สองเดือนก่อนการมาเที่ยวอีสานครั้งแรกของเราที่อุบลฯ ต้องบอกว่าติดใจและชอบอีสานมากๆ รักในความคูล รักในอาหารและความง่ายๆ อะไรก็ได้ของคนในภูมิภาคนี้ รอบนี้เลยอยากกลับมา Explore อีสานกันอีกครั้ง เลือกแล้วเลือกอีกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี จนได้มาเจอเมืองคราฟท์ๆ เท่ๆ อย่าง ‘สกลนคร’ ที่สามารถเที่ยวควบได้เพิ่มอีกจังหวัดคือ ‘นครพนม’ ทริปนี้เลยเป็นทริปอีสานครั้งที่ 2 ที่น่ารักไม่แพ้ครั้งแรก มีทั้งวัน วันโบสถ์คริสต์ เมืองเก่า คาเฟ่ และร้านอร่อย รอบนี้เราเลยขอพาเที่ยวเมืองชื่อคุ้นและตึกสวยอย่าง ท่าแร่ พักในบ้านโบราณที่ทั้งโรงแรมมีเพียง 4ห้องและได้รางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น แถมทำงานคราฟท์สวยๆ ผ่านผ้ามัดย้อม พร้อมกินข้าวเปียกและส้มตำบ้านๆ แต่แซ่บลืม
มาสัมผัสความโลคอลของอีสานที่น่าหลงใหล ผ่านทริป 3วัน 2คืน กับสกลนคร และนครพนม ที่ให้ทุกคนตามรอยได้ง่ายๆ เป็นทริปฟีลกู๊ดต้อนรับหน้าฝน จะได้ชวนกันแบ่งเวลาเที่ยวนอกมาพักผ่อนเที่ยวบ้านเราแบบชิคชิค แล้วจะรู้ว่าที่นี่น่าเที่ยวไม่แพ้ที่อื่นเลย
ความน่าเสียดายอย่างนึงของเมืองรองต่างๆ ในภาคอีสานคือการเดินทางที่ไม่หนาแน่นทำให้ไม่มีไฟลท์บินจากกรุงเทพฯ หลายเวลาเหมือนตามเมืองใหญ่ๆ ทำให้เวลามาเที่ยวและต้องการบินทั้งไปและกลับจะต้องแพลนเวลาดีๆ หลังจากเครื่องลงที่สกลนครเพื่อสาวสายมูก็ชวนกันแวะมาไหว้ขอพรพระธาตุแต่เช้า ไม่ใช่เรื่องฤกษ์หรืออะไรเป็นพิเศษ แต่มันกังวลว่าพอคล้อยบ่ายแดดจะแรงกว่านี้!
โลเคชั่นแรกของทริปนี้เราเลยเริ่มกันที่ พระธาตุเชิงชุม ใจกลางเมืองสกลนคร มีความเชื่อเล่าต่อกันมาว่าหากใครได้มากราบไหว้พระธาตุนี้ จะมีสิริมงคลสูงสุดแก่ตนเองและครอบครัวให้มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปราศจากอันตรายใครคิดร้ายก็ทำอะไรเราไม่ได้สักอย่าง การไหว้พระสำหรับเราเหมือนเป็นการเก็บไอเทมลับให้กับตัวเอง และทำให้เราอุ่นใจมากขึ้นจริงๆ นะ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพระธาตุเชิงชุมมีคาเฟ่วินเทจชื่อน่ารักเหมือนผู้หญิงเรียบร้อยในบ้านไม้สุดคลาสิคว่า ‘คำหอม’ ที่นี่เป็นเหมือนแกลอรี่เล็กๆ ที่มีภาพวาดและงานศิลปะต่างๆ ในเดินชม แถมยังมีสินค้า OTOP ของสกลนครอย่างพวกผ้าย้อมคราม ผ้าปักลายต่างๆ ที่เป็นแฮนด์เมดทั้งหมดให้ช็อปกัน ในร้านยังมีคาเฟ่เล็กๆ พร้อมเมนูของหวานให้ดับร้อนกันด้วย
บอกเลยว่าทริปนี้อยากมาที่ หมู่บ้านท่าแร่ มากที่สุด ด้วยชื่อเสียงต่างๆ ที่เราอาจจะเคยได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง เลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง แต่จะบอกว่าที่นี่ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย! เพราะมันสวยมากกกกกก หมู่บ้านท่าแร่คือชุมชนคริสต์เก่าแก่มีอายุกว่า 100 ปี แถมยังเป็นหมู่บ้านที่มีคนมีคนนับถือคริสตังมากที่สุดในประเทศด้วยนะ บรรยากาศในหมู่บ้านก็แสนน่ารัก สงบ เรียบง่าย หันไปทางไหนก็เจอแต่บ้านเรือนและตึกโบราณสไตล์โคโรเนียลแบบฝรั่งเศสทอดยาวเป็นเอกลักษณ์มาก
ไฮไลต์สำคัญของบ้านท่าแร่ อยู่ที่ โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล โบสถ์ขนาดใหญ่สีขาวรูปทรงคล้ายเรือ สร้างเพื่อระลึกถึงการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของคริสตชนในหมู่บ้านนี้ ถ้าเคยดูหนังเรื่องร่างทรงที่เค้ามีงานแห่ดาวกันก็จัดขึ้นที่นี่แหละ
และอากาศร้อนๆ ของการเที่ยวท่าแร่ จะหากาแฟดีๆ ดื่มที่ไว้ใจได้ก็เป็นเรื่องยากพอตัว เราเลยเลือกร้านที่เราไว้ใจอย่าง All Café ที่สะดวกซื้อและมั่นใจได้แน่ๆ ทั้งในเรื่องความสะอาดและรสชาติ อย่างวันนี้เราสั่ง ส้มยูสุ โซดาเย็น และอเมริกาโน่ ส้มยูซุเย็น เพิ่มความสดชื่นในยามบ่ายตอนที่เที่ยวก็พร้อมลุยต่อให้สดชื่นกว่าเดิม
ถ่ายรูปจนครบทุกมุมในท่าแร่ อยากให้ถือเครื่องดื่มเย็นๆ แวะมากินข้าวที่ร้าน ข้าวเปียกโบราณฟรานซิสโก บ้านโบราณที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของหมู่บ้าน เปิดขายอาหารเมนูง่าย ๆ สไตล์เวียดนาม อาหารของร้านนี้ถึงแม้จะเป็นอาหารจานเดียวแต่อาหารอร่อยถูกปากทุกเมนู โดยเฉพาะสุกี้น้ำจิ้มสุกี้แบบโบราณ คือดีมาก ดีขนาดที่ว่าพอเช็คอินว่าอยู่ร้านนี้ เพื่อน ๆ ต้องทักมาถามกันหลายคนว่าได้ลองสุกี้หรือยัง ส่วนอาหารเช้าก็มีทั้ง ไข่กระทะ ข้าวเปียกเส้น ข้าวต้ม อาหารทานเล่น อย่างเกี๊ยวกุ้ง ก็อร่อยมากเช่นกัน
วันต่อมาเราข้ามไปวันเดย์ทริปตามรอยเพลงรักริมฝั่งโขงกันที่นครพนม พระธาตุพนม คือจุดแรกที่เราแวะ เพื่อนบางคนอาจสงสัยและคิดในใจ (ทำไมรอบนี้เที่ยววัดเยอะจังวะ ก็แหมมม.. พอวัยใกล้เลข 3 เข้ามาอะไรที่พอทำให้อุ่นใจขึ้นบ้างทางนี้ก็เอาทุกทางเหมือนกันนะคะ 5555)
ที่นี่ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีวอกและผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ โดยตัวองค์พระธาตุนี้มีลักษณะคล้ายเจดีย์ทรงสีเหลี่ยมโดดเด่นด้วยลาย พื้นสีขาวตัดกับลวดลายสลักสีทองอร่ามงามตา ด้านบนยอดพระธาตุก็มีฉัตรทองคำและมีพลอยประดับแวววาวอย่างสวยสดงดงาม ภายในพระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุหรือพระบรมธาตุส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้าไว้
ที่ต่อมาคือชื่อเป็นวัดแต่จริงๆ เป็นโบสถ์อย่าง วัดนักบุญอันนา เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 192 สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลของที่นี่มีลักษณะเป็นหอคอยคู่ มียอดแหลมสูง และยังมีอาคารที่ทำการสำหรับประกอบศาสนกิจของบาทหลวงนิกายคาทอลิกด้วย
เมืองนครพนมมันคือเมืองชิค เพราะตั้งแต่พวกเราได้มาเช็คอินที่ 76A THE SPACE ก็หลงรักเมืองนี้ขึ้นมาทันที ที่นี่เป็นคาเฟ่ในบ้านอาคารเก่าสไตล์โคโรเนียลริมแม่น้ำโขง ที่นำมารีโนเวทใหม่ให้ยังคงโครงสร้างบ้านเดิมไว้ได้อารมณ์วินเทจ เพิ่มเสน่ห์การตกแต่งให้ดูเรียบ ๆ แบบทันสมัย ฝั่งตรงข้ามร้านสามารถนั่งมองวิวแม่น้ำโขงและทิวเขาของประเทศลาวได้แบบเพลิน ๆ ในส่วนของเครื่องดื่มจะเน้นกาแฟ Specialty คั่วอ่อน และเครื่องดื่มแบบ non-coffee ให้เลือกหลายเมนู ทานคู่กับครัวซอง สโคนและชีสทาร์ตคือลงตัวไปหมด ใครมาที่นี่อยากให้เผื่อเวลากันสักหน่อยเพราะมุมถ่ายรูปเยอะมาก สวยทุกมุมจริง ๆ
สาบานได้เลยว่าเราพึ่งรู้เหมือนกัน่า อดีตประธานาธิบดีของเวียดนามอย่างโฮจิมินท์ มีบ้านอีกหลังอยู่ในนครพนมในช่วงลี้ภัยและกำลังกอบกู้เอกราช รอบนี้เลยแวะไปเที่ยว บ้านลุงโฮฯ กันซักหน่อย ภายในบ้านแบ่งเป็น 3 ห้อง คือ ห้องนอน 2 ห้อง และห้องโถง 1 ห้อง มีข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อนจัดแสดง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน บ้องสูบยา และรูปภาพในอดีตเพื่อคงบรรยากาศเดิม ๆ ให้มากที่สุด
นอกจากนี้บริเวณเดียวกันยังเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สวยงามอลังการมาก ซุ้มประตูออกแบบผสมผสานทั้งศิลปะเวียดนามและไทย ด้านในประกอบด้วยอาคารรูปปั้นเคารพท่านโฮจิมินห์ อาคารแสดงชีวประวัติและหุ่นขี้ผึ้งจำลองท่านโฮจิมินห์ นอกจากนี้ยังมีอาคารจำหน่ายของที่ระลึก ส่วน ใครอยากได้ชุดอ๋าวหย่ายและหมวกงอบเวียดนามก็มีให้เช่าถ่ายรูปเพื่อเพิ่มความอินกับบรรยากาศได้เช่นกัน
อย่างนึงที่อยากแนะนำเวลามาเที่ยวแถวนี้คือ ควรเตรียมชุดมาเปลี่ยนระหว่างวันด้วยเพราะบางทีอากาศร้อนสุดๆ หรือฝนตก เตรียมเผื่อไว้จะดีที่สุด มันทำให้เราสบายเนื้อสบายตัวเวลาต้องเที่ยวหลายๆ ที่และออกตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอคล้อยบ่ายเราแวะไปแถมๆ ริมแม่น้ำโขงบริเวณ ลานพญาศรีสัตตนาคราช เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ตามที่คนแถวนั้นพูดกัน และอยากไปดูวิวริมฝั่งโขงที่เราชอบมากๆ มันเป็นบรรยากาศแบบโลคอลที่นั่งมองทั้งวันได้ไม่มีเบื่อเลยนะ ความยิ่งใหญ่ของฝั่งโขง บ้านเมืองและภูเขาในประเทศลาวฝั่งตรงข้าม มันดูแล้วแฮปปี้กับชีวิตธรรมดา
มื้อเย็นวันนี้เราเลยฝากท้องกับ Convenient Store Lifestyle อย่าง 7-11 ใกล้ๆ กับ ลานพญาศรีสัตตนาคราช เราอยากรีบกิน และถือเครื่องดื่มบางอย่างแบบฉ่ำๆ ไปดูวิวที่ริมฝั่งโขงต่อได้
วันนี้เลยเลือกทานอาหารอุ่นร้อนที่ทานง่ายและรวดเร็วอย่างเมนูฮิตที่พี่ๆ พนักงานแนะนำคือ ข้าวไข่ข้นลาบหมู ชุดไข่กระทะ และยำวุ้นเส้นหมูสับสโมกกี้ไบร์ทปลาร้าแซ่บ 7-11 สำหรับเรามันเป็นอะไรรู้ใจกันอยู่แล้วในวันที่รีบๆ หรืออยากทานอะไรง่ายๆ เพราะที่นี่มันสะดวกไปซะหมด ทั้งสะดวกซื้อ สะดวกกิน สะดวกจ่าย เป็นเหมือน Community link and service ครบในจุดเดียว
วันสุดท้ายของทริปเรากลับมาเที่ยวต่อกันที่สกลนคร เมื่อคืนเรากลับมาพักกันที่ บ้านเสงี่ยม-มณี เป็นความคลาสสิคของเมืองสกลนครที่ทำให้เราหลงรักจนอยากมาลองพักในบูติกโฮเทลที่รีโนเวทจากบ้านไม้เก่าแก่อายุ 66 ปี ตั้งอยู่บนถนนเจริญเมือง เขตเมืองเก่าของจังหวัดที่ Recommend ให้ทุกคนมาพักสุดๆ แต่อาจจะต้องจองล่วงหน้านานหน่อยเพราะรอบรับได้สูงสุดแค่ 4 ห้องต่อคืนเท่านั้น!
ชั้นล่างสุดเป็นห้องสมุดกึ่งคาเฟ่ มีหนังสือเรียนเก่าๆ ของแต่ละคนให้นั่งอ่านเล่นได้ตามสบายระหว่างจิบกาแฟหรือน้ำผลไม้ พร้อมขายของที่ระลึกน่ารักจากสกลนคร ชั้นสองจะเป็นโซนของห้องพักมีชื่อน่ารักคล้องจองกัน ยลสกล – มนต์หนองหาร – ละลานนา โดยแต่ละห้องก็จะมีกิมมิคการตกแต่งที่แตกต่างกันไป มีห้องโถงโล่งๆให้เรามานั่งเล่นยามเย็นกับเพื่อน
ส่วนตอนเช้าก็ถูกปลุกด้วยภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวสกลนคร ทั้งพระออกบิณฑบาตร เด็กไปโรงเรียน บอกเลยว่ามาพักที่นี่ใฟ้ฟีลแบบมานอนบ้านญาติผู้ใหญ่แต่ละมุนละไมอบอุ่นทุกช่วงเวลาที่ได้มาพักเลย แถมที่นี่ห้องพักเป็นห้องแบบไม่รวมอาหารเช้าเพราะจุดประสงค์คืออยากให้เราออกไปอุดหนุนร้านโลคอลรอบๆ ที่พัก และถ้าใครตื่นสายหรือกลัวไม่อิ่มใกล้ๆ กับบ้านเสงี่ยม-มณี ก็ยังมี 7-11 ที่มีทั้งกาแฟร้อนๆ จาก All Café ยามเช้า และอาหารอุ่นร้อน รวมไปถึงขนมปังอบสดมากมายให้ทาน เราไปกันหลายคนเลยเลือกอุดหนุนป้าๆ รอบที่พักด้วยอาหารท้องถิ่น และเพิ่มพลังงานด้วยอาหารอุ่นร้อนและอบสดจาก7-11 เช่นชุดไข่กระทะ ขนมปังโทสต์หน้าเนย All Café และเครื่องดื่มร้อนต่างๆ
เอาจริงๆ ว่าทริปนี้ All Café สำหรับเรากลายเป็น Apart of our daily life กันแบบไม่รู้ตัวแล้วนะ ด้วยความที่เดินทางกันไปมาข้ามจังหวัด บางมื้อที่อยากเลือกทานอะไรที่สะดวกๆ ทั้งซื้อทั้งจ่าย และง่ายต่อการเข้าถึง แถมยังเป็น User friendly กับลูกค้าทุกๆ คน เอะอะระหว่างทางก็นึกถึง All Café แปลกใจว่าทำไมทุกแทรกซึมเข้ากับชีวิตประจำของเราแบบไม่รู้ตัว
หลังทานอาหารเช้าเสร็จเราไปต่อกันที่ Mann Craft หลายคนยังไม่รู้สินะว่าเมืองสกลนครนี้เป็น Indigo City ของเมืองไทย รอบนี้เราเลยตั้งใจมาทำกิจกรรม workshop ย้อมครามกันที่ Mann Craft โดยที่นี่พี่แมน พี่เจ้าของที่แสนใจดี ได้แปลงโฉมอดีตสวนผลไม้มาเป็นศูนย์การเรียนรู้จัดกิจกรรมมีตั้งแต่การย้อมผ้าครามและ Eco Print โดยเริ่มจากเราจะต้องไปเก็บใบไม้ดอกไม้จากในสวนพี่แมนมา จากนั้นก็เรียงบนผ้าเช็ดหน้า เสื้อ หรือผ้าพันคอตามสไตล์ที่เราชอบ จากนั้นก็นำไปต้มในน้ำที่อุณหภูมิพอดี
หลังจากได้เวลาพวกเราก็ค่อยแกะลายผ้าจากที่มัดไว้ บอกเลยว่าเซอร์ไพร์สมาก เป็นงานศิลปะที่ภูมิใจมีชิ้นเดียวแถมไม่ซ้ำใคร เราอยากให้มานะ ที่ Mann Craft ทำเรื่องนี้ได้ดีและน่ารักมากๆ ไม่น่าเบื่อเลย แถมสถานที่ก็สะอาดสะอ้าน ตลอด 3 ชั่วโมงที่นี่มีความสุขกับทุกกิจกรรมเลย
ส่งท้ายเมืองสกลนครก่อนจะมูฟออนกลับเมืองกรุง เราขอมาฝากท้องกับร้านอาหารอีสานพื้นบ้าน ไผ่ล้อม ร้านเด็ดที่ใครได้ชิมก็ติดใจ บอกใครไปใครมาว่ามาเที่ยวสกลนครก็บอกให้ไปกินร้านนี้ทั้งนั้น เป็นร้านบ้านๆ แต่เป็นตาแซ่บ บอกเลยว่าอร่อยทุกเมนูทั้ง ลาบ ก้อย ต้มขม ไปจนถึงเมนูพิเศษที่เพิ่งได้ลองครั้งห่อหมกสมองวัวที่หาทานได้ยาก อร่อยจนแสงออกปากก็ไม่เว่อร์เกินไปสำหรับอาหารร้านนี้
ตลอดเวลา 3วัน 2คืนที่สกลนครและนครพนมนั้นมันดีมาก! เป็นเมืองที่ครบเครื่องที่สุด ทั้งวัด ทั้งโบสถ์ ทั้งวิวดีๆ ที่พักน่ารักและกิจกรรมแน่นๆ เป็นจังหวัดที่ให้เรากลับมาเที่ยวอีกก็มาได้ ถ้ามีเวลา Green Season นี้ยังไม่มีทริปไปเที่ยวที่ไหน หรือหยุดยาวเดือนกรกฏาคมที่กำลังจะมาถึงยังไม่มีที่ไป ลองมองสกลนครและนครพนมเป็นตัวเลือกก็ดีงามไม่แพ้เมืองไหนๆ เลยนะ
