‘เอาที่นี่แหละ!’ เราบอกกับเพื่อนทันทีตอนที่คุยกันว่าอยากไปอินโดนีเซียแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปส่วนไหนของอินโดฯ แต่พอเห็นรูปหมู่เกาะ Flores ปุ๊ป ก็เหมือนได้ต้องตากับหนุ่มมุสลิมรูปงามแล้วรู้สึกถูกชะตาจนอยากไปเจอด้วยตัวเองซักครั้งจึงเป็นที่มาของทริป Flores 3 วัน 2 คืนที่มีคุณค่ามาก เอาหล่ะขอเกริ่นสั้นๆ ก็พอเพราะทริปสั้นทริปนี้มันพีคทุกวันเลย และทริปนี้เราออกเดินทางกับ Galaxy S10 เธอต้องเชื่อได้แล้ว ว่ารูปภาพเกือบทั้งหมดในทริปนี้เราถ่ายด้วย Galaxy S10 นี่คือมือถือที่เป็นได้มากกว่ามือถือ แต่คือเพื่อนที่ฉลาดขึ้นและรู้ใจกันมากขึ้นทุกวัน
มาเถอะ! กระโดดขึ้นเรือไปเที่ยวหมู่เกาะ Flores ที่มีเจ้ามังกร Komodo อาศัยอยู่มากที่สุด ระวังตัวไว้แล้วออกเดินทาง!
*ภาพและวีดิโอในรีวิวนี้ถ่ายทำด้วย Samsung Galaxy S10 ตลอดทั้งคลิป ยกเว้นฉากบนอากาศ และใต้น้ำ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น*
Day 1 – เครื่องบินจอมดีเลย์ และฝูงค้างคาวที่ตรงเวลา!
วิธีที่ดีที่สุดที่จะเข้าสู่หมู่เกาะ Flores ได้คือเครื่องบิน! ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีสายการบินไหนของไทยบินตรงมาถึงที่นี่ได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะมาถึงเราต้องต่อเครื่องอย่างน้อย 1 รอบเพื่อมาลงที่เมือง Labuan Bajo เมืองหลวงของหมู่เกาะนี้ เส้นทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดจากไทยคือบินตรงมาลงที่บาหลีก่อนเป็นอันดับแรก เรานั่งไทย แอร์เอเชียบินตรงจากกรุงเทพมากถึงวันละ 3 เที่ยวบินสู่บาหลี ความดีงามของไทย แอร์เอเชีย คือไฟลท์เวลาดีมาก เช้า สาย และดึก เหมาะแก่คนวันลาน้อยๆ เธอสามารถบินตรงตอนศุกร์กลางคืนและกลับเช้ามืดวันจันทร์เพื่อทำงานต่อได้เลย เก๋ตรงนี้!
และบินนานๆ อย่าลืมสั่งอาหารร้อนล่วงหน้ากันด้วยนะ ตอนนี้มีเมนูใหม่คือ Red Burger / ชานมไข่มุกบุกและชีสเค้กหน้าไหม้ บอกเลยว่าอร่อยทั้ง 3 อย่างราคารวมๆ กันก็ถือว่าคุ้มเพราะมากินข้าวบนฟ้า และเบอร์เกอร์นี่ชิ้นใหญ่แบบเบ้อเร่อเลยนะ ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคแน่นอน
ส่วนจากบาหลี มายังลาบวน บาโจ มี 3 สายการบินหลักๆ ที่ให้บริการคือ Wing Air (Lion Air) , Nam Air , Garuda Indonesia สองสายการบินแรกเป็น Low Cost ซึ่ง Wing Air จะไม่รวมน้ำหนักกระเป๋า ส่วน Nam Air จะรวมให้แล้ว 15 กิโล แต่.. สองสายการบินแรกนี้เก่าและดีเลย์บ่อยมาก เพราะเครื่องน้อยถ้าเสียลำนึงคือกระทบกับไฟลท์อื่นๆ ต่อกัน ส่วน Garuda Indonesia เป็นสายการบินแห่งชาติที่ดูดีที่สุดและแพงที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นแนะนำให้เลือกดีๆ เผื่อเวลาต่อเครื่องให้นานหน่อยเผื่อเกิดเหตุสุดวิสัย เรานั่ง Nam Air มา ไปกลับเกือบ 6,000 ขาไปดีเลย์เกือบห้าโมงชั่วเต็มเสียเวลาเที่ยวไปแล้วครึ่งวัน โกรธมากค่ะแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเลือกของถูก 555 แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วเครื่องบินทั้ง 2 ขาล่วงหน้านานหน่อยเราว่า 10,000 บาทไม่มีเกินแน่นอน
และข่าวอัพเดตมาล่าสุด! ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2562 Indonesia AirAsia Indonesia เปิดเที่ยวบินตรงใหม่จาก Denpasar-Bali ไปยัง Labuan Bajo ทำให้เพื่อนๆ มีทางเลือกใหม่ที่สะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมเยอะ เพราะแอร์เอเชียนั้นตรงเวลาและประหยัดกว่าใคร แถมเส้นทางนี้ฟรีน้ำหนักกระเป๋า 15 กิโลด้วยนะ!
*แนะนำว่าขาไปให้นั่งซ้ายของเครื่องบิน ถ้าฟ้าใสอากาศดีเธอจะเห็นวิวเป็นภูเขาไฟอากุงที่มีชีวิตและภูเขาไฟรินจานีด้วย
3 วันใน Flores เราเลือกนอนบนเรือและเที่ยว Hopping ตามเกาะต่างๆ ไปตลอดทั้งวัน เราแนะนำให้คนที่มาที่นี่ค้างบนเรือแทนที่จะไปกลับจากฝั่งในทุกๆ วัน เพราะไม่ต้องขึ้นฝั่งบ่อย นอนบนเรือและใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ เราเลือกเรือแบบที่มี 5 ห้องนอนและมีแอร์ทุกห้อง สะดวกสบายตามสบาย มันคือเรือประมงดัดแปลงที่เอามาซอยเป็นห้องพัก ถามว่าสบายมั้ยก็ไม่นะ 555 แต่นอนหลับทุกคืน เรือจะค่อยๆ แล่นช้าๆ ตอนกลางคืนเพื่อไม่ให้เราเมา สะดวกดีมีห้องน้ำและอาบน้ำทุกวัน
*ถ้าเดินทางกัน 4 คนขึ้นไป ค่าเรือ 3วัน 2คืน รวมอาหารทุกมื้อไม่ควรเกิน 10,000บาทต่อคนนะ*
Kelor Island
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เราเดินทางแบบกิน-นอน บนเรือ Hopping ตามเกาะไปเรื่อยๆ หลังจากเครื่องบินดีเลย์ทำให้ต้องตัดบางส่วนออก วันแรกเราเริ่มกันที่ Kelor Island เกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ฝรั่งหลายๆ คู่ชอบมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่เพราะใกล้ฝั่ง เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ แถมยังมีสันเขาให้ปีนขึ้นไปดูวิวด้านบนได้ด้วย เราแวะลง Kelor เป็นเกาะแรก น้ำใส หาดทรายขาวแต่เดินอาจจะต้องระวังนิดนึงเพราะเศษหอยค่อนข้างเยอะ
อยากพูด Feature ที่ชอบมากที่สุดตอนนี้ของ Galaxy S10 คงจะหนีไม่พ้น Live Focus ใช้บ่อยที่สุดเพราะมันทำให้ภาพดูมีหลากหลายมิติมากขึ้น ทำหน้าชัดหลังละลาย และสามารถปรับแต่งหลังละลายนั้นให้มีหลายเอฟเฟคต์เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย สนุกกับการเดินทางที่แปลกใหม่ พร้อมด้วยมุมมองที่แตกต่าง ทำให้ทริปพวกนี้มันดูมีอะไรเยอะขึ้นไปอีก
เรือล่องไปเรื่อยๆ ช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกดินเพื่อไป Kelong Island บรรยากาศแบบมากับเพื่อนก็นั่งหัวเราะกันคิกคัก ถ้ามากันแฟนก็ฟีลโรแมนติกที่สุด ที่เกาะนี้เราจะไม่ได้ขึ้นฝั่งเพราะไม่ใช่ที่อยู่ของคนแต่เป็นค้างคาวนับแสนตัว!
Kelong Island หรือฝรั่งเรียกกันว่า Fruit Bat Island เป็นที่อยู่ของ Flying Foxes หรือบ้านเราเรียกว่าค้างคาวแม่ไก่นั่นเอง เกาะนี้เป็นที่อยู่ของพวกค้างคาวที่คนขึ้นไปไม่ได้ เพราะมันเต็มไปด้วยป่าโกงกาง เอาไว้ให้ค้างคาวแม่ไก่พวกนี้อาศัยอยู่ เคยดูหนังที่ค้างคาวดูดเลือดใช่มะ! แต่นางค้างคาวแม่ไก่พวกนี้เนี่ยกินผลไม้ที่สุกงอมเป็นอาหาร ขี้อายและไม่ทำร้ายมนุษย์ กลางวันนอน กลางคืนหากิน เพราะฉะนั้นช่วงเย็นควรมาแวะดูและเป็นกำลังใจให้ค้างคาวแม่ไก่พวกนี้ออกไปหาอาหารจ้า ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยฝูงค้างคาวนานหลายสิบนาที อลังการมากกกกกก!
Day 2 – Hello Komodo
เรือล่องเอื่อยๆ พอเช้าก็จอดที่เกาะต่อไป สำหรับแพลนของเราวันนี้เดินทางด้วยกันทั้งหมด 4 เกาะ เป็นผลมาจากเครื่องบินดีเลย์เมื่อวานทำให้ต้องยัดเยอะหน่อย แต่ไม่เหนื่อยเลยเพราะตื่นเต้นและสวยทุกเกาะจริงๆ แถมเรานอนบนเรือ ถึงปุ๊ป ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำแล้วเที่ยวต่อได้เลยไม่ต้องนั่งรถหรือนั่งเรือนานๆ เราขอแนะนำว่า Rinca – Komodo – Padar ทั้ง 3 เกาะนี้ควรไปเที่ยวในวันเดียวกัน เพราะเป็นเขตอุทยานแห่งชาติจะมีค่าเข้าโดยที่นี่จะเก็บเป็นวัน จ่ายครั้งเดียวเที่ยวได้หมดแต่ต้องภายในวันเดียวกัน และไปจ่ายเฉพาะค่าเข้าหรือค่าไกด์ท้องถิ่นเพิ่มอีกนิดหน่อย ที่ต้องแนะนำแบบนี้เพราะค่าเข้าอุทยานไม่ถูกนะจ้ะ รวมๆ แล้วตกคนละเกือบพันบาทอยู่นะ เราแวะเกาะแรกที่ Rinca Island
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบนเกาะนี้เรียกว่า Loh Buaya หรือ Crocodile Bay มีทั้งเดินแบบไกลและแบบใกล้ แน่นอนว่าคนแบบพวกเราที่ถึงไหนถึงกัน แต่หนักไม่เอา เบาไม่สู้นั้นรีบถามก่อนเลยว่า “สวยเหมือนกันมั้ยคะพี่” เมื่อได้คำตอบว่าสวยเหมือนกันก็เลือกเลยค่ะ ‘เอาเส้นที่ใกล้และเดินน้อยที่สุดค่ะพี่’ 555555
ระหว่างเดินขึ้นไปจุดชมวิวด้านบน เราจะได้เจอกับ Komodo บอกไว้ก่อนว่าเจ้ามังกรพวกนี้มันไม่ได้เจอง่ายๆ นะ เพราะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ บทจะออกมาเดินก็มา บทจะหนีหายไปเลยก็มี เพราะฉะนั้นบางคนมาแต่ไม่เห็นเลยก็มี ไม่มีแบบเลี้ยงไว้ในกรงเพราะเป็นสัตว์ที่ดุร้าย และเชื้อโรคเยอะมาก จนท. บอกว่าเราโชคดีมากที่มาตั้งแต่เช้าตรู่เพราะมังกรเยอะ!
มังกร Komodo มีสปีชีส์เดียวกันกับตัวเงินตัวทองบ้านเรานั่นแหละ แต่อันตรายและตัวใหญ่กว่ามาก พิษร้ายของมันอยู่ที่น้ำลาย คนที่โดนกัดไม่ได้ตายทันที แต่จะตายด้วยเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำลายของมัน วิธีการล่าเหยื่อของมังกรพวกนี้มันสมารถล้มควายได้เป็นตัวๆ เพียงแค่กัด แล้วสะกดรอยตามเหยื่อของมันไปเรื่อยๆ จนเหยื่อตายเพราะเชื้อโรคมันถึงจะกินเหยื่อนั้น ไกด์และเจ้าหน้าที่ของอุทยานบอกว่า เกิดมายังไม่เคยจับตัวมังกรตอนมีชีวิตเลย จะจับได้ก็ต่อเมื่อมันตายแล้วเท่านั้น
อะ! ถ่ายไฮไลท์ของทริปนี้ด้วย Galaxy S10 ซะหน่อยเพิ่มความน่ากลัวและพิศวงให้มันด้วย Live Focus น่ากลัวขึ้นไปอีกก
มังกรเด็กจะอาศัยอยู่บนต้นไม้ มีชีวิตที่น่าสงสารมากเพราะพอคลอดออกมาปุ๊ปต้องหนีขึ้นต้นไม้เลยเพราะแม่มันจะกิน พออายุได้ซัก 2-3 ปีตัวโตแล้วถึงจะค่อยๆ คลานลงมาใช้ชีวิตบนพื้น นี่คือสัตว์อนุรักษ์และใกล้ศูนย์พันธุ์ของอินโดนีเซียเลยนะ
จากนั้นก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆ ตามเส้นทาง Short Trekking ด้านบน สวยงามคุ้มค่า เป็นวิวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทุ่งหญ้าแห้งสลับภูเขา มองไกลๆ ออกไปเห็นน้ำทะเลสีครามกับฝูงเรือที่จอดเรียงรายรอรับ-ส่งนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา และด้วย Galaxy S10 มีทั้ง Super Ultra Wide และ Live Focus ทำให้เก็บภาพได้กว้างขึ้นและมีหลากหลายมิติกว่าเดิม เราใช้เวลาอยู่ตรงจุดชมวิวประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะเริ่มร้อนและต้องรีบไปเกาะอื่นที่สวยและพีคกว่านี้ รู้สึกดีมากๆ ที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ทุกอย่างมันดูเป็นใจไปหมดเลย ทั้งวิว อากาศ ผู้คนและ Budget ที่ไม่ต้องมีเป็นแสนๆ ก็ได้วิวหลักล้านแบบนี้ได้
เกาะที่ 2 ของเราคือ Padar Island ถ้า Rinca เป็น Hilighted สายสัตว์เลี้ยง Padar คือ Hilighted สายวิวอลังการแบบสุดลูกหูลูกตากันเลยทีเดียว ความดีงามของการนั่งเรือเที่ยวแบบนี้คือมันไปได้เรื่อยๆ ระหว่างทางก็ชมวิวสุดพีคของเกาะต่างๆ แต่ละเกาะห่างกันไม่เกิน 1.30 ชม. บางเกาะอาจจะใกล้กว่ากันแค่ประมาณ 20 นาที ทำให้เราเก็บได้ครบทุกเกาะภายในวันเดียว เวลาจอดแต่ละเกาะเรือใหญ่ของเราจะเข้าฝั่งไม่ได้เพราะเป็นชายหาด ต้องนั่งเรือลำเล็กพ่วงออกไปอีกทีนึง
Padar Island คือวิวยอดฮิตที่ต้องเดินขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูวิวอ่าวทั้ง 3 อ่าว เราแนะนำว่าควรมาแต่เช้าตรู่หรือไม่ก็คล้อยบ่ายไปเลย เพราะระหว่างทางเดินที่ค่อนข้างสูงและชันนั้นไม่มีต้นไม้ใดๆ บังแดดได้เลย อากาศช่วงสายและกลางวันจะร้อนมาก ควรพกน้ำดื่มไปด้วยระหว่างเดินทาง ไม่งั้นอาจจะเป็นลมไปซะก่อน ทางเดินจะมีชุดให้พักระหว่างทางเพื่อถ่ายรูป เราจะค่อยๆ เห็นความสวย เหมือนขึ้นลิฟท์ไปสู่จุดที่สวยที่สุดแต่เปลี่ยนเป็นด้วยสองขาของเราแทน
บนยอดสูงสุดของ Padar Island ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30- 1 ชั่วโมงแล้วแต่ความฟิตของแต่ละคนจริงๆ แต่พอขึ้นมาด้านบนปุ๊ปก็สวยมากกกกกกกกกก มากแบบคุ้มค่าที่ได้มายืนตรงนี้ จริงๆ ไม่ต้องไปถึงบนสุดก็ได้ เอาเท่าที่เราไหวและรู้สึกว่าตรงนี้ก็ถ่ายสวยแล้วก็พอ วิวแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วยกเว้นที่นี่ ถ้าลองมองให้ดี อ่าวที่ 2 ด้านซ้ายมือจะเห็นสีชมพูอ่อนๆ นั่นก็เป็นอีก Pink Beach นึงด้วยนะ สวยไม่แพ้กันเลย
ถ้าเดินทางแบบแพลนของเราเป๊ะๆ ควรจะเสร็จจาก Rinca และ Padar Island ไม่เกินเที่ยงครึ่งเพื่อลงมาทานอาหารเที่ยงบนเรือก่อนล่องไปเกาะต่อไปที่ Komodo Island และ Pink Beach ช่วง Sunset
Komodo Island คือเกาะที่ 3 ของวัน จริงๆ แล้วเกาะที่มีเจ้ามังกรอาศัยอยู่มีประมาณ 4-5 เกาะ แต่มีเพียง 2 เกาะเท่านั้นที่มีคนอาศัยอยู่และนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมได้ บอกตรงๆ ว่าถ้าต้องเลือกระหว่าง Rinca และ Komodo ให้ไปที่ Rinca ดีกว่า เพราะที่ Komodo ไม่สวยเท่า Rinca และทางเดินก็ไม่ได้มีจุดชมวิวเก๋ๆ ถ้าเจอมังกรที่ Rinca แล้วก็ข้ามที่นี่ไปได้เลย ยกเว้นว่ารู้สึกอยากมาให้ครบก็แวะเดินเล่นที่ Komodo ซักชั่วโมงนึงก็ไม่เสียหาย
สิ่งหนึ่งที่เกาะนี้มีแต่เกาะอื่นไม่มีคือ Café 555 เธอสามารถมาซื้อเบียร์เย็นๆ หรือนั่งจิบน้ำผลไม้คลายร้อนพร้อมพิซซ่าได้
Pink Beach เกาะสุดท้ายของวันที่ 2 คือสิ่งที่เราอยากเห็นกับตาตัวเองมากๆ ว่ามันชมพูจริงรึป่าว 555 พอเห็นแล้วก็เข้าใจว่ามันชมพูจริงๆ แต่อาจจะไม่ชัดเหมือนกับรูปภาพที่เคยเห็นกันมา สีชมพูบนหาดพวกนี้เกิดจากปะการังสีแดงที่โดนคลื่นซัดเข้ามาแล้วถับทมหรือแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับทรายทำให้ดูเหมือนหาดกลายเป็นสีชมพู เราเลือกเกาะนี้เป็นเกาะสุดท้ายเพราะอยากอยู่ช่วง Sunset ทั้งเกาะจะได้เหลือแค่กลุ่มเรากลุ่มเดียว ?
Day 3 – เนินทราย ใต้น้ำ และเกาะแห่งการนอนเฉยๆ!
จะว่าไปแล้วทริปนี้เป็นทริปที่ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุดจริงๆ นะ เพราะกิจกรรมที่ทำและไปตลอด 3 วันนั้นไม่มีวันไหนเลยที่ไม่พีค ไม่มีวันไหนเลยที่รู้สึกว่ามันงั้นๆ เพราะสวยคุ้มเงินทุกวัน จนวันที่ 3 ก็ยิ่งหลงรักเข้าไปอีก!
เช้าตรู่ของวันที่ 3 เรานั่งเรือลำเล็กออกไปเนินทรายเล็กๆ กลางทะเลชื่อว่า Takamakassar / Manta Point เราแนะนำให้ตื่นแต่เช้าและไปเดินเล่นถ่ายรูปที่เนินทรายแห่งนี้ตั้งแต่ 7 โมงก่อนที่ทัวร์อื่นๆ จะเริ่มลง เพราะสวยและใสมาก ที่สำคัญใต้น้ำใกล้ๆ นี้เป็นบ้านของเต่าทะเลถ้าเธอโชคดีพวกนางอาจจะว่ายมาทักทาย ส่วนลึกเข้าไปหน่อยคือจุดที่หลายๆ คนมาดำน้ำแล้วเจอเจ้า Manta กันอยู่เป็นประจำ ถามว่าเราเจอมั้ย? ก็ตอบได้เลยว่าไม่เจอจ้า 555
ปะการังสีแดงต้นกำเนิดของ Pink Beach บนเกาะของที่นี่ ไกด์ท้องถิ่นหยิมาให้ดูเพราะโดดน้ำซักเข้ามาเกลื่อนเต็มหาด
ช่วงเช้าเรือจะแล่นไปเรื่อยๆ ไปยังจุดดำน้ำตื้นที่เรียกว่า Siaba Siaba เพื่อให้เรากระโดดน้ำเล่นหรือลงไปดำน้ำใสๆจากเรือ
แนะนำให้เพื่อนๆ เที่ยวทั้ง Takamakassar และ Siaba Siaba ให้เสร็จก่อน 11.00 น. เพื่อขึ้นมากินข้าวอาบน้ำอาบท่าก่อนไปชิวกันต่อที่เกาะสุดท้ายชื่อ Kanawa Island ที่นี่น่าจะเป็นเกาะส่วนตัวหรือได้สัมปทานมาเพราะมีการเก็บค่าเข้าด้วย เราจ่ายไป 200,000 IDR สำหรับ 7 คนหรือประมาณ 5 ร้อยบาท บนเกาะมีเกาะนี้นอนริมหาด ชิงช้า ใต้ร่มไม้พร้อมลมเอื่อยๆ ไม่ว่าเธอจะกลับไปบาหลีด้วย Nam Air หรือ Wing Air เพราะสองสายการบินนี้มีไฟลท์ขากลับใกล้กัน เธอสามาถนอนชิวๆ ที่นี่ได้ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนต้องบอกลาสวรรค์บนผิวน้ำที่สวยพีคทุกวี่ทุกวัน
สำหรับทริปนี้เราให้เป็นอันดับ 1 ความพีคในการเที่ยวอาเซียนประจำปี 2019 กันเลยหละ ฤดูที่ควรมาเที่ยวมากที่สุดก็คือช่วงประมาณกลางเดือนมิถุนายน – กลางเดือนกันยายน เป็นช่วงหน้าร้อนที่ฟ้าสวยมาก น้ำใส ทะเลสวยที่สุดแล้ว และความสวยเหล่านี้เราถ่ายทอดออกมาด้วย Galaxy S10 เพียงเครื่องเดียวจริงๆ ยกเว้นภาพบนฟ้าจากโดรนที่ S10 ตามเราขึ้นไปไม่ได้ นอกเหนือจากนั้นคือศักยภาพของกล้องมือถือรุ่นล่าสุดที่จัดเต็ม ใช้แล้วมีความสุขมาก อุ่นใจได้รูปสวยแน่นอน
ส่วน Budget ของทริปนี้เราแนะนำให้นอนบาหลีก่อนมา 1 คืน และหลังจากกลับไปอีก 1 คืนจะกลายเป็นทริป 4 คืน 5 วันที่ไม่เหนื่อยและไม่เพลียมากเกินไป งบประมาณคร่าวๆ ส่วนใหญ่จะแพงที่ตั๋วเครื่องบิน รวมทั้งหมดแล้วไม่เกิน 25,000 บาทแน่นอน แต่ถ้านับเฉพาะ ค่าเครื่องบินและกินอยู่จากบาหลีมาที่นี่ 3 วัน 2 คืน 15,000 ก็เหลือเฟือและคุ้มค่ามากๆ แล้ว