ทุกคนมักจะมี Bucket list ประเทศที่ควรจะไปเยือนซักครั้งในชีวิตเป็นของตัวเองใช่มั้ย? แต่บางประเทศอย่าง ‘สิงคโปร์’ ที่ทันสมัย สะอาดสะอ้านแถมยังเปลี่ยนแปลงเร็วตลอดเวลา คงจะดีน่าดูถ้าเราจะเปลี่ยนซักประเทศใกล้บ้านให้เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ที่อยากแวะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แถมเที่ยวได้ไม่มีเบื่อเพราะห้องนั่งเล่นนี้เปลี่ยนแปลงและมีกิจกรรมกับสถานที่ใหม่ๆ ให้เราร้องอื้อหือ! ได้เสมอ
ทริปที่สองหลังโควิดของพวกเราเลยอยากพากลับมา Back to basic กับประเทศเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิมอย่าง ‘สิงคโปร์’ เพราะ 5 วัน 4 คืนเมื่อวีคที่แล้วนั้นพูดได้เต็มปากว่า Perfect! เข้า-ออกได้สะดวกไม่ต้องตรวจโควิดและไม่ต้องกักตัวให้วุ่นวายอีกต่อไป
มาเช็คอินในแลนด์มาร์คของที่นี่ให้หายคิดถึง แวะไปมิวเซียมใหม่ๆ และร้านอร่อยที่ต้องไป ย้อนวัยเป็นสาวน้อยที่ Universal Studios Singapore และเที่ยวเล่นกิจกรรมใหม่ๆ ใน Sentosa นี่คือทริปที่ไปง่ายเหมือนเรียกแท๊กซี่ไปหน้าปากซอย เพราะไม่ต้องตรวจโควิดหรือกักตัวให้วุ่นวาย สิงคโปร์ยังคงคอนเซ็ปต์เที่ยวง่ายแบบไม่ต้องคิดเยอะแต่ตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่กลับมา เพราะสิงคโปร์ยังคงใหม่สำหรับเราเสมอเหมือนทุกครั้ง ?
สบายต่างกัน!
เราออกเดินทางกับการบินไทย เพราะเวลาเดินทางไปสิงคโปร์ดีที่สุดคือออกตั้งแต่เช้าประมาณ 8 โมงถึงสิงคโปร์ก่อนเที่ยง และขากลับก็มีไฟลท์ค่ำประมาณสองทุ่มครึ่งและถึงกรุงเทพตอนสี่ทุ่มถือว่าไม่ดึกมากเกินไป แถมยังเที่ยวสิงคโปร์ได้เพิ่มอีกทั้งวัน ทั้งขาไปและขากลับ
การบินไทยบินตรงสู่สิงคโปร์วันละ 2 เที่ยวบินคือเช้าและบ่าย แถมบินด้วยเครื่องใหม่อย่าง A350-900 ที่นั่ง อาหารและน้ำหนักกระเป๋าก็ถูกรวมในค่าตั๋วไปหมดแล้ว ทำให้เราช้อปปิ้งเพิ่มกันที่สิงคโปร์ได้อย่างสบายใจ เราพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าการบินไทยนั้นกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของอาหารที่อร่อยขึ้น โดยเฉพาะอาหารไทยที่มีให้ทุกมื้อที่เราบินเลยจริงๆ
และเดี๋ยวนี้ค่าตั๋วเครื่องบินการบินไทยไม่แพงอย่างที่คิด แถมเส้นทางสิงคโปร์มีโปรโมชั่นเพียงแค่จองตรงผ่าน www.thaiairways.com ใส่โค้ดส่วนลด TGMCtoSIN ก็ลดทันทีเพิ่ม 15% ค่าตั๋วหลักพันแต่บินสบายต่างกันไปฮิปที่สิงคโปร์เป็นใครก็จองทั้งนั้น
Day 1 – Jewel Changi Airport
ไฟลท์จากไทยของเราถึงสิงคโปร์ประมาณ 11 โมงและเครื่องบินของการบินไทยจะลงที่ Terminal 1 ซึ่งเชื่อมกับ Jewel Changi Airport เดินมาเที่ยวต่อได้ทันที เราแนะนำให้เที่ยว Jewel ต่อเลยเพราะอากาศสิงคโปร์ตอนกลางวันนั้นค่อนข้างร้อน มาเดินสวยๆ ใน Jewel ปรับตัวกับอากาศและหาของอร่อยทานถือเป็นการปรับตัวก่อนออกไปเที่ยวในเมือง
ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกสนามบินจะสนุกและดีเหมือนที่ Changi นะ เพราะนี่คือสนามบินไม่กี่แห่งในโลกที่เรามาแล้วประทับใจทุกครั้ง Jewel Changi เป็นส่วนหนึ่งของสนามบินที่แยกออกมาเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ระดับโลก ด้วยดีไซน์และสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยมากๆ มีน้ำพุในร่มขนาดใหญ่ตรงกลางที่ใครมาเห็นก็ตื่นตาตื่นใจทั้งนั้น เราเองยืนมองยังงงเลยว่า โอ้โหที่นี่มันสวยเหมือนเราเลยนะคะเนี่ย 555
HSBC Rain Vortex คือน้ำตกในร่มสูงกว่า 40 เมตร และมีสวนที่ออกแบบเป็นอย่างดีรอบๆ เรียกว่า Shiseido Forest Valley เราสามารถเดินถ่ายรูปได้ทั่วบริเวณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายซึ่งกว้างมากๆ แต่ที่อยากแนะนำอีกที่คือ Canopy Bridge เป็นสะพานกระจกใสๆ ที่มองเห็นน้ำตกจากมุมสูง ตรงนี้มีค่าใช้จ่ายคนละ 8 SGD ถือว่าไม่แพง เพราะคนน้อยและไม่มีใครแย่งมุมถ่ายรูป เป็นการซื้อประสบการณ์ที่หาได้แค่ที่นี่ที่เดียวนะค้า
Day 1 – Sunset Walking Through Marina Bay Area!
เราใช้เวลาใน Jewel Changi Airport ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนแวะเอากระเป๋าไปเก็บแถวที่พักในย่าน Clarke Quay และเริ่มเดินเลียบแม่น้ำไปแถว Marina Bay
เราเริ่มกันตรงที่แลนด์มาร์คสุดฮิตอย่างหน้าโรงแรม Fullerton และ Merlion Park ที่มาครั้งก่อนก็ปิดทำความสะอาด แต่รอบนี้โชคดี ไม่ปิดอาบน้ำแล้วนะคะ เปิดน้ำพุปกติให้มาแอ๊คติ้งถ่ายรูปเอาปากรับน้ำได้แล้ว 555
ตอนเย็นตรงริมน้ำนี้สวยมากๆ ลมโชยเบาๆ และพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าโดยมีวิวตึกดีไซน์สวยๆ อยู่ด้านหลังอย่าง ArtScience Museum Marina Bay Sands เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสะพาน The Helix เพื่อดูวิวเมืองสิงคโปร์เปิดไฟระยิบระยับเพื่อจบวัน มันเป็นบรรยากาศที่คิดถึงจริงๆ นะกับการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ได้ออกมาเที่ยวและดูวิวในบ้านเมืองที่ไม่คุ้นตา เห็นแล้วชื่นใจและคุ้มค่าจริงๆ นะ
ก่อนจบวันที่เหนื่อยแต่สนุก เราแวะไปทานอาหารใน Food Court ไฮโซในห้าง The Shoppes at Marina Bay Sands มีให้เลือกหลากหลายมากๆ ถ้ามาแถวนี้แล้วไม่อยากไปกินร้านอื่นไกลๆ ก็มีหลายเมนูให้เลือก แถมเดินช้อปปิ้งฉ่ำๆ ก็ได้เลย จบวันแรกแบบสวยงาม ครบตามแลนด์มาร์คที่ต้องไป!
Day 2 – Chin Mee Chin Confectionery & Tigerlily Patisserie
เราเริ่มเช้าวันที่ 2 กันแถวย่าน Joo Chiat Rd. ของชาวเปอนารากัน ย่านนี้มีสีสันของคนท้องถิ่น อาหาร ขนมอร่อยๆ เยอะมาก เช้านี้เลยมาฝากท้องกันแถวนี้
Chin Mee Chin Confectionery เราเลือกทานกันที่นี่เพราะเป็นร้านดั้งเดิมและอยู่มายาวนานมากตั้งแต่ปี 1920s ที่นี่ขายอาหารเช้าแบบดั้งเดิม เช่น Kaya Toast หอมๆ แป้งกรอบทาด้วยสังขยาบางๆ และโปะด้วยมาการีนก้อนเยิ้มๆ ทานคู่กับไข่ลวกและโกปิ๊หรือชานม หรือใครกลัวไม่อิ่มก็เพิ่มขนมปังบันไส้แฮมไปด้วยก็ได้ แค่นี้ก็เหมือนได้สัมผัสรสชาติดั้งเดิมเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีย์
มาต่อกันที่ร้านที่ 2 ที่โมเดิร์นขึ้นมาหน่อย อยากแนะนำให้มานั่งกินขนมอร่อยๆ จิบชาและนั่งเม้าท์ก่อนจะไปเที่ยวต่อ ที่ Tigerlily Patisserie ร้านเบเกอรี่แบบคราฟท์ๆ ที่เพื่อนชาวสิงคโปร์ของเราแนะนำมาว่าร้านนี้พึ่งได้รางวัล Pastry Chef of the Year คือถือว่าเป็นเชฟที่ทำขนมอร่อยเป็นอันดับ 1 ของสิงคโปร์เลยแหละ แถมบรรยากาศในร้านก็น่ารักมาก
Day 2 – Museum of Ice Cream, Singapore
เรามั่นใจว่าน้อยคนมากๆ ที่จะเคยมาที่นี่เพราะพึ่งเปิดได้ไม่นาน Museum of Ice Cream แห่งแรกในเอเชีย เพราะปกติจะมีอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ที่นี่สนุกมาก เป็นมิวเซียมที่ไม่เหมือนที่อื่นๆ เช่น ก่อนเข้าไปในมิวเซียมที่นี่จะให้เราวอร์มร่างกายพร้อมเปลี่ยนชื่อตัวเองให้เป็นชื่อไอศกรีม เช่น Taylor Split (Taylor + Banana Split) ในมิวเซียมนั้นแบ่งเป็นห้องๆ อีก 14 Installations ที่จะเล่าประวัติและความเป็นมาของไอศกรีมในแต่ละภูมิภาค และทุกห้องเป็นสีพาสเทลน่ารักสดใส บางห้องยังมีตู้ Jukebox ให้เปิดเพลงคลาสสิคสนุกๆฟังฟรีระหว่างนั่งดื่มด่ำกับไอศกรีมอร่อยๆ
แถมยังมีไอศกรีมอีก 5 แบบให้ลองชิมเป็นก้อนโตๆ ทั้งแบบแท่ง เป็นสกู๊ปและแบบโคนน่ารักๆ โรยด้วย Sprinkle แบบไม่เสียเงินเพิ่มซักบาท เพราะเราจ่ายค่าตั๋วไปแล้วคนละ SGD 42
มี Sprinkle Pool ใหญ่ๆ นุ่มๆ ให้เราทิ้งตัวลงไปแหวกว่ายด้วย ห้องสุดท้ายยังมีของที่ระลึกน่ารักๆ ให้เลือกซื้อด้วยนะ
Day 2 – Por Kee Eating House 1996
จากมิวเซียมเราแวะมากินอาหารเหลาแบบฮกเกี้ยนที่ Por Kee Eating House 1996 คนสิงคโปร์เรียกอาหารท้องถิ่นแบบนี้ว่า Zi Char (ซือ ชาร์) เป็นฟีลแบบ Home Cooked รสมือแม่สไตล์ฮกเกี้ยน
อาหารยอดฮิตอย่าง Chilli Crab ก็เป็นอาหาร Zi Char นะ เราสั่งกันมาเยอะมากถึงมากที่สุด ทั้ง Chilli Crab, Cereal Prawn, Sambal lala (หอยตลับผัดพริก), ราดหน้าและกระดูกซี่โครงหมูอบ อร่อยถึงอร่อยที่สุด
Por Kee Eating House 1996 เปิดมาแล้วกว่า 25 ปี เสิร์ฟอาหารในบรรยากาศอบอุ่นมากๆ เหมือนอาม่า อากงทำให้เราทาน ร้านนี้ยังอยู่ในย่านฮิปคาเฟ่เยอะของสิงคโปร์อย่าง Tiong Bahru ที่กินเหลาอิ่มแล้ว ก็เดินเล่น หากาแฟยามบ่ายกินต่อได้เลย
Day 2 – Tiong Bahru
เราใช้เวลาช่วงบ่ายก่อนไปเที่ยวที่อื่นต่อกันแถว Tiong Bahru (เตียง บาห์รู) ย่านนี้เป็นย่านชิคๆ ของสิงคโปร์ที่ Expat ชอบมาผ่อนคลายนั่งกินกาแฟกันยามบ่าย แถวนี้ยังมีสตรีทอาร์ตสวยๆ ร้านค้าจุกจิก และแกลลอรี่ พร้อมมุมถ่ายรูปแบบน่ารัก และบรรยากาศในย่านชุมชนที่เป็น Community อย่างร่มรื่นมากๆ
เราแวะกินคัพเค้กอร่อยๆ อย่าง Plain Vanilla ร้านบรรยากาศสุดอบอุ่นที่ให้เรานั่ง Chit-Chat กับเพื่อนพร้อมคัพเค้กดีๆ และกาแฟเข้มๆ ให้ตาตื่นยามบ่าย อร่อยอย่าบอกใคร!
Day 2 – Gardens by the Bay
พอคล้อยบ่ายเราไปต่อกันที่ ที่เราชอบมาก ขอแค่ไปยืนนิ่งๆ ในโดมกระจกและมีต้นไม้นับล้านๆ ต้นโอบล้อมก็สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่คือ Gardens by the Bay ซึ่งมี 2 โดมหลักๆ คือ Cloud Forest และ Flower Dome ซึ่งรวบรวมดอกไม้จาก 5 ทวีปแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจนให้เดินดูกันแบบเต็มอิ่ม มีต้นมะกอกพันปีด้วยนะ
ส่วน Cloud Forest เป็นจุดที่เย็นชุ่มฉ่ำมาก เพราะเค้าจัดสวนให้เหมือนอยู่ในพื้นที่ใต้เมฆหมอก พืชและต้นไม้ในโซนนี้จะดูดิบชื้น เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี แถมยังมีน้ำตกแนวตั้งในร่มขนาดใหญ่กลางโดมและทางเดินลอยฟ้าที่คดเคี้ยวไปมาให้เราเดินเล่นกัน คือเราอยู่ได้ทั้งวันนะเอาจริง ไม่เบื่อเลย
พอพระอาทิตย์เริ่มตกเราขยับไปสวนกลางแจ้งข้างๆ อย่าง Supertree Grove เป็นดงอาคารรูปทรงต้นไม้สูงลิบเหมือนอยู่ในหนังเรื่องอวตาร พอเริ่มมืดที่นี่จะเปิดไฟสว่างไสว อาคารต้นไม้ที่เรายืนดูก็เหมือนมีชีวิต และทุกๆ วันเวลา 19.45น. , 20.45น. จะมี Garden Rhapsody โชว์แสงสีเสียงด้วย อย่างช่วงนี้เพลงประกอบเป็น Soundtrack เรื่อง Attack on Titan.
เราจบวันพร้อมกับแสงสีสวยๆ ของ Supertree Grove นี่แหละ เวลาบอกใครว่ามาเที่ยวสิงคโปร์หลายคนชอบถามว่ามันมีอะไร ทำไมชอบไป เป็นเกาะเล็กๆ เองไม่ใช่หรอ แต่จริงๆ แล้วเนี่ยเค้าครีเอทและพัฒนาเมืองต่อเนื่องมากๆ มาวันนี้กับมาพรุ่งนี้เผลอๆ ก็เจออะไรที่ไม่เหมือนกันแล้วนะ อยากให้มาลอง
Day 3 – Fort Canning Park & Chinatown
ขอบ่นกระปอดกระแปดก่อนเลยค่ะ! คือเพื่อนชาว Singaporian เวลาถามว่าจากจุดนี้ไปตรงนี้ไกลมั้ย? นางชอบบอกกันว่าไม่ไกล และ walkable ซึ่งจริงๆ แล้วสำหรับคนไทยหรือนักท่องเที่ยวรักสบายอย่างเราๆ มันไกล 5555 ระยะทาง walkable ที่แนะนำคือไม่เกิน 500 เมตรนะ เพราะอากาศค่อนข้างร้อน ถ้าเหนื่อยตั้งแต่จุดแรกเดี๋ยวจะพาลทำให้ทั้งวันเที่ยวไม่สนุกเอาเด้อ!
สำหรับวันที่ 3 ของเราออกจากที่พักตั้งแต่เช้าและเดินไปตามระยะทาง walkable ที่แนะนำประมาณกิโลครึ่ง 555 เดินดูบ้านเมืองไปเรื่อยๆ ยามเช้า ลจากโรงแรมไป Fort Canning Park ทางเดินเชื่อมและอุโมงค์ที่กลายมาเป็นจุดเช็คอินคูลๆ ของนักท่องเที่ยว เพราะความร่มรื่นและต้นไม้ที่ปกคลุมปากอุโมงค์จนเหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ธรรมชาติขนาดใหญ่
จริงๆ กระเบื้องในอุโมงค์ทางเชื่อมนั้นก็เก๋อยู่นะเป็นสีขาวๆ สลับกับกระเบิ้องสีเป็นจุดๆ ถ่ายรูปก็เก๋อยู่
จาก Fort Canning Park เรานั่ง MRT ไปลงสถานี Chinatown ด้วยความตั้งใจอยากกินทุเรียนจากมาเลเซียค่ะ 55555 เพราะทุเรียนที่นี่เค้าชอบกินนิ่มๆ แบบที่เราชอบ และเดินเล่นรอบๆ Chinatown ซักหน่อยเพราะที่นี่พวกอาหารแห้งเช่นเม็ดมะม่วง อัลมอลต์ แถมยังเดินเล่นได้สบายๆ และมีสตรีทอาร์ตสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นด้วย
เราเดินไปกันที่ Buddha Tooth Relic Temple & Museum หรือคนไทยชอบเรียกกันว่า วัดพระเขี้ยวแก้ว ที่ตั้งอยู่ในโซน Chinatown ที่นี่สวยใหญ่โต อลังการมาก เป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุ หรือฟันด้านซ้ายของพระพุทธเจ้า อยากแนะนำให้มาไหว้เพื่อเป็นศิริมงคลให้กับตัวเอง และเดินดูรายละเอียดสถาปัตยกรรมด้านในที่ละเอียดยิบและประณีตมาก
Day 3 – Hawker Chan
จากวัดพระเขี้ยวแก้ว เรายังอยู่ในโซน Chinatown เดินย้อนกลับมาทางเดิมประมาณ 5 นาทีแวะกินอาหารระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว ที่ราคาเริ่มต้นแค่ SGD 5 หรือประมาณ 125 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นอาหารมิชลินที่ถูกที่สุดในโลกด้วยนะ
เมนูเด็ดก็จะเป็นไก่ซีอิ๊วกับข้าวสวยร้อนๆ หรือบะหมี่ เราว่าทีเด็ดมันอยู่ที่น้ำซอสฉ่ำๆ ที่ราดลงบนเนื้อไก่นี่แหละ แต่ที่เราชอบไม่แพ้กันคือหมูแดงและหมูกรอบที่ฉ่ำนุ่มมาก และเต้าหู้ทอด 3 รสคือดี!
จาก Chinatown เรานั่ง MRT ไปลงที่สถานี Bayfront แล้วเดินทะลุห้าง The Shoppes ที่มาทานมื้อเย็นวันแรกไป ArtScience Museum ต่อ จริงๆ แล้วเราว่าถ้าใครอยากจิบ Afternoon Tea หรือช้อปปิ้ง ทานอะไรเย็นๆ ในห้างนี่เหมาะแก่การเดินเล่นมากๆ นะ บรรยากาศดี สะอาด ที่สำคัญคือระวังหลง!
Day 3 – ArtScience Museum
เราตั้งใจแพลนมาที่นี่ตอนบ่ายในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวสุดๆ เพราะนอกจากจะมี exhibitions ที่น่าสนใจมากๆ แล้วที่นี่ยังเป็นที่หลบร้อนชั้นดีในตอนบ่ายด้วยนะ 5555 ArtScience Museum มีนิทรรศการหมุนเวียนสลับเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ ก็อย่างที่บอกแหละว่าสิงคโปร์นั้นมากันได้บ่อยๆ เพราะมาเมื่อไหร่ก็มีของใหม่เสมอ รอบนี้เราซื้อบัตรเข้าชมจาก Klook ซึ่งมีขายทุก exhibitions เลยไม่ว่าจะเป็น Future World: Where Art Meets Science , Attack on Titan: The Exhibition, Radical Curiosity: In the Orbit of Buckminster Fuller เราก็เลือกเข้าทุกอันนั่นแหละ เพราะต้องการหลบร้อน และยังไม่เคยดูเลยเหมือนกัน
Future World: Where Art Meets Science ก็เป็นจุดที่ยอดฮิตที่สุดเพราะ curated by teamLab จากญี่ปุ่น โดยเอาวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับศิลปะออกมาเป็น digital interactive installation ให้เราได้สัมผัสในแต่ละห้องก็สามารถมี Interact ร่วมกันได้ด้วยนะ
ส่วน Attack on Titan: The Exhibition นี่ exclusive ที่สุดเพราะจัดถึงแค่วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 นี้เท่านั้น ภายในงานก็เอา Artworks ของเรื่องนี้มากกว่า 150 แผ่นมาจัดแสดงซึ่งทุกแผ่นวาดโดย Hajime Isayama จริงๆ เราเองไม่เคยดูมาก่อนภายในงานยังมีอนิเมะสรุปจาก Originals Series ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงปัจจุบันให้จบภายใน 20 นาทีด้วย 555
สำหรับ Radical Curiosity คือการรวบรวมผลงานจากนักประดิษฐ์ชื่อดังอย่าง Buckminster Fuller ผู้ที่ใช้ความรู้ความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก และเค้าไม่ใช่แค่เป็นนักประดิษฐ์แต่ยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มากๆ แถมทำงานแบบบูรณาการมากๆ รวบรวมทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ว่าจะศิลปะ วิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรมและดีไซน์ต่างๆ ลองไปเดินดูแล้วจะทึ่งในความสามารถของเขาจริงๆ นะ
Day 3 – Singapore Flyer & Time Capsule
จาก ArtScience Museum เธอสามารถใช้เวลาประมาณ 10 นาทีข้ามสะพาน Helix Bridge เพื่อเดินทะลุไปยัง Singapore Flyer ได้เลย เราเลือกมาจบวันสวยๆ ด้วยการดูวิวแบบ 360 องศาบนชิงช้าที่สูงที่สุดในสิงคโปร์อย่างที่นี่
ต้องบอกก่อนว่าสำหรับใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและอนาคตของสิงคโปร์ ที่นี่มีนิทรรศการใหม่ที่เรียกว่า Time Capsule ก็สามารถแวะไปดูได้ โดยจะแบ่งเป็นโซนๆ เล่าเรื่องความเป็นมาของเกาะ ปัจจุบันที่เป็นและอนาคตที่สิงคโปร์จะไป ดูแล้วก็สร้างแรงบันดาลใจและเห็นถึงวิธีคิดของเค้าเพื่อให้สามารถเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้
ส่วน Singapore Flyer เราอยากแนะนำว่าควรดูเวลาก่อนว่าพระอาทิตย์ตกช่วงประมาณกี่โมง เพื่อให้เราเตรียมขึ้นไปอยู่จุดที่สูงที่สุดในบรรยากาศดีๆ เพราะรอบนึงจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 45 กิโลฯ ถ้าวันไหนอากาศดีๆ จะเห็น Changi Airport, เกาะ Sentosa และบางส่วนของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียด้วย ใครมาสิงคโปร์ครั้งแรกเราอยากให้มานะ เพราะวิวสวยปังจริงๆ รอบอ่าว Marina Bay นั้นคือชัดเจนและสวยมากๆ
Day 4 – Sentosa Island!
วันที่ 4 ของเราในสิงคโปร์เป็นวันที่สนุกและมันส์ที่สุด เราใช้เวลาในเกาะ Sentosa ตั้งแต่ 10.00-20.00 น. โดยไปทั้ง S.E.A. Aquarium, Universal Studios Singapore และเครื่องเล่นที่ดูวิวแบบจึ้งๆ อย่าง SkyHelix Sentosa ที่ A Must! เลยว่าควรมาลองซักครั้ง
แพลนของเราใน Sentosa คือนั่งกระเช้าลอยฟ้าจาก Mount Faber Park เข้ามาที่เกาะ Sentosa ช่วงเช้าแวะไปดูโลกใต้ทะเลที่ S.E.A. Aquarium และใช้เวลาทั้งบ่ายจนถึงเย็นที่ Universal Studios Singapore ก่อนกลับแวะดูวิวสิงคโปร์ยามค่ำคืนที่ SkyHelix Sentosa รายละเอียดของการเที่ยว Sentosa ของเรา วิธีการเล่นเครื่องเล่นใน USS ยังไงให้ครบ และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยว Sentosa ควรจะเป็นตอนไหน?
รีวิว Resorts World Sentosa ( Coming Soon! )
Day 5 – Shopping Day
เวลาสนุกๆ ทุกอย่างผ่านไปไวเหมือนโกหก ทริปใกล้แต่นานถึง 5 วันของเราก็มาถึงวันสุดท้าย วันนี้เราเลือกปล่อยใจฝันอีกแล้ว 5555 คือเอาตัวเองไปทิ้งไว้ในย่าน Orchard ทั้งวันจนถึงเย็นเพื่อเตรียมบินกลับกรุงเทพฯ ไฟลท์ค่ำกับการบินไทย เริ่มตั้งแต่ ION Orchard – Takashimaya – Orchard Gateway (ที่นี่มี Library สวยๆ ยอดฮิตด้วยนะ) เดินไปเลยค่ะ ช้อปปิ้งและเลือกชิม ช้อป ใช้กันให้เต็มที่ ขอแนะนำก่อนว่าบางอย่างที่นี่ถูกกว่าไทยถ้าเราทำ Tax Refund แต่ถ้าไม่.. ราคาแทบจะเท่าๆ กัน และบางอย่างราคาเท่ากับที่ไทย แต่มีให้เลือกเยอะกว่า เช่น สี ไซส์ เช็คให้ดีๆ ก่อนซื้อเด้อ สำหรับเราแค่ได้มาเดินดูก็เป็นสีสันมากๆ แล้ว
เอ้อออ สำหรับใครที่มาย่านนี้แล้วอยากกินข้าวมันไก่ที่เค้าเคลมว่าแพงและอร่อยที่สุดในโลกอย่าง ‘ChatterBox’ @ Mandarin Orchard แล้ว ยังมีอีกร้านที่เราอยาก Recommend มากๆ ชื่อ Hainanese Delicacy ในห้าง Far East Plaza อร่อยและไม่แพง เป็นร้านโปรดของเราเวลามาสิงคโปร์เลย อยากแนะนำให้แวะไปทานกัน!
ส่วนใครที่เบื่อๆ ไม่อยากช้อปปิ้งก็เดินเล่นนอกห้างดูพื้นที่สีเขียวของสิงคโปร์ก็สบายตาสบายดีเหมือนกันนะ
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรกว่าสิงคโปร์คือห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของเราที่ทันสมัย และเบื่อๆ เมื่อไหร่ก็สามารถกลับไปเยือนและผ่อนคลายอิริยาบถได้ทุกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่เกาะเล็กๆ แต่เป็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงเร็วตลอดเวลา ที่ทำให้เราประทับใจได้เสมอ
ย้ำกันอีกครั้งว่า สิงคโปร์ เปิดประเทศแล้วนะ ทุกคนสามารถเข้ามาเที่ยวได้เมื่อฉีดวัคซีนครบตามที่กำหนด ลงทะเบียนก่อนเข้าประเทศง่ายๆ ไม่ต้องกักตัวและไม่ต้องตรวจโควิด ก็สามารถเที่ยวได้ทันที มาเถอะ! ได้เวลามาเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่หลังโควิดกันแล้ว ถ้ายังไม่มีแพลนมาเริ่มตามพวกเราเลยที่สิงคโปร์
Disclaimer: ทริปนี้ถ่ายทำภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมความปลอดภัยของสถานการณ์โควิด-19 ณ เวลาถ่ายทำ