ความทรงจำแรกของแม่ฮ่องสอนสำหรับเราคือ ขอแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนครั้งแรกสมัยม.ปลาย และความทรงจำที่สองที่มีให้ที่นี่คืออ้วกมันทุกวัน! ทั้งขาไปและขากลับอ้วกจากการเมารถ ส่วนระหว่างเที่ยวก็อ้วกจากการเมาเหล้า ชีวิตวัยเด็กก็แบบนี้แหละทั้งสวยทั้งเปรี้ยวเสมอ นั่นคือความทรงจำสุดท้ายที่ผ่านมาเกี่ยวกับแม่ฮ่องสอนและนานไม่ต่ำกว่า 10 ปี!
แต่การกลับมาครั้งนี้ทำให้รู้ว่า พอโตขึ้นเราจะอ้วกน้อยลงไม่ว่าจะเมารถหรือเมาเหล้าก็ตาม.. แต่สิ่งที่ไม่น้อยลงไปเลยคือความสวยงามของแม่ฮ่องสอน ข้าวฟืนของพี่คนสวยชาวไทยใหญ่ที่เคยกินก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ข้าวหนุกงาที่รสชาติเค็มๆหวานๆ ของอิ่มท้องประจำหน้าหนาวของชาวเหนือก็ยังมีให้กินง่ายๆ ตามถนนคนเดิน แม่ฮ่องสอนทริปนี้เลยเป็นทริปชิลๆ ที่คิดถึงแบบ 3 วัน 2 คืน ที่เปลี่ยนไปคือไม่แวะเซลฟี่กับสะพานฮักจัง และไม่มโนว่าเราก็สวยเหมือนพอลล่าอีกแล้ว ?
3 วัน 2 คืนไปง่ายมาก เอาเบาๆ แค่ 8 Locations ก็เต็มอิ่มและแฮปปี้มากมากแล้ว!
ทริปนี้สตาร์ทจากเชียงใหม่บ้านเกิดเมืองนอน เราขอแนะนำให้แวะพักเชียงใหม่ซักคืนแวะเที่ยวคาเฟ่จิบกาแฟกันเพลินๆ แล้วออกแต่เช้ามุ่งหน้าไปยังแม่ฮ่องสอน จากเชียงใหม่ไปบ้านรักษ์ไทย ตีไปซะ 6 ชั่วโมงรวมเวลาเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เธอเหนื่อยกับการนั่งรถมากเกินไปในแต่ละวัน ก็อัดเดินทางยาวในวันแรกๆ ไปเลย เพราะกำลังตื่นเต้นอยู่ เพื่อนฝูงที่ไปด้วยกันจะยังงอแงไม่มาก แพลนที่ควรเดินทางคือ เชียงใหม่-บ้านรักษ์ไทย-ปางอุ๋ง-บ้านจ่าโบ-ปาย แพลนทริปประมาณนี้จะทำให้ขากลับเข้าเชียงใหม่จะนั่งรถแค่ประมาณ 2.30 ชม.ชีวิตดีย์ไปอี๊ก!
ทริปนี้เราออกเดินทางไปกับ Samsung Galaxy Note20 เหมือนเดิม ถ้าจะมีสมาร์ทโฟนดีๆ ซักเครื่องที่เหมาะแก่การเดินทางเจ้าเครื่องนี้แหละที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะ Feature นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้เราใช้งานได้สะดวกระหว่างเดินทางจริงๆ
Disclaimer : วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note20 และภายในเครื่องเท่านั้น ภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งบางส่วนในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้อุปกรณ์อื่น*
บ้านรักษ์ไทย
จิบชาร้อน นอนบ้านดิน กินขาหมูและล่องเรือในทะเลสาบ
ที่นี่อยู่ใกล้กับตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมากกว่าอำเภอปาย แต่ไกลจากเชียงใหม่มากกว่า เราแนะนำให้ตรงมาที่นี่เป็นที่แรกเพราะขากลับเชียงใหม่จะได้นั่งรถไม่นานเกินไป หมู่บ้านของชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนยูนนานที่อพยพกันมาตั้งแต่อดีต แต่พวกเขาไม่ได้มาแต่ตัวเท่านั้น เพราะเอาวัฒนธรรมการกิน อาหารอร่อย และวิถีการใช้ชีวิตมาด้วย เพราะฉะนั้นมาเที่ยวที่นี่เหมือนได้กลับไปเที่ยวเมืองจีน ไต้หวัน เลยแหละเธอ บรรยากาศ การเปิดเพลง กิจกรรมเหมือนชนิดที่ว่าน้ำตาไหลเพราะคิดถึงได้เลย
สำหรับที่พัก ที่นี่อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะเป็นที่พักที่คนในพื้นที่ทำกันเอง ถ้าดีที่สุดน่าจะเป็นลีไวน์รักไทยรีสอร์ทที่ต้องจองล่วงหน้ากันนานนิดนึงเพราะเต็มเร็วมากๆ แต่ไม่ว่าจะที่ไหนๆ บ้านดินในทุกรีสอร์ทของบ้านรักษ์ไทยก็สะอาดสะอ้านและมีน้ำอุ่นให้อาบทุกที่ไม่ต้องกังวลเลย
เราพักกันที่นี่ 1คืนเพื่อรอตื่นแต่เช้าตรู่ไปปางอุ๋ง กิจกรรมในบ้านรักษ์ไทยก็เหมาะกับสายสโลว์ไลฟ์แบบเราๆ นั่งจิบชา วาดรูป ใช้ชีวิตเบาๆ ดูน้ำไหลและเดินเล่นในไร่ชาของลีไวน์บ้านรักษ์ไทยรีสอร์ท ที่สามารถเข้ามาถ่ายรูปได้แม้จะไม่ได้พักที่นี่ แต่ต้องอย่าเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่นๆ กันด้วยนะ
เราใช้เวลาในร้านลีไวน์คอฟฟี่นานที่สุดเพราะร้านน่ารักและได้ฟีลลิ่งเหมือนนั่งในคาเฟ่แถวๆ จิ่วเฟินที่ไต้หวัน ที่นี่มีบริการล่องเรือในทะเลสาบบ้านรักษ์ไทย ราคาหลักร้อยนั่งได้ 4 ท่านพร้อมกา 1 หม้อถือว่าคุ้มนะ เพราะบรรยากาศดีและฟินมากก
เดินทางพร้อมกับ Samsung Galaxy Note20 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับ Feature เพื่อนักเดินทางที่อยากอัพโหลดและแชร์โมเม้นท์ดีๆ ให้เพื่อนได้ทันที คือสามารถเลือก Footage และตัดต่อวีดิโออย่างง่ายได้ทันที แถมยังสามารถใส่ Filter ในวีดิโอเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวให้ชัดเจนและไม่มีใครเหมือนได้อีกด้วย ถ่ายก็ง่าย ตัดต่อก็สะดวกใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น
หลังพระอาทิตย์ตกดินบ้านรักษ์ไทยก็มอบ Vibes ดีๆ ให้กับเรามากขึ้นด้วยเสียงเพลงจีนจากร้านขายชาซักร้าน พร้อมกับปิ้งย่างหม่าล่าไม้โตให้เดินกินอย่างฟินๆ ท่ามกลางบรรยากาศในหุบเขา ทะเลสาบ และวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนที่ไหนในไทย
ปางอุ๋ง (โครงการพระราชดำริปางตอง 2)
ใครๆ ก็เรียกที่นี่ว่า สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย แต่สำหรับเราปางอุ๋งก็คือปางอุ๋งที่มีเสน่ห์แบบไม่มีใครเหมือน จากบ้านรักษ์ไทยมาที่นี่ไม่จำเป็นต้องออกตั้งแต่ตี 3 เหมือนมาจากปายเพราะใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เธอก็จะพบกับอ่างเก็บน้ำ ทิวสน และหงส์ขาวที่มาต้อนรับเธอพร้อมลมโชยอ่อนๆ และสายหมอก ซึ่งทั้งหมดรวมทั้งเราด้วยกำลังรอพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมๆ กัน ?
รอบๆ อ่างเก็บน้ำมีจุดให้กางเต็นท์เยอะมาก และสวยๆ ทั้งนั้นซึ่งสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯได้เลย มีทั้งให้นำเต็นท์มาเองและเช่าของอุทยานฯ ช่วงที่เราไปกำลังมีการก่อสร้างบ้านพักขึ้นด้วย เชื่อว่าอีกหน่อยสำหรับคนที่อยากค้างคืนคงสะดวกมากขึ้นแน่ๆ
ส่วนใครที่อยากล่องแพในอ่างเก็บน้ำก็สามารถติดต่อชาวบ้านแถวนั้นได้ ลำละ 150 บาทใช้เวลาประมาณ 30 นาที นั่งได้ลำละ 2 คน ทะลุเข้าไปในสายหมอกช้าๆ ถ้าโชคดีน้องหงส์พระราชทานก็จะว่ายมาเลียบเคียงแล้วล่องไปด้วยกัน
สาย Vlog ที่อยากอัดวีดิโอเก๋ๆ ระหว่างล่องเรือ และอยู่คนละลำกับเพื่อนจะตะโกนกันดังๆ ก็กลัวเต็นท์ริมน้ำที่พักผ่อนกันอยู่ตื่น ไหนๆก็เปลี่ยนมาใช้ Galaxy Note20 แล้ว แนะนำให้เปลี่ยนเพิ่มความเก๋กว่าเดิมด้วยการเพิ่ม Galaxy Buds Live หูฟังที่ออกแบบมาให้เข้ากับสรีระ เป็นเอกลักษณ์และดีไซน์เก๋กว่าหูฟังทั่วๆ ไป แถมมีไมโครโฟนคุณภาพสูงให้เธอพูดไปด้วย และเพื่อนคอยอัดอยู่บนแพลำข้างๆ ดู Exclusive สุดๆ ไม่ต้องถือไมค์ให้เกะกะ
แดดเริ่มออกก็สามารถเดินเล่นบริเวณทิวสนท่าน้ำที่ยื่นออกไปในอ่างเก็บน้ำได้ด้วยนะ เตรียมชุดให้สีคลุมธีมและนัดกับเพื่อนให้เรียบร้อยเธอจะได้ภาพที่สวยและดูเป็นธรรมชาติกันสุดๆ!
บ้านจ่าโบ
กินก๋วยเตี๋ยววิวหลักล้าน แต่รสชาตินั้นไม่นับละกันค่ะ!
จากปางอุ๋งเรากลับเข้าไปเก็บของและอาบน้ำที่บ้านรักษ์ไทยกันให้เรียบร้อยและออกเดินทางต่อไปยังอำเภอปาย ระหว่างทางจากบ้านรักษ์ไทยไปปาย เธอจะผ่านบ้านจ่าโบ สถานที่ยอดฮิตที่ใครๆ ก็ชอบมานั่งทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขากับวิวทิวเขาฟินๆ ด้านหน้าและลมเย็นพัดโชยตลอดวัน เราเองก็ลองแวะเช่นกัน วิวนั้นสวยใช้ได้เลย ส่วนรสชาติของอาหารนั้นมันก็หลากหลายเพราะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบเป็นเรื่องปกติ สำหรับเรานั้นสดน้ำซุปร้อนๆ ให้คล่องคออย่างเดียวก็ได้อยู่ 555
เมืองปาย
จากบ้านจ่าโบมาตัวเมืองปายใช้เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น เราพักปายกันอีก 1 คืน ที่พักของเราคืนนี้ชื่อว่า Pai Village Boutique Resort & Farm เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ อยู่ติดๆ กันและอยู่ในตัวเมืองปาย เดินไปไหนก็สะดวกมาก ที่พักโอเค แอร์เย็น ห้องน้ำสะอาด แต่ห้องพักขนาดเล็กไม่ค่อยเก็บเสียง แนะนำว่าถ้าพักที่นี่ขอบ้านพักด้านในหน่อย ถ้าอยู่ใกล้ถนนหรือโซนด้านหน้าตอนกลางคืนจะเสียงดังเพราะมีผับบาร์อยู่ใกล้ๆ
สำหรับเมืองปายเราตกลงกันว่าเที่ยวชิวๆ ที่สุด เน้นถ่ายรูป เดินกินของอร่อยและไม่วุ่นวายเท่านั้น สรุปออกมาได้ 6 ที่คือ
- สะพานบุญโขกู้โส่
- กองแลน (ปายแคนยอน)
- โป่งน้ำร้อนไทรงาม
- ทะเลหมอกหยุนไหล
- Cocolino Café
- ถนนคนเดินเมืองปาย
สะพานบุญโขกู้โส่
ที่นี่เป็นที่เที่ยวใหม่ของปายที่พึ่งเปิดได้ไม่นาน ตั้งแต่ 08.00 -17.00 น. จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 20-30 บาท (จำราคาแน่นอนไม่ได้) โดยสามารถเอาไปแลกของที่ระลึกหรือขนมท้องถิ่นได้ 1 ถุง ที่นี่เป็นสะพานไม้และมีการปลูกดอกไม้และนาข้าว ทำให้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปบนสะพานจะมีความเขียวของนา และความเหลืองของดอกไม้ปะปนกันไป เมื่อไหร่ที่แสงแดดอ่อนๆ มากระทบก็สวยงามน่าดูเชียว
กองแลน
เดินขึ้นไปบนกองแลน เนินดินสีแดงที่ชาวต่างชาติชอบขึ้นมาดูวิว Sunset กันที่นี่ กองแลนเป็นเนินดินที่สูงพอสมควร ต้องระมัดระวังเวลาปีนป่ายขึ้นไปด้านบน จุดชมวิวสำหรับที่นี่จะเห็นวิวทิวเขาเมืองปายและบ้านเมืองอยู่ไกลๆ สำหรับเราที่นี่ไม่ได้สวยว้าวอย่างที่คิด ถ้าไม่มีเวลาก็ข้ามได้เลย
โป่งน้ำร้อนไทรงาม
แอ่งน้ำเล็กๆ ที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตาน้ำผุดขึ้นมาเป็นน้ำอุ่นที่ใสและนิ่งมาก ลองจินตนาการว่าอากาศเย็นๆ แล้วเธอมานั่งแช่เท้าและฟังเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บ จิ๊บจิ๊บ แล้วเธอก็หันไปยิ้มไปกับนกตัวน้อยมันเป็นโมเม้นท์ใกล้ชิดธรรมชาติที่ก็ฟินดีเหมือนกันนะคะเนี่ย โป่งน้ำร้อนไทรงามใสมากๆ และสามารถว่ายเล่นได้ทั้งตัว
Cocolino Café
ร้านเล็กๆ บนเนินเขาที่ทางขึ้นยากพอสมควรแต่วิวนั้น 180 องศาสุดอลังการ ขึ้นไปแวะดื่ม Mocktails กันซักแก้วแล้วนั่งเพลินๆ ชมวิวซักชั่วโมงก็ชิวไปอีก เอ้อ! ระหว่างทางจะมีทุ่งนาของชาวบ้านที่เหมือนคล้ายเป็นนาขั้นบันไดให้ลงไปถ่ายภาพระหว่างทางได้เก๋ๆ แต่… ระมัดระวังไม่ทำลายต้นข้าวกันด้วยนะคะ
ถนนคนเดินปาย
ตกดึกมาถ้าไม่อยากทานอาหารเป็นมื้อใหญ่ๆ ก็มาเดินถนนเดินทางปายได้ ที่นี่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีทั้งอาหาร Street foods ง่ายๆ ทั่วไป และอาหารที่หาทานยากอย่างเช่นข้าวฟืนของชาวไทยใหญ่ และข้าวหนุกงาที่เอาข้าวเหนียวมาตำให้เป็นเนื้อเดียวกันผสมกับงาดำและย่างไฟร้อนๆ ราดด้วยน้ำตาลอ้อย อร่อยอย่าบอกใคร และมาเที่ยวปายอย่างนึงที่ทำให้นึกถึงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วคือการเลื้อกซื้อโปสการ์ดแล้วส่งกลับไปให้ตัวเองหรือคนที่กำลังแอบชอบ ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะต้องขอที่อยู่ไว้ล่วงหน้าก่อนเดินทางเป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงของปายเลยนะที่ทำให้เราโหยหาอดีตแล้วนั่งยิ้มกริ่มไปกับมัน
ทะเลหมอกหยุนไหล
ทะเลหมอกที่มาบางครั้งอาจจะไม่เจอหมอก แต่วิวฟินๆ ชาร้อนและหมั่นโถวก็เยียวยาได้ทุกสิ่ง ทะเลหมอกหยุนไหลเป็นอีกจุดชมวิวทะเลหมอกยามเช้าแต่เปิดบริการทั้งวัน มีทั้งจุดกางเต็นท์ ลานกิจกรรมให้นั่งทานอาหารและจิบน้ำชา กับมุมที่มีสะพานยื่นออกไปให้เดินดูวิวได้แบบ 180 องศา
ช่วงที่เราไปนั้นไม่เจอหมอก 555 แต่ไม่เสียใจเลยเพราะบรรยากาศด้านบนนั้นดีมาก วิวสวยและหมั่นโถวทอดอร่อย ที่นี่ถ้ามีผู้สูงอายุมาด้วยก็เที่ยวได้ง่ายๆ เพราะทางเดินขึ้นไปไม่ชันและไม่ไกล ส่วนวิวนั้นก็สวยเว่อร์วังจริงๆ
แม่ฮ่องสอน 3วัน 2คืนรอบนี้เหมือนได้กลับมารีเฟรชตัวเองใหม่อีกครั้ง เหมือนได้เที่ยวกับความเยาว์วัยสมัยก่อนที่ขอแม่มาเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ที่นี่ยังคงเป็นเมืองที่ผู้คนน่ารัก ใจดี ยิ้มง่ายไม่ต่างจากเดิม ถ้าอยากเที่ยวธรรมชาติ เบื่อเมืองแมสๆ มาพิชิต 1,864 โค้งจากเชียงใหม่ แล้วมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่แม่ฮ่องสอนกัน!
ถ้าใครกำลังมองหารถเช่าจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนอยู่ แนะนำให้ติดต่อพี่หนุ่ม พี่หนุ่มเป็นหัวหน้าทีมรถตู้เชียงใหม่ที่เราใช้ประจำ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องใช้รถตู้จะเรียกหาทีมของพี่หนุ่มตลอด ใจดี สุภาพ ขับเก่งไม่เมาไม่อ้วกแน่นอน ติดต่อที่เบอร์ 081-980-9063 บอกได้เลยว่าได้เบอร์มาจากคุณเป้ ไปไง มาไง :)
