรองเท้าใหม่ด้วยการพาไปเดิน Dragon’s back mountain ในวันพรุ่งนี้!

อีกความตั้งใจของการมาฮ่องกงรอบนี้ คือจะพาตัวเองไปเดิน Asia’s Best Urban Hiking Trail ที่ใครๆก็บอกว่า อู้ย  สวยมาก สวยเหลือเกิน ให้ได้! เราจับMTR ไปลงสถานี Shau Kei wan ทางออก A1 จะเจอกับรถบัสจอดเรียงรายกันเป็นตับ ให้เดินตามหารถบัสสาย 9 แล้วนั่งไปลงที่ Bus stop “To Tei Wan” ไม่ต้องกลัวเลย เพราะคนจะลงเยอะมาก หรือไม่งั้นก็ถามคนขับเอาก็ไม่เสียหาย

ลงมาปุ้ป เข้าห้องน้ำอีกซักรอบ เพราะไม่งั้นจะได้เข้าอีกที คือปลายทางเลย ช่วงแรกๆ ที่เริ่ม จะไม่ชันมาก มีบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ระยะทางเดินจริงๆ มันประมาณ 3-5 ชั่วโมงแล้วแต่ความเร็วของแต่ละคน ซึ่งถ้าวันที่อากาศดีๆ ข้างทางก็จะสวยมาก เพื่อนๆ ควรเตรียมของว่างขึ้นไปทานด้วย เพราะว่าด้านบนมีแต่ป่า ป่าและป่า ธรรมชาติโอบล้อมกลางเมืองใหญ่ที่แท้จริง

วันที่เราไปเดินลงกรรโชกแรง ฝนตกปรอยๆ ตลอดเวลา ตอนแรกก็ใจสู้อยู่หรอก เอาวะไหนๆ ก็มาแล้ว เดินเลยละกัน แต่พอขึ้นไปได้ประมาณ 30 นาทีก็ค้นพบว่าพ่ายแพ้ต่อธรรมชาติ เพราะลมแรงมาก หมอกลงจัดแทบไม่เห็นทางเดิน เลยจำใจจะต้องถอนตัว เดินกลับลงมาข้างล่าง และสัญญากับตัวเองว่ารอบหน้าจะไม่พลาดแน่นอน  ต้องมาซ่อมให้ได้ แต่เห็นนิดหน่อยก็ดีใจแล้วนะ เพราะด้านบนอากาศเย็น เป็นวิวฮ่องกงที่น้อยคนจะได้เห็น คิดบวกเข้าไว้ก็ถือว่าเราโชคดีนะเนี่ยที่มาในวันนี้ :)

นี่ดูรูปกันซะก่อน! นี่ขนาดหมอกลงจัด ยังเขียวชะอุ่มและสวยขนาดนี้ ถ้าวันที่ฟ้าใสๆ เราคงนั่งร้องไห้ชื่นชมกับความงามแน่

พอลงจากดอยปุ๊ป เรากับเพื่อนก็นั่งมองหน้ากัน เอาไงต่อดี จะกลับไปเดินเล่นต่อในเมืองตอนนี้ก็เร็วเกินไป นึกขึ้นได้ว่าบัสที่เรานั่งมามันไปสุดสายที่ Shek O Village เลยตัดสินใจว่า โอเคเดี๋ยวลองไปดูละกัน น่าจะถัดไปไม่ไกล

ระหว่างรอไปรอมา ก็มีรถโดยสารขนาดเล็กขับผ่านมาพอดี คล้ายๆ รถตู้บ้านเรานี่แหละ เราเลยถามว่าไป Shek O มั้ย นางบอกว่าไป เราก็กระโดดขึ้นรถทันที คิดว่าคงจ่ายด้วยบัตรปลาหมึกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ รถบัสแบบนี้จะไม่สามารถจ่ายด้วยบัตรปลาหมึกได้นะใครที่ชอบความรวดเร็วอยากถึงเร็วๆ หรือเวลาน้อยเราแนะนำว่าให้นั่งแบบนี้มาเลย ตั้งแต่ออกจาก MTR เพราะตลอดสายก็ 10HKD เราขึ้นระหว่างทางก็ต้องจ่ายเต็มราคา ถ้าขึ้นตั้งแต่ต้นสายเลยจะคุ้มกว่าเยอะ!

พอมาถึงที่ Shek O ก็จะเจอหาดสวยๆ  แบบไม่เคยเห็นภูเขาขนาดใหญ่อยู่ใกล้กับทะเล และชายหาดขนาดนี้มาก่อน เราว่าที่นี่สวยกว่า Repulse Bay ที่คนไทยชอบไปกันซะอีกนะ ธรรมชาติกว่า แถมยังมีเพิงขายอาหารทะเลสดๆ อยู่ริมหาดด้วย เถ้ามาหน้าร้อนที่นี่คงจะชิวมาก นี่อยากจะแก้ผ้าเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำเลยแหละ ถ้าไม่เกรงใจสภาพอากาศที่เป็นฟ้าเป็นฝนและคลื่นลมแรง นี่จะทำจริงๆอะ 55555

เราใช้เวลาซึมซับธรรมชาติ๊ ธรรมชาติที่ Shek O และ Dragon’s Back รวมๆกันก็ประมาณครึ่งวันพอดี รู้สึกว่าโอเค พอใจละ เลยจับมือกันนั่งบัสสาย 9 เหมือนเดิมกลับมาที่ MTR Shua Kei Wan เพื่อต่อไปที่สถานี Kwun tong  ไปเติมความคิ้วให้ชีวิตกันบ้าง

แอบเห็นในโซเชียลว่ากำลังดังที่นี่มีคาเฟ่เปิดใหม่ของ Kudetama เจ้าไข่แสนขี้เกียจ เราเลยลองไปมาบ้าง ขอบอกว่าน่ารักมากกก เพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยกัน ยืนดิ้นๆ ต่อคิวนานหน้าร้าน แต่เพราะไม่ได้จองมาก่อน ถ้ายืนรอคงพลาดโปรแกรมอื่นๆ ของวัน เลยตัดใจโบกมือลาน้องไข่ไป เราแอบส่องราคาอาหารมาให้ ขอบอกว่าไม่เบาเลยนะฮ้า ข้าวราดแกงกระหรี่ธรรมดาๆ นี่เกือบ 500 กว่าบาทไทย เอาหน่าถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ไม่ลองก็ไม่รู้เนอะ

ถัดมา ฮ่องกงรอบนี้แม้ว่าตั้งใจไว้ว่าจะชิว สโลว์ไลฟ์หรือรักธรรมชาติมากแค่ไหน อย่างน้อยๆ ต้องไหว้พระขอพรให้ได้ 1วัด หึหึ เป็นยังไงหละ สายบุญใช่มั้ยจ้ะ นี่เลยเลือกไปวัดแชกงหมิว เพื่อขอพรเทพเจ้าแชกง

ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์นะบอกเลย โดยเฉพาะเรื่องการงาน เรามาไหว้เกือบทุกครั้งที่มาฮ่องกง ถ้าใครถามว่า มีเวลาน้อย ไปวัดไหนดี ก็จะแนะนำที่นี่แหละ ไหว้ข้างในเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมไปหมุนกังหันปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวกันด้วยนะจ้ะ

ด้วยความที่เรามาฮ่องกงก็บ่อย ถ้ามากับที่บ้านคือมากับทัวร์ วิธีง่ายๆ ที่จะประหยัดได้อีกเยอะคือการเตรียมธูปมาเอง พนักงานแต่ละวัดส่วนใหญ่จะพูดไทยได้ทั้งนั้น แถมยังมีน้ำใจอีกต่างหากคอยบอกตลอดเลยว่า ตรงไหนปักกี่ดอก น่ารักเนอะ ธูปของศาลเจ้าราคาค่อนข้างสูง เอาไปเอง ไหว้ด้วยใจศรัทธา เราว่ายังไงก็เห็นผล

จากวัดแชกงหมิว ถ้าเดินตรงขึ้นมาเรื่อยๆ กลับมาทาง MTR จนเจอสี่แยก จะสามารถนั่งบัสจากตรงนี้กลับไปย่านจิมซาจุ่ยได้ทันที เป็นข้อดีของการนั่งบัส ที่มันไม่ต้องเปลี่ยนรถหลายต่อให้ยุ่งยาก ถ้านั่ง MTR บางทีเปลี่ยนมากถึง3เส้นก็มี กว่าจะถึงที่หมาย การหาสายรถบัสก็ไม่ยากเลย แค่เปิด Google Map ดูทีเดียว ว่าสายไหนผ่านตรงไหนบ้าง ป้ายรถบัสจะเขียนสายไว้ชัดเจน บอกเวลาที่รถคันต่อไปจะมาถึงด้วย แถมบางทีค่ารถบัสก็ถูกกว่าMTR ด้วยนะ แม้จะไม่ต่างกันมาก แต่การไม่ต้องเดินเปลี่ยนสายบ่อยๆ นั่งทีเดียวถึง..เรายอม!

อ้อ! ทริคอีกอย่างที่ต้องรู้เวลาขึ้นรถบัสคือ เขาจะเขียนเลขสายรถ ไว้ที่พื้นแบบนี้ ก็ต้องคอยมองด้วยนะ ยืนต่อแถวให้ถูก ไม่งั้นเดี๋ยวโดนตอกหน้าเป็นภาษจีนรัวๆ ว่าแซงคิวคนอื่น จะหาว่าไม่เตือนนะ

สรุปคือ เรานั่งสาย 81C ไปลงที่ต้นถนน Nathan Road จากนั้นก็เดินช๊อปปิ้งมาเรื่อยๆ ตลอดทางเลย

เสน่ห์ของฮ่องกงมันอยู่ตรงแสงไฟนีออนแต่ละดวงที่ส่องแสงแข่งกัน ผู้คนที่เดินถือถุงช๊อปปิ้งกันให้ควัก กับอากาศหนาวๆ ของที่นี่ โอ้ย เริ่ด! ให้เดินเล่นทั้งวันก็เดินได้ เวลาเดินไปเจอร้านไหนหน้าตาท้องถิ่น คนมุงเยอะๆ ก็สันนิษฐานได้ว่า อร่อยแน่ๆ แล้วพุงตัวเข้าไปชิมเลย!

เราเดินไปจนไปถึง Victoria Harbor ไปดู Symphony Of Life ซึ่งเป็นโชว์แสงสีเสียงที่เป็น Signature ของที่นี่ ถ้ามาครั้งแรกก็ควรมาดูให้ชื่นใจซะหน่อย

แว้บๆ วันสุดท้ายซะละ ก่อนกลับ เราตั้งใจว่ามาทั้งที ต้องได้กินบะหมี่ โจ้ก และติ่มซำให้ครบภายในรอบเดียวให้ได้ บะหมี่ก็กินไปแล้ว วันนี้เลยเหลือ2 มิชชั่นคือโจ้กและติ่มซำ  เราไปกินโจ้กเป็นมื้อเช้าที่ร้าน Hung Lee อยู่แถวซิมซาจุ่ย ตรงข้ามร้าน Godwell ที่ขายน้ำหอมราคาถูก เดินแค่ 4 นาทีจาก Hop inn เอง

ข้อดีของร้านพวกนี้ คือมีเมนูภาษาไทยทั้งหมด ไม่ต้องกลัวลำบากเลย เจ้าของแทบจะพูดไทยได้อยู่แล้ว โจ้กหมู โจ้กเนื้อ โจ้กรวม สั่งเป็นภาษาไทยได้เลย แต่ที่ห้ามลืมสั่งคือ ปาท่องโก๋ อร่อยอะ! แป้งมันกรอบกว่าบ้านเรา และไม่อมน้ำมันด้วย ประทับใจ อยากให้ทุกคนได้ลอง

จากนั้นก็ไปเดินสวยๆ ดูวิถีชีวิตคนฮ่องกงที่ Yuen Po Street ตลาดดอกไม้และสวนนกของคนที่นี่ เรานั่งบัส สาย 1A จากถนน Kimberley Road ไปลง Fa Hui Park ประมาณ 15 นาทีเอง หรือใครจะนั่ง MRT ไปก็ได้

เราพบว่าคนฮ่องกงชอบเลี้ยงสัตว์มากเลยนะ ไม่ว่าพื้นที่จะเล็กแค่ไหน ก็ขอให้เลี้ยงเป็นนกเป็นแมวก็ยังดี และยังชอบดอกไม้สีสันสวยงามกันอีกด้วย เห็นขายกันเต็มไปหมดเลย นี่มีมีตลาดปลาทอง ตลาดนก และตลาดต้นไม้อยู่ใกล้ๆ กันแถวสถานี Prince Edward

ถ้าใครชอบเดินดูวิถีชีวิตเห็นอาม่านั่งขายผลไม้ เห็นอากงกำลังหิ้วตะกร้านกออกมาเล่นกับเพื่อนๆ เราแนะนำให้มาที่นี่เลย นี่ยังคุยกับตัวเองเลย ว่าแก่มากูจะสามารถใช้ชีวิตได้แฮปปี้ขนาดนี้มั้ยเนี่ย 5555

ยังไม่พอ แถวนี้มีติ่มซำร้านดังอยู่ร้านนึง!  เป็นร้านที่ Michelin Guide แนะนำให้ควรมาลองกินชื่อว่าร้าน One Dimsum รสชาติดีมาก แถมไม่แพงและรอคิวไม่นาน ร้านเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า อยู่ตรงสถานี Prince Edward Exit A มาลองกินเถอะ ดีงามจริงๆ ไม่แพงด้วยแหละ เรา 3 คนกินไป 11 อย่าง อิ่มแทบเดินไม่ไหว หมดไปคนละ 60 HKDเอง

*** Mango roll ชื่อประมาณนี้แหละ เป็นของหวานที่ต้องสั่ง ถ้าใครเป็นแฟนมะม่วง ตรงแป้งจะเหนียวๆนุ่มๆเหมือนโมจิ คลุกมะพร้าวมา อร่อยแบบโอ้ยย ต้องสั่งเบิ้ล ***

สุดท้ายช่วงบ่ายก่อนกลับ เรายังพอมีเวลาเหลือนิดหน่อย เลยแวะไปใช้เงินที่แลกมาก้อนสุดท้าย และเดินเล่นแถวๆ Causeway Bay อีกรอบพร้อมกับฝนพรำๆ

มาฮ่องกงสภาพอากาศไม่ใช่เรื่องตลก และไม่มีความแน่นอนเท่าไหร่ ควรพกร่มติดกระเป๋าด้วยทุกครั้งจะดีที่สุด เรานั่ง MRT กลับที่พักเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ซึ่งดันพอดีกับช่วงพีคตอนเย็น จะเห็นว่าคนเบียดเป็นปลากระป๋อง แนบชิดกันยิ่งกว่าอะไรดี ก็คิดกันว่า จะไป Airport Express พร้อมลากกระเป๋าไปใบในสภาพนี้ ไม่รอดแน่นอน เราขอใช้บริการ รสบัสสาย A21 เหมือนเดิมดีกว่า แต่เราแนะนำว่าควรเผื่อเวลาเอาไว้ด้วยนะ เพราะคนต่อคิวเยอะเหมือนกัน และถ้ารถเต็มปุ้ป เขาจะไม่ยอมให้ขึ้นเลย ถือเป็น security อย่างนึง เย้!

โชคดีที่เราเลือกไฟท์กลับกรุงเทพกันแบบไฟลท์สุดท้ายของวันประมาณ 20.50 น. ทำให้มีเวลาเที่ยว แบบไม่รีบ เที่ยวคุ้มตามที่ใจต้องการได้ ถึง3วันเต็มๆ  ก็ถ้าใครกำลังวางแผนมาเที่ยวฮ่องกง เราอยากให้นึกถึง Thai AirAsia เพราะที่นี่มีไฟลท์ครอบคลุมทั้งเช้า กลางวัน เย็น ทำให้การเดินทางมาฮ่องกงนั้นสะดวกขึ้นและประหยัดขึ้นอีกเยอะเลย!

ก็บอกแล้วว่าฮ่องกงมันมาง่ายมาก ไม่ต้องวางแพลนให้เสียเวลา เดินทางสะดวก ช้อปปิ้งแน่น อาหารเริ่ด ทุกอย่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน แถมยังไปเที่ยวได้ทันที ไม่ต้องรอหยุดยาวอีกต่างหาก แล้วจะรออะไรกันอีกละ! ไปกินติ่มซำ ปีนเขาหลังมังกร เดินทอดน่องที่ Shek O ก่อนไปช๊อปปิ้งสวยๆแถมจิมซาจุยกันเถอะ