ถ้าจะบอกว่า ‘สวิสเซอร์แลนด์’ เป็นประเทศในฝันของคนทั้งโลกที่อยากจะไปเหยียบและยืนดูวิวสวยๆ ซักครั้งก็คงไม่เกินจริงไปเท่าไหร่หรอก เพราะตอนที่เราบอกใครต่อใครว่ากำลังจะเยือนสวิสเซอร์แลนด์แต่ก็คนก็ทำตามเยิ้มและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อยากไปบ้างจังเลยอะ!’ ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วเรามีโอกาสไปร่วมทริปฉลองครบรอบ 35 ปีของสายการบินไทยที่เปิดบินตรงจากกรุงเทพสู่ซูริก (Zurich) เลยอยากจะขอเก็บภาพและทำเป็น Mini Review ให้ทุกคนดูซักหน่อย ทริปนี้เป็นการเดินทางแบบสบายๆ ไปยัง Lausanne / Interlaken / Zurich ดูวิวสวยๆ สุดลูกหูลูกตา ชิมไวน์จากไร่ Unescoและตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9แบบ 4 คืน 5 วันสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความสุข
Lausanne – IN THE FOOTSTEPS OF KING.
ไฟลท์ของการบินไทยเข้ายุโรปทุกไฟลท์นั้นเวลาดียอดเยี่ยมคือถึงยุโรปเช้าตรู่ซึ่งสามารถเดินทางไปที่อื่นต่อได้สะดวกมากๆ วันแรกหลังจากเราถึงซูริกก็นั่งรถไฟต่อมายังโลซานน์ทันที โดยซื้อ Swiss Travel Pass จากกรุงเทพมาแล้วเรียบร้อยใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว โลซานน์เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่บนตอนเหนือของทะเลสาบเจนีวา ที่นี่เป็นเมืองขึ้นชื่อมากว่ามีอากาศที่ดีและธรรมชาติสมบูรณ์มากที่สุดเมืองนึงในสวิสเซอร์แลนด์ และเมืองนี้ยังเป็นเมืองที่สำคัญมากๆ สำหรับคนไทยทุกคนเพราะเป็นเมืองที่เจ้านายของเรามาอาศัยอยู่ตอนที่ยังทรงพระเยาว์ ทริปนี้เราเลยจะเดินเล่นตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าพระองค์ทรงเคยอยู่ที่ไหนมาก่อนบ้างในโลซานน์ เที่ยวไปก็ยิ้มไป คิดถึงพระองค์ท่านเหมือนกันเนอะ :)
Stay Luxury at BEAU-RIVAGE PALACE
เราพักที่โรงแรม BEAU-RIVAGE PALACE ที่นี่เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวระดับสูงของโลซานน์ที่เปิดมานานกว่า 160ปีแล้วและที่นี่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นโรงแรมสไตล์รีสอร์ทที่งดงามระดับโลกด้วย ความหรูหราของที่นี่เราสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบเจนีวาและวิวของเทอกเขาแอลป์อย่างชัดเจนและสวยงาม ตลอด 2 คืนที่เราพักที่นี่นั้นบอกเลยว่ารู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงเพราะความหรูหราของห้องพัก เตียงนุ่มและหมอนที่เบาเหมือนขนนกพร้อมกับวิวที่เกินคำว่าอลังการ แฮปปี้มากและโรงแรมนี้เคยเป็นสถานที่ฮันนีมูนของพระบรมราชชนกและสมเด็จย่าฯ ด้วยนะ
และถ้าใครไปเมืองไหนก็อยากลองชิมอาหารดาวมิชลินซักมื้อที่นี่ก็มีให้ครบเลยแหละ แถมเป็นมิชลินระดับ 2 ดาวด้วยชื่อร้าน ANNE-SOPHIE PIC AU BEAU-RIVAGE PALACE อร่อยมากๆ ปกติเวลาเราเดินทางถี่ๆ เราจะไม่ชอบกินอาหารที่มันพิถีพิถันหรือใช้เวลานานๆ แต่อาหารของที่นี่ไม่มีเบื่อเลย เพราะสด อร่อยและเมนูแปลกใหม่ ถ้ามีโอกาสต้องมาลองละแถมอย่าลืมจองล่วงหน้าด้วยเพราะแน่นตลอดทั้ง Lunch และ Dinner จ้า
ต้องบอกก่อนว่าเวลากินอาหารดาวมิชลินที่มาเป็นคอร์สแบบนี้ให้เผื่อเวลาไปเลยอย่างน้อย 2-3 ชม. อย่างมื้อนี้เรากินเสร็จก็บ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว 555 ครั้งนึงเคยไปกินที่ฝรั่งเศสเป็น Dinner มื้อเดียวกินเวลาไปเกือบ 6 ชม. ง่วงก็ง่วง แขกเต็มโต๊ะจะบ้าตาย แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ เพราะต่างประเทศให้ความสำคัญกับการกินมากยิ่งเวลามีแขกมาเยือน
Walking along Lake GENEVA.
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงกำลังจะเข้าหน้าร้อนพอดีหลังจากทานอาหารเสร็จเลยออกมาเดินเล่นริมทะเลสาบเจนวาซักหน่อยเพราะจากโรงแรมข้ามถนนมาก็ถึงเลย เป็นวิวแบบที่ดูไม่มีเบื่อจริงๆ เพราะสวยมาก นั่งดูได้เพลินอย่างมีความสุขที่สุดเป็นชีวิตดีๆ ที่เธอควรมาสัมผัสกันนะ ทะเลสาบเจนีวานี่กินพื้นที่ทั้งสวิสเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสเลยเพราะมันใหญ่มาก ถือว่าใหญ่เป็นอันดับสองของทะเลสาบในทวีปยุโรปรองจากที่ฮังการีแค่ที่เดียวเท่านั้น
IN THE FOOTSTEPS OF KING.
วันต่อมาเรา Walking Tour เล็กๆ กันซักครึ่งวันเพื่อตามรอยเจ้านายอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองที่มีความหมายมากๆ สำหรับคนไทยเพราะพระองค์เคยมาศึกษาและประทับอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่งเลยหละ ด้วยความที่โลซานน์เป็นเมืองเล็กทำให้เดินทางสะดวกมากๆ แค่ครึ่งวันก็ถือว่าตามรอยสถานที่ต่างๆ ของพระองค์ท่านได้เยอะเลย เราเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เดินทางไปที่ Olympic Museum ที่นี่เป็นที่ตั้งของสำนักงานโอลิมปิคสากล บริเวณสวนด้านหน้าก็เต็มไปด้วย World’s Record ต่างๆ ของโลกที่เคยทำสถิติของโลกไว้ให้คนที่ผ่านไปมาลองมาเล่นกัน ความเก๋าของที่นี่คือวิวที่อลังการยามเช้า มีสวนสวยๆ สีเขียว ถัดออกไปคือทะเลสาบเจนีวาที่แดดสะท้อนน้ำแบบระยิบระยับ
Avenue Auguste-Tissot16 ที่นี่ถือเป็นพระตำหนักแห่งแรกเลยเมื่อสมเด็จย่าฯ เสด็จแปรพระราชฐานมายังเมืองโลซานน์พร้อมเจ้านายน้อยของเรา ทรงมาพำนักที่นี่กันก่อนที่จะย้ายไปพรัตำหนักวิลล่าวัฒนาให้สมพระเกียรติ ที่ประทับของพระองค์คือห้องพักชั้นล่างซึ่งปัจจุบันนั้นมีคนอื่นเช่าอยู่ไปแล้ว
Ancienne Academie (Old Academy) สำหรับที่นี่คือสถาบันศึกษาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสำเร็จการศึกษาสาขาวิชานิติศาสตร์มหาวิทยาลัยโลซานน์ ปัจจุบันอาคารหลังนี้ยังคงอยู่แต่ได้เปลี่ยนไปเป็นโรงแรมประถมเรียบร้อยแล้ว
ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงศึกษาอีกที่นึงด้วย เรียกได้ว่าเรียนควบไปเลย 2 ที่ ที่ Rumine Palace ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเรียบร้อยแล้ว
ที่โลซานน์เราสามารถแยกโซนของเมืองได้ออกเป็น 2 ส่วนคือโซนริมน้ำ ทะเลสาบเจนีวาจะเรียกว่า Ouchy ส่วนตัวเมือง จะเรียกว่า Centre-ville หรือว่าย่าน Old Town นั่นแหละ เราแวะไปเที่ยวโบสถ์ Cathédrale de Lausanne เพื่อดูวิวสวยๆ จากด้านบน เราโชคดีมากที่แม้จะมาช่วงฤดูที่ยังหนาวอยู่แต่ฟ้าก็ใสตลอดช่วงที่เราอยู่ ด้านหน้าบองโบสถ์ก็มีซากุระซักพันธ์กำลังบานสวยเชียว ส่วนด้านบนที่ตั้งของโบสถ์ก็สามารถดูวิวเมืองโลซานน์ได้ด้วยนะ
ความเก๋ของเมืองเก่าโลซานน์อีกอย่างนึงคือเค้าเอาคลองมาทำเป็นเมืองด้วยนะ! สังเกตจากสะพานด้านบนที่โครงสร้างมันจะดูโค้งๆ จริงๆ แล้วด้านล่างมันเคยเป็นน้ำมาก่อน แต่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นเมืองแทน ดูดิโคตรเท่! ตอนกลางคืนย่านด้านล่างนั้นจะเต็มไปด้านร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ และแหล่งช็อปปิ้งชั้นดีที่เธอต้องมาเดิน
ช่วงบ่ายเรานั่งเรือออกจากท่าเรือด้านหน้าโรงแรม ย่าน Ouchy นั่นแหละไปยังเมืองเล็กๆ อีกเมืองนึงที่อยู่ติดกับโลซานน์ชื่อว่า Cully (เค้าอ่านกันว่า คัลยี่ ผิดถูกยังไงบอกเราได้นะ) เมืองนี้มีสิ่งนึงที่ยูเนสโกมาขึ้นทะเบียนไว้นั่นก็คือไร่ไวน์องุ่นหรือที่เค้าเรียกกันว่า Lavaux Vineyards เราแวะทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านเล็กๆ ในเมืองนี้ เมนูนึงที่อยากจะแนะนำมากๆ คือ Perch Fish จาก Lake Geneva ปลาตัวเล็กๆ ที่อร่อยมาก ทางร้านจะบรรจงแกะก้างแล้วทำเป็นชิ้นๆ พอดีคำ จิ้มกับมัสตาร์ดหรือมายองเนส พร้อมโรยเกลือและพริกไทยอย่างละนิดละหน่อย โอ้โห.. ดีมากเลยอะ
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จเราก็เอ็นจอยเดินชมวิวริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ เพื่อไปชมไร่ไวน์ จะบอกว่าความยาวกกว่า 30 กิโลริมทะเลสาบเจนีวานี้ทุกพื้นที่คือไร่ไวน์ทั้งหมด ไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นมรดกโลกเพราะถ้าอยู่ในช่วงเพาะปลูกเมื่อไหร่ ที่นี่จะต้องสวยมากแน่นอน
เรามีโอกาสแวะไปทำ Wine Tasting ที่ไร่ของชาวบ้านหลังนึงจะบอกว่าไวน์รสชาติดีมากๆ ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองมาชิม เพราะชาวบ้านนี่ที่ทำกันอย่างพิถีพิถันแถมขายในราคาส่งแบบไม่แพง ควรมีติดไม้ติดมือกันกลับไปซักคนละขวดสองขวด จริงๆ มีหลายฟาร์มมากๆ ที่ติดป้ายไว้สามารถเดินเข้าไปถามได้เลย รับรองจะติดใจเพราะเค้าจะพาเดินชมไร่ พร้อมกับพาเดินลงไปดูโรงบ่มและวิธีการทำไวน์สวิสฯ แบบแท้ๆ กันเลย
ช่วงบ่ายแก่ๆ เรากลับเข้ามาเจนีวา หน้าหนาวก็ต้องเที่ยวแบบทำเวลาซักหน่อยเพราะมืดค่อนข้างเร็ว แต่อากาศก็ดีมากๆ เราแวะไปที่ Denantou Park ใกล้ๆ กับโรงแรมที่พักเป็นสวนสาธารณะที่อยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ความพิเศษของที่นี่คือมี ‘ศาลาไทย’ ซึ่งสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 และฉลองความสัมพันธ์ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ไทย-สวิสฯ
Panoramic Train to Interlaken!
เราออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อกลับไปยังซูริกแต่การเดินทางวันนี้พิเศษกว่าเดิมเพราะเราจะนั่งรถไฟไป Interlaken ก่อนและนั่งเรือไปยังเมือง Thun ก่อนต่อรถไฟอีกรอบเพื่อเข้าซูริก วิธีนี้จะทำให้เราได้แวะเที่ยว Interlaken ด้วย แถมวิวสองข้างทางนั้นเรียกได้ว่าเกินฝัน นี่แหละเค้าถึงเรียกว่าปลายทางก็สำคัญไม่แพ้จุดหมายปลายทางเหมือนกัน
เรานั่งรถไฟจาก Lausanne ไปยัง Montreux ก่อนจะเปลี่ยนแบบรถไฟจากธรรมดาไปเป็น Golden Pass MOB Panoramic จาก Montreux ไปยัง Zweisimmen จะบอกว่าแนะนำเลยคือให้ซื้อ Swiss Travel Pass จากไทยมาให้เรียบร้อยเพราะเธอจะเดินทางสะดวกมากๆ พูดกันตามตรงว่าเจ้า Swiss Travel Pass นี้ราคาก็ค่อนข้างสูงเลยหละ แต่ความคุ้มค่ามันก็เยอะ เพราะใช้เดินทางได้ตลอดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคาใช้จ่าย มันช่วยให้เราประมาณ Budget ได้ง่ายขึ้น นี่แหละคือความสะดวกของ Swiss Travel Pass
จริงๆ แล้วรถไฟสาย Golden Pass นี้สามารถวิ่งยาวๆ จาก Montreux – Luzern ได้เลยแต่เรานั่งแค่ช่วงแรกคือ จาก Montreux ไปยัง Zweisimmen แล้วต่อรถไฟธรรมดาไปยัง Interlaken อีกที ขบวนของรถแบบนี้จะมีทั้งแบบ Classic และ Panoramic รอบนี้เรานั่งแบบ Panoramic จะบอกว่าบัตรเบ่งอย่าง Swiss Travel Pass ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อนั่งขบวนนี้แล้ว ยกเว้นแต่ที่นั่งโซนด้านหน้าสุดของหัวขบวนที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่เธอ.. กระจกมันใหญ่มาก และเห็นวิวแทบจะเรียกได้ว่ารอบทิศแล้วจริงๆ
บอกตรงๆ ว่าเรามาแวะ Interlaken เพราะมันเป็นทางผ่านที่จะกลับเข้าซูริกทางเรือ 555 เลยมีเวลาสัมผัสและเอ็นจอยกับมันน้อยไปหน่อย ขอเมาท์ให้ฟังคร่าวๆ ว่า Interlaken เป็นเมืองระหว่าง 2 ทะเลสาบสำคัญคือ ทะเลสาบ Brienz และ ทะเลสาบ Thun เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของสวิสฯ เพราะเป็นทางผ่านไปยัง Top of Europe หรือยอดเขา Jungfraujoch นั่นเอง แถมที่นี่ยังมีโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในสวิสฯ อย่างโรงแรม Victoria ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราเคยเสด็จมาประทับด้วย
เรานั่งเรือจาก Interlaken West ไปยัง Thun เป็นการนั่งเรือที่ Enjoy วิวสองข้างทางอีกแล้วเพราะสวยมากจริงๆ แถมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมเพราะทุกอย่างรวมอยู่ใน Swiss Travel Pass เรียบร้อยแล้ว ทาน Lunch อร่อยๆ เพลิดเพลินกับวิวสองข้างทาง ออกไปนั่งรับลมที่ดาดฟ้าของเรือผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยริมแม่น้ำ มีความสุขมากกกกกกกก
จาก Thun เรานั่งรถไฟแบบธรรมดาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งกลับเข้าซูริก เพื่อใช้ชีวิตดีๆ กันต่อก่อนกลับกรุงเทพ 555 ที่ซูริกเราพักโรงแรมที่ชื่อว่า Baur Au Lac นี่คือโรงแรมเก่าแก่กว่า 175 ปีที่เป็นอาคารเก่าดั้งเดิมทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรพาะฉะนั้นห้องกว่า 119 ห้องของโรงแรมจะมีแผนผังของห้องที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ไม่ว่าจะกลับมาพักอีกกี่ครั้งเธอจะได้ความรู้สึกใหม่เสมอ
ที่ Baur Au Lac นั้นมีสวนของโรงแรมเองอยู่ด้านหน้า ดอกไม้จะผลัดกันบานตามฤดูการทำให้มีเจ้าผึ้งน้อยมาช่วยกันผสมเกสรในทุกๆ ฤดู ทำให้เค้าต้องทำโรงแรมสำหรับผึ้งโดยเฉพาะเป็นบ้านหลังเล็กๆ โดยมีค่าเช่าโรงแรมคือน้ำผึ้งชั้นดีที่เธอสามารถทานได้ทุกเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม สั่งไปทานในห้องแบบเราสวยๆ หรือจะซื้อเป็นกระปุกกลับไปเป็นของฝากก็ได้
Baur Au Lac มีห้องอาหารที่ชื่อ The Pavillion Restaurant เสิร์ฟอาหารมิชลินระดับ 2 ดาวเหมือนกัน ถ้าอยากได้มื้อพิเศษซักมื้อก่อนกลับกรุงเทพ แนะนำที่นี่เลยอะ ประทับใจทั้งการบริการและอาหาร เนื้อนุ่มละมุนลิ้นที่สุด บริการดีมากกก
ที่ซูริกนั้นเรามาเพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมสำนักงานการบินไทยที่กำลังครบรอบ 35 ปีในเดือนพฤศจิกายน 62 ซูริกเป็นเมืองที่สวยและใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป เราอยากแนะนำว่าให้มาพักผ่อนช็อปปิ้งที่ซูริกกันซัก 2 คืนแวะเดินเล่นแบบโรแมนติกรอบๆ ทะเลสาบซูริก เดินชมสถาปัตยกรรมเมืองเก่าของที่นี่
ซูริกเป็นเมืองที่ปลอดภัยและสามารถบินตรงจากกรุงเทพกับการบินไทยมาถึงที่นี่ได้ง่ายๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ที่ดี และในโอกาสครบรอบ 35 ปีที่การบินไทยเปิดบินตรงสู่ซูริก ที่นี่มีตุ๊กตุ๊กการบินไทยอยู่คันนึงที่สามารถนั่งชมเมืองซูริกได้ง่ายๆ เพียงแค่ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักงานการบินไทย สาขาซูริก, สวิสเซอร์แลนด์
สวิสเซอร์แลนด์เป็นอีกประเทศนึงที่เราจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน รอบนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ทำให้สัมผัสความงานของสวิสเซอร์แลนด์ได้อย่างเต็มเปี่ยมจริงๆ แล้วเราจะกลับมาอีกครั้ง สวิสเซอร์แลนด์