ฮ่องกงรอบนี้ก็เป็นรอบที่ 3 ในชีวิต ที่นี่เป็นเมืองฮ่องกงทำให้เราประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มา เพราะเป็นเมืองที่มีพลังงานเยอะ! ถึงจะเมืองเป็นเมืองเล็กๆแต่ว่าดีเทลแน่นมาก! ทุกสถานีรถไฟใต้ดินที่เราลง ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักที่ ทุกๆ จุดที่เราเดินทางไปและกลับมาใหม่อีกครั้ง ฮ่องกงจะให้ความรู้สึกที่ใหม่เสมอ ด้วยความจอแจของเมืองทำให้ฮ่องกงไม่เคยเป็นเมืองที่หยุดนิ่ง มีอะไรน่าตื่นเต้นตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ยิ่งถ้าเป็นคนชอบถ่ายรูปแล้ว ความมีชีวิตของฮ่องกงทำให้เราหันไปทางไหนก็เป็นภาพถ่ายสวยๆได้หมด! ครั้งนี้เราตั้งใจอยากจะมาถ่ายรูปล้วนๆ วางหมุดไว้สามหัวข้อหลักๆ ที่คิดว่าถ้านึกถึงฮ่องกง เรานึกถึงอะไรบ้าง 3 หัวข้อกว้างๆ ที่เราตั้งไว้ในใจสำหรับการมาถ่ายรูปเล่นที่ฮ่องกงครั้งนี้คือ Architecture/ Life/ LandScape
ทริปนี้เราพกกล้องตัวจิ๋วตัวใหม่ของ canon ออกไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกัน ความประทับใจแรกตั้งแต่ตอนจับ Canon EOS M50 คือเบามาก เบาแบบมีกำลังใจเดินเที่ยวฮ่องกงต่อได้ทั้งวันแบบไม่เมื่อย ซึ่งมาพร้อมเลนส์แบบหมุนเก็บเมื่อไม่ใช้ก็ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าและการเดินทางได้อีกเยอะ ยิ่งเวลาเดินซอกซอยเล็กๆในฮ่องกง เลนส์ก็ไม่ยาวยื่นออกมาทำให้ชาวบ้านตกใจ และหน้าจอแบบ flip screen สะดวกมากขึ้นเวลาที่จะต้องถ่ายภาพในโมเมนท์ที่ต้องใช้ความเร็วหรือที่แปลกๆ ที่เข้าถึงยากๆ จอ flip screen ทำให้เรามองเห็นจอได้ตลอดเวลา
หมวดแรกที่เราคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกงเลยก็คือ Architecture คือหันไปทางไหนก็เจอไปหมด ตึกระฟ้า เต็มไปหมด ทุกตึกในฮ่องกงไม่ได้อยากจะสร้างก็สร้าง แต่มาพร้อมกับตำราชั้นครูของซิงแสต่างๆ ที่ทำให้ฮ่องกงเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีเงินทองไหลมาเทมา เฮง เฮง เฮง กันทั้งเกาะไปเลยค่ะพี่
เริ่มที่แรกที่ฝั่ง Central ส่วนใหญ่เป็นตึกกระจกเยอะๆ ที่เน้นเป็นอาคารสำนักงานมากว่าฝั่ง Kowloon แถมแถวนี้ร้านขายของแบรนด์เนมต่างๆ ค่อนข้างเยอะ เดินไปเรื่อยๆ ตามถนน Chater Rd. ก็มีโมเม้นท์ให้ถ่ายรูปเต็มไปหมด สำหรับใครที่ชอบถ่ายตึกกระจกเยอะๆ สไตล์โมเดิร์นให้เริ่มเดินเล่นจากเเถวเซ็นทรัลนี่แหละดีงามที่สุดแล้ว
เดินมุ่งหน้าไปทางฝั่งริมทะเลไปเรื่อยๆ จนเจอท่าเรือ Star Ferry เรานั่งเรือ Ferry ข้ามฝั่งไปยังฝั่งเกาลูน ถึงแม้เราจะสามารถนั่งรถไฟใต้ดินข้ามน้ำไปฝั่งเกาลูนได้แล้วเดี๋ยวนี้ แต่บอกเลยว่ายังไงก็ต้องลองนั่งเรือข้ามฝั่งที่นี่ด้วย! หนึ่งเพราะราคาถูกเหมือนเวลาเรานั่งเรือข้ามฝั่งไปวังหลัง และสองเราชอบความที่เรือยังเป็นเรือสไตล์วินเทจ ถ่ายรูปมายังไงก็ยังเหมือฉากในหนังฮ่องกงเก่าๆ พอมาถึงฝั่งเกาลูนฟีลลิ่งของตึกรามบ้านช่องก็จะเริ่มเปลี่ยนไปทันที มีความวินเทจและจีนมากขึ้น Hongkong Cultural Centre ตึกแรกที่เราจะเจอตั้งแต่ก้าวแรกที่ข้ามเรือเฟอร์รี่มาจากเกาลูน เป็นตึกที่บอกได้เลยว่าถ้าอยากได้แสงเงา กราฟฟิกแบบนี้ให้มาช่วงบ่าย ประมาณ 3-4 โมงช่วงนี้กำลังดี
เส้นทางเดินเท้าริมอ่าว กว้างใหญ่สวยงามแบบในฉากที่ กิ๋มคริสจะถูกกู๋เมธยิง คือจุดที่เรียกว่า Avenue of Star ทางเดินยาวเหยียดหันหน้าเห็นเกาะฮ่องกง ฝั่ง Central เดินเล่นรอให้ถึงช่วง 20.00 น.เป๊ะๆ จะมีการแสดงแสงสีเสียงที่ประดับประดาตึกต่างๆ หาที่ตั้งกล้องเหมาะๆ เปิดสปีดชัตเตอร์ต่ำๆ รอไว้ได้เลย
สำหรับฝั่งเกาลูนย่านหนึ่งที่เราคิดว่ามีเสน่ห์ทั้งกลางวันและกลางคืนคือ ย่าน Jordan ตึกอพาร์ทเม้นท์จะอยู่กันอย่างแน่นหนา ส่วนในตอนกลางคืนแสงไฟนีออนก็จะส่องสว่างทั่วถนน ตอนกลางคืนเรามาแถวถนนชื่อ Temple St. สำหรับใครที่หาที่ถ่ายป้ายไฟนีออนวินเทจแบบฮ่องกงๆ เจ้า Canon EOS M50 นี้ใช้หน่วยประมวลผลตัวใหม่ ทำให้การจัดการภาพให้ได้คุณภาพดีกว่าเดิมมาก ช่วยเรื่อง Noise ในเวลากลางคืน ดัน ISO ได้เรื่อยๆเลยไม่ต้องกลัวภาพเป็นจุด เก็บแสงและสีได้ดีสุดๆในเวลากลางคืน
เดินมาเรื่อยๆ เราจะเจอกับตึกใหม่ล่าสุดที่เป็นตึกไว้สำหรับจัดแสดงงิ้วโดยเฉพาะ เหมือนเป็นโรงละครโมเดิร์นๆ สำหรับการเข้ารับชมงิ้ว ตึกนี้มีชื่อว่า Xiqu centre สถาปัตย์กรรมภายในคือโมเดิร์นมาก เฟี้ยวฟ้าวมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างเป็นโรงละครงิ้ว ยิ่งใหญ่อลังการที่สุด!
ที่เด็ดที่สุดคือ Facade ด้านหน้าตึกที่ทำเป็นคลื่นๆ โดยมีแสงไฟจากด้านบนจุดเดียวทำให้เกิดแสงเงาเท่ห์ๆ จากลายของตึก เสียดายที่ไม่มีโอกาสเข้าไปดูความอลังการณ์ของฉากด้านใน แต่เราเลือกเดินไปรอบๆ ตัวอาคาร ก็ต้องอ้าปากค้างอิ้งไปกับการให้ความสำคัญของการแสดงที่เป็นสมบัติของชาติขนาดนี้
สำหรับใครที่ชอบถ่ายตึกแนว Futuristic เส้นสายเฟี้ยวฟ้าว เราอยากแนะนำอีกตึกหนึ่งที่บอกเลยว่าถ้าชอบแนวนี้ต้องชอบมาแน่ๆ เราแนะนำให้มุ่งไปที่ The Hong Kong Polytechnic University ไปที่ตึกใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Jockey Club Innovation Tower ออกแบบโดย Zaha Hadid ตึกสุดท้ายที่อยากจะเเนะนำ ก็คงหนีไม่พ้นความอลังการณ์ของอาคารอพาร์ทเม้นท์ที่โด่งดังที่สุดในฮ่องกงคือ Yick Fat Building อาคารชื่อดังที่เป็นฉากในหนังดังๆหลายๆเรื่อง จนเป็นมุมเด็ดที่ใครที่มาฮ่องกงจะต้องมีตึกนี้ติดอยู่ในอินสตาแกรมด้วยทุกคน
หมวดต่อไปคือหมวดที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มองเห็นมัน ถ้าเรามาฮ่องกง นั่นคือหมวด life วิถีชีวิตคนที่ฮ่องกง ที่เราเห็นได้ตามท้องถนนคือคนที่นี่ชอบออกมาใช้ชีวิตกันนอกบ้าน ด้วยความที่บ้านคนฮ่องกงค่อนข้างเล็กและมีพื้นที่จำกัด เพราะการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่ค่อนข้างที่จะแออัด คนฮ่องกงเลยมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพักผ่อนหรือคุยกับเพื่อนบ้านดีกว่าอุดอู้อยู่ในอพาร์ทเมนต์
Canon EOS M50 รองรับ Eye detection ทำให้การถ่ายภาพคนทั่วๆไปสนุกขึ้น! รับโฟกัสตาอัตโนมัติทำให้เราไม่พลาดซีนหลายๆซีนที่อาจจะมี object บังระยะหน้า เช่นไอน้ำในตู้เต้าหู้ของลุง และ ฟองบับเบิ้ลที่มาบังหน้าน้องอยู่ตลอดแต่เราก็ยังได้ภาพสวยๆ โฟกัสคมๆ สมใจ
ส่วนสิ่งสุดท้ายที่เราคิดว่าเป็นหมวดที่หลายคนมักนึกไม่ถึงว่าเป็นหมวดที่สามารถหาได้ในฮ่องกงคือ LandScape ธรรมชาติหลายอย่างที่เราไม่รู้อยู่ที่ฮ่องกง จนถึงได้การยอมรับเป็น World Heritage ของ Unesco เลยนะ เรานั่งรถออกไปยังเขตเมือง Sai Kung แรงบันดาลใจมาจากการได้เห็นภาพเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเส้นนี้ในนิตยสาร เลยทำให้คิดในใจว่า เอาวะ! รอบนี้ขอออกไปดูหน่อย เดินทางยากแค่ไหนก็ของลองไปดูหน่อยละกัน นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ ต่อรถแท็กซี่ การเดินทางร่วมๆ 3 ชม. ก็พาเรามาถึง High Island Reservoir East dam. การเดินทางไปคือให้เรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีที่ชื่อว่า Diamond hill จากนั้นให้ต่อรถเมลล์สาย 92 ไปป้าย Sai Kung Townhall จากนั้นโบกแทกซี่ ต่อประมาน 125 ดอลล่าร์ ไปตรงจุดเริ่มเดิน รถเมล์จะมีเฉพาะวันหยุดเท่านั้น
แต่น่าเสียดายที่วันนั้นอากาศไม่ค่อยดีเลยมองไม่ค่อยเห็นวิวข้างทางสักเท่าไหร่ แต่แค่มองเห็นผ่านเมฆหนาๆ ก็คิดในใจแรงๆเลยว่า ต้องมาอีกให้ได้ จะเดินทั้งวันจนครบเส้นทาง 100 KM
Victoria peak ก็เป็นอีกจุดสำคัญที่ใครไม่มาก็เหมือนยังมาไม่ถึงฮ่องกง การขึ้นชมวิวบน Victoria Peak ก็มีได้หลายช่องทาง ทั้งเดิน นั่งรถเมล์ หรือขึ้นแทรม เราเคยทำมาสองแบบคือ เดินขึ้น และ ขึ้นรถเมล์ไป ซึ่งขอแนะนำเลยวิธีนี้ทั้งถูกและได้ชมวิวข้างๆไปด้วย ช่วงที่เราไปค่อนข้างมืดครึ้มมีเมฆเยอะ แต่ดีที่คุณภาพไฟล์ RAw ของน้อง Canon EOS M50 กู้ชีพมาก ไฟล์.CR3 มีความละเอียดสูงมากและเก็บดีเทลได้ดีมาก สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปแล้วนำมาแต่งต่อ กู้คืนจุดที่มืดๆ บอดๆออกมาได้อย่างชัดเจน แบบที่คุณภาพของไฟล์ไม่ได้เสียไป ก็คือให้ 10/10 ไปเลยขุดสีและดีเทลได้ดีมาก เคยเป็นมั้ยที่บางทีเราบ่นว่า โอ้ยย..ถ่ายยังไงก็ไม่สวยเหมือนตาเห็น ซึ่งเนี่ยแหละความลับก็คือการนำไฟล์มาแต่งต่อได้เยอะ เหมือนหนังยางยืดๆ ยืดยังไงก็ไม่ขาดเพราะเนื้อยางแน่นและเหนียวดีจริงๆ
ภาพถ่ายทั้งหมดของคอนเท้นท์นี้เราใช้กล้องจิ๋วแต่แจ๋ว Canon EOS M50 Mirrorless ตัวแรกของค่ายนี้ ซึ่งเราบอกได้เลยว่าน่าประทับใจสุดๆ ทั้งบอดี้ และเลนส์เล็กจิ๋วน้ำหนักเบาดีมาก เหมาะกับนักเดินทางที่ชอบความคล่องตัวและยังอยากเก็บภาพแบบ professional quality โดยไม่ต้องพกกล้องใหญ่โต