หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าข้อดีของพวกเราชาวอาเซียนเนี่ย คือการไปมาหาสู่กันได้สะดวกรวดเร็วมากที่สุด เพราะไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ นั้นใกล้กันมาก ทำให้เราสามารถเชื่อมอาเซียนไว้ด้วยกันได้ และเป็นข้อดีในการเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับพวกเราทุกคน แถมไทยเราและประเทศเพื่อนบ้านนั้นอุดมไปด้วยเมืองมรดกโลกมากมาย ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะมาเยือนซักครั้งในชีวิต
ทริปนี้เราขอพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวเมืองมรดกโลกที่ใกล้กรุงเทพยิ่งกว่าเชียงใหม่ ใกล้ไทยชนิดที่ว่าอยู่แค่ปลายจมูก แถมเป็นเมืองมรดกโลกที่อลังการและเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้เราค้นหา ‘เสียมราฐ’ (Siem Reap), กัมพูชา คือเมืองที่อยากแนะนำ เพราะเที่ยวง่าย ราคาไม่แรง แถมใกล้กรุงเทพ จัดทริปง่าย 2 วัน 1 คืนยังชิวๆ มาออกเดินทางไปเสียมราฐกันเถอะ เตรียมชุดสวยๆ สีเอิร์ทโทนให้เข้ากับสถานที่ สวมหมวกปีกกว้างสไตล์โคโลเนียล แต่งตัวให้เหมือนสมัยนักล่าอาณานิคมเก๋ๆ แถมพก Galaxy Note9 ออกเดินทางไปด้วยเหมือนเดิม ชั้นมั่นใจว่าเธอจะได้ภาพที่สวยกว่าและ Experience ที่ดีใครแน่นอน
*** วีดิโอและรีวิวนี้นำเสนอ Feature ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note9
และภายในเครื่องเท่านั้น ภาพนิ่งที่ไม่ได้ขึ้น Credit ใต้ภาพว่า ‘ถ่ายด้วย Galaxy Note9’
และภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ภายในวีดิโอ ถ่ายทำโดยใช้กล้องอื่น***
It’s time to fly with world’s best reginal airlines!
เราออกเดินทางกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สเจ้าเดิม นี่คือสายการบินที่มีรูทบินที่ไม่เหมือนใครเพราะเน้นเปิดเฉพาะเมืองใหม่ๆ ที่คงความบูทีคเอาไว้ และแน่นอนว่าเสียมราฐคือหนึ่งในเส้นทางที่บูทีคและเป็นที่นิยมของคนทั้งโลก บางกอกแอร์เวย์สบินตรงสู่เสียมราฐมากถึงวันละ 6 เที่ยวบินต่อวันทั้ง เช้า สาย บ่าย ดึก ทำให้เพื่อนๆ สามารถเลือกเดินทางเวลาไหนก็ได้ตลอดทั้งวัน จะเลิกงานวันศุกร์มาขึ้นเครื่องตอนเย็น แล้วกลับจันทร์เช้าตรู่ก็ยังทันเลย
และบางกอกแอร์เวย์สยังเป็นเพียงสายการบินเดียวในโลก ที่ให้บริการเลาจน์กับผู้โดยสารทุกคนได้กินขนมกรุบกริบ กันก่อนออกเดินทางแถมยังมีอาหารร้อนเสิร์ฟบนเครื่องอีกด้วยนะ พิเศษกวว่านั้นคือสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจหรือเป็นสมาชิก Flyer Bonus ระดับ Premier แบบเรา ก็จะได้รับการบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟขึ้นไปอีกขั้นนึงด้วย Blue Ribbon Loungeที่เสิร์ฟอาหารร้อน ติ่มซำ ขนมหวานและเครื่องดื่มแบบไม่จำนวนจำกัดกันเลยแหละ
World’s Heritage Explorer
ความจริงก็คือเราอยากเที่ยวไปเรื่อยๆ เพลินๆ ตื่นสายบ้างบางวัน และกลับมาพักที่โรงแรมก่อนตอนบ่ายๆ พูดตรงๆ ว่าแดดที่นี่ค่อนข้างแรง อย่าลืมเตรียมร่ม ครีมกันแดดและหมวกมาด้วยนะ แต่ถึงร้อนยังไงก็สนุกเพราะมันคือความแปลกใหม่ใกล้บ้านที่มาแล้วก็อยากมาอีก
วันแรกของทริปเราเลือกออกจากกรุงเทพสายๆ เพราะไม่อยากตื่นเช้า ไฟลท์บินเยอะขนาดนี้ไม่ต้องกลัวเที่ยวไม่ทันเลยเธ๊อ มาถึงเสียมราฐก็ได้เวลาอาหารเย็นกันพอดี เราเลือกทานใน Pub Street ช่วงบ่ายๆ ก็จะครึกครื้นแต่หลายร้านก็เปิดปกติ อาหารที่มาถึงเสียมราฐแล้วอยากให้ทานคือ Lok Lak เราชอบมากเป็นเหมือนเนื้อผัดน้ำมันหอยรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดนึงกินกับข้าวสวยร้อนๆ คือเลิศมาก
หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อบัตรเข้านครวัดกันเก็บไว้กัน ที่นี่จะมีขายบัตรแบบ 1 วัน 2 วัน และ 7 วัน ถ้าซื้อบัตร 2 วัน สามารถเริ่มเข้าได้เย็นวันนั้นเลยทันทีเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินในนครวัด เราเลือกซื้อแบบ 2 วันนี่หละคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว เพราะราคาค่าเข้านครวัดนั้นไม่ถูกเลยนะจ้ะ ตกคนละ 65USD แหนะ! แต่มันคือมรดกโลกอะเนอะ เลยต้องยอมจ่าย!
แนะนำเรื่องรถเช่าซักหน่อย!
ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 8 คน ถ้าเรียกรถสามล้อหรือสองแถวเป็นครั้งๆ ราคาที่ต้องจ่ายเป็น USD จะแพงกว่าเช่ารถพร้อมคนขับมากๆ เราเลยตัดสินใจเช่ารถเป็นรายวันกันไปเลยกับบริษัท Angkor TK Travel & Tour ตอนแรกก็ค่อนข้างกังวลเรื่องสภาพรถว่าจะโอเครึเปล่า แต่พอเห็นรถปุ๊ปก็รู้เลยว่าตลอด 4 วันในเสียมราฐนั้นสบายเราแน่ๆ เพราะรถใหม่และสวยมาก แถมราคานั้นคือสู้ไหวกันแน่ๆ เพราะรถแบบ Standard ราคาแค่คันละ 20 USD ต่อครึ่งวันหรือแค่ประมาณ 600 กว่าบาทเท่านั้น หารกัน 8 คนยังไม่ถึงร้อยเลยแก๊ หรือจะเช่ารถแบบ VIP แบบเราคันใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ราคาแค่คันละ 40 USD ต่อครึ่งวันเท่านั้นเอง สำหรับเราถ้าวันไหนอยู่เฉพาะในตัวเมืองและเที่ยวเฉพาะเขตนครวัด ใช้รถธรรมดา Standard ก็พอ แต่วันไหนออกนอกเมืองไปไกลๆ เพื่อให้นั่งสบายหน่อยก็ควรเช่าแบบ VIP ราคามันไม่แพงเลย ไม่ต้องทนร้อนนั่งรถสองแถวกันอีกต่อไป แถมมีเจ้าหน้าที่พูดไทยได้ ติดต่อได้ที่ Line : @itm2928p
เจอกันตีสี่ครึ่งพร้อมล้อหมุน!
วันที่สองของทริปเป็นวันที่เราเริ่มเที่ยวกันอย่างจริงจังซะที จริงจังถึงขนาดที่ว่าออกตั้งแต่ตีสี่ครึ่งกันเลย เพราะถ้าอยากได้วิวยามเช้าพระอาทิตย์ขึ้นด้านหลังนครวัด ควรตื่นมารอตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุดในการดูวิวและถ่ายรูป เราถามไกด์ว่าปกติส่วนใหญ่ทัวร์จะออกกันตอนประมาณกี่โมง พี่ไกด์บอกเราว่า “ส่วนใหญ่จะออกไปรอกันตอนประมาณตีห้า” เราเลยบอกว่าโอเคค่ะงั้นมารับหนูตีสี่ครึ่งเลยละกัน เช้ากว่าคนอื่นหน่อยนึงจะได้มีเวลาเลือกมุมที่สวยที่สุด และก็สมใจหวังจริงๆ คนสวยมีบุญทำอะไรผีเทวดาก็คุ้มครองกันทั้งหมด
แม้วันที่เราไปพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นมาเป็นดวงให้เห็นชัดๆ แต่บรรยากาศที่ค่อยสว่างขึ้นเรื่อยๆ บวกกับวิวและบรรยากาศของนครวัด บอกได้คำเดียวว่าประทับใจ คำว่า See Angkor Wat And Die ก็ไม่เกินไปจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปเที่ยวในนครวัดกันเพิ่มนิดหน่อยดูบรรยากาศโดยรอบ ความน่าสนใจของที่นี่คือนางอัปสรที่มีรอยยิ้มไม่ซ้ำแบบกัน รวมไปถังลวดลายฝาผนังที่ยังคงสวยเสมอ แม้บางจุดจะผ่านการบูรณะมาแล้วก็ตาม ด้านหน้าตรงทางเดินเข้านครวัดก็มีทุ่งหญ้ากว้างประมาณนึงเราว่าเดินลงไปถ่ายรูปก็สวยดีเหมือนกัน และระหว่างทางจะมีพระหรือผู้เฒ่าผู้แก่นั่งตามจุดต่างๆ คอยอวยพรและมัดข้อมือให้เราแลกกับสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ของวันนะจ้ะ
นี่คือศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นมรดกโลกที่ควรมาเที่ยวและเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิต นครวัดถูกสร้างมาเพื่ออุทิศให้พระวิษณุตั้งแต่สมัยดั้งเดิม ก่อนเปลี่ยนมาเป็นวัดพุทธแต่ยังคงเป็นศูนย์กลางความเชื่อ ความศรัทธา ของชาวเสียมราฐอยู่อย่างเสมอ
หลังจากนั้นนั่งรถไปอีกประมาณ 15 นาที เราไปต่อกันที่ปราสาทที่ดังพอๆกับนครวัดคือ ปราสาทตาพรหม นี้แหละ เพราะเป็นปราสาทที่คุณแม่โจลี่ มาถ่ายหนังเอาไว้ นางเล่นเป็น ลาล่า ครอฟท์ ใน Tomb Rider ! ปราสาทนี้จะอยู่ลึก คือต้องเดินเข้าไปในป่าหน่อย ระหว่างทางเข้าจะมีเขมรน้อยมาขายแม่เหล็กติดตู้เย็น ราคาอันละ 60 บาทต่อไปต่อมาเหลืออันละ30บาท ต่ออีกซักนิด เอ้า! เหลืออันละ 10 บาทเฉยเลยอะแก๊ งงมากจุดนี้ 555
ไฮไลท์ของมันคือปราสาทที่เป็นฉากเปิดในเรื่อง Tomb Rider ที่มีต้นไม้ใหญ่เลื้อยเต็มไปหมดเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันกับปราสาท ได้ฟีลลิงนักผจญภัยตามล่าหาสมบัตินะคะคุณ ให้ความรู้นิดนึงว่าต้นไม้พวกนี้เรียกว่าต้นสะปง เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนมาก ทำให้มันไม่ดันปราสาทให้ถล่มแต่ยังช่วยประคองให้แข็งแรงขึ้นไปอีกรวมถึงเหล่าไม้เลื้อยรอบๆ ปราสาทที่คอยเพิ่มความชุ่มชื้นกับตัวปราสาททำให้มีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะเต็มพื้นที่ไปหมด
จริงๆ นครวัดนั้นกว้างมาก และยังมีวัดเล็กวัดน้อยเต็มไปหมดเป็นสิบๆ จุดที่ให้เราสามารถไปชมได้ แต่เรามีเวลาจำกัดเลยเลือกแต่เฉพาะจุดที่อยากดูจริงๆ และคิดว่าน่าจะเป็นไฮไลท์สำหรับคนที่มาแล้ว ทำให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะมา อยากให้หาข้อมูลกันมาซักหน่อยว่าสนใจอยากดูส่วนไหนของตัว นครวัด-นครธม จะทำให้เราประหยัดเวลามากขึ้น และมีเวลาอิ่มเอมในรายละเอียดของแต่ละที่ไม่ใช่ชะโงกทัวร์ที่ต้องไปทุกที่
เราใช้เวลาอยู่ในนครวัด และปราสาทตาพรหมรวมกันประมาณ 5 ชั่วโมงจากนั้นก็นั่งรถไปยังอีกจุดนึงคือ พนมกุเลน ที่นี่คืออุทยานแห่งชาติของกัมพูชา ที่นี่ทางขึ้นเขาเป็นการเดินรถทางเดียว ขาขึ้นจะต้องขับรถขึ้นไปก่อนเที่ยงวันเท่านั้น และขากลับจะลงมาได้อีกทีคือหลังบ่ายโมงเป็นต้นไปโดยประมาณ เพื่อไม่ให้รถสวนกันและเกิดอันตรายในช่วงคอขวดบางจุด
เราขึ้นไปด้านบนเพื่อศิวลิงค์ใต้น้ำที่มีอยู่เป็นพันๆ องค์ โดยมีโยนีล้อมรอบอยู่ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อบูชาพระศิวะ โดยสองสิ่งนี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าโลกเรายังสงบร่มเย็น มีการเกิดใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ คนกัมพูชายังเชื่อว่าน้ำที่ไหลผ่านศิวลึงค์และโยนีเหล่านี้จะช่วยรักษาโลกภัยไข้เจ็บได้อีกด้วยนะ
เดินต่อไปอีกนิดจะเจอกับตาน้ำที่สะอาดมากๆ แถมสามารถเอามือกวักขึ้นมาลองชิมได้ด้วย ความสนุกของตาน้ำพวกนี้คือ เมื่อเราปรบมือดังๆ ตาน้ำจะเคลื่อนไหว และมีน้ำพุ่งขึ้นมามากขึ้นตามจังหวะความเร็วและดังของการปรบมือ!
ใกล้ๆ กันยังมีน้ำตกพนมกุเลนที่เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวกัมพูชาและนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาคลายร้อนก็จะกระโดดน้ำเล่นกันแถวนี้นี่แหละ เราเคยเเนะนำไปเเล้วว่า Galaxy Note9 พร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Scene Optimizer เป็นระบบ AI ที่จะทําให้ภาพของเรานั้นสวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถรู้ได้ทันทีว่าเรากำลังถ่ายอะไรอยู่ เราเเค่เปิดกล้องเเล้วถ่ายรูปเท่านั้น AI นั้นมันก็เลือกโหมดอัตโนมัตให้เราทันที อย่างทริปนี้มันเป็นน้ำตก ดูเป็นสถานที่แปลกใหม่ที่มือถือไม่น่าจะรู้เพราะมันเคลื่อนไหวเร็วมากๆ ปรากฏว่า นางรู้นะจ๊ะ มันก็ช่วยปรับให้ภาพที่ถ่ายน้ำตกสวยงามมีมิติมากขึ้น สีของน้ำตกเเละต้นไม้รอบข้างสวยขึ้นทันทีเลย เรามีหน้าที่เเค่กด Capture ส่วนคนถ่ายรูปสวยจริงๆ ต้องยกให้ Galaxy Note9เหมือนเดิมเลย
เราลงเขาจากพนมกุเลนประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ เพื่อนั่งรถอีกชั่วโมงนิดๆ ไปยังหมู่บ้านกลางน้ำที่ชื่อว่า Kampong Phluk Village หรือ กัมปงพลัวะ ที่นี่คือแนะนำเลยว่าต้องมาและควรมาช่วยเย็นเท่านั้นด้วย นี่คืออีกวิถีชีวิตนึงของชาวกัมพูชาที่ปลูกบ้านอยู่กับทะเลสาบ เราจะเห็นวิถีชีวิตการปลูกบ้านใต้ถุนสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม และการไปมาหาสู่กันด้วยเรือหางยาว เราแนะนำให้เช่าเรือลำนึงขับออกไปจอดที่กลางน้ำ โดย 1 ลำราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 USD
เราจะผ่านป่าโกงกางและวิถีชีวิตริมสองฝั่ง เพื่อไปจอดกลางทะเลสาบเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ยอมรับเลยว่าเป็นพระอาทิตย์ตกดินอีกที่นึงที่เราเก็บใส่ไว้ใน Must See เป็นอีกสถานที่นึงที่ควรมาเมื่อมาเยือนเสียมราฐเลยนะ
รอยยิ้มแห่งบายน สวยสะกดเหมือนโดนต้องมนต์!
อย่างที่บอกว่าเที่ยวที่นี่ต้องเริ่มแต่เช้า เพื่อหนีความร้อนและหลีกเลี่ยงกรุ๊ปทัวร์ การเข้าไปดูโบราณสถานเป็นกรุ๊ปแรกๆ เราจะได้รูปที่สวย และปราศจากผู้คนมาร่วมในเฟรมเยอะแยะ แม้จะมีบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม เราเริ่มวันที่ 3 ด้วยการมาเที่ยวฝั่ง ‘นครธม’ กันบ้าง
ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรขะแมร์ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนสังเกตได้จากทางเข้าที่ยังคงเหลือเค้าโครงที่อลังการทางเข้าทั้งสองฝั่งมียักษ์ และเทวดากำลังดึงพญานาค เหมือนกำลังกวนเกษียรสมุทรแต่เราไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าใช่รึเปล่า ตรงนี้จะมีการนั่งช้างเข้าไปด้วยโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่เราขอนั่งรถเข้าไปปกติดี เพราะสงสารน้องช้างกัน ตรงประตูทางเข้าควรมาถ่ายรูป รอจังหวะที่รถน้อยๆ จะเหมือนกำลังเดินย้อนเวลาเข้าไปสู่นครธม อาณาจักรที่เคยรุ่งเรือง
เรามาที่นครธมเพื่อดู ปราสาทบายน ที่นี่สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ส่วนใหญ่กษัติรย์ในสมัยก่อนจะมีความเชื่อเรื่องพราหมณ์ ฮินดู แต่ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นตามคติพุทธ เพราะเลื่อมใสมากๆ ส่วนรอยยิ้มบายนที่เห็นๆกันอยู่นี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า รอยยิ้มแบบนี้เนี่ย เป็นรอยยิ้มของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หรือเป็นรอยยิ้มของพระโพธิสัตว์กวนอิมกันแน่ แต่จะเป็นรอยยิ้มของพระองค์ไหน เค้าก็บอกว่า รอยยิ้มเหล่านี้ก็เหมือนรอยยิ้มที่คอยสอดส่องทุกข์สุขของประชาชนในเมือง เพราะรอยยิ้มบายนเหล่านี้ถ้าสมบูรณ์จะมีมากถึง 216 หน้าเลยทีเดียว !
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเราคือรูปสลักรอบๆปราสาท เชื่อมั้ยว่าแต่ละด้านจะเป็นเรื่องราวไม่เหมือนกัน บางด้านเป็นสงคราม ตีรันฟันแทง จระเข้ในโตนเลสาบคาบไปกิน บางด้านเป็นวิถีชีวิต ทำคลอดบ้าง ทำอาหารบ้าง ดูแล้วก็ตลกดี เพราะบางรูปใหม่เกินไป ใหม่จนชนิดที่ว่ากูไม่เชื่อหรอกว่าสร้างมานานแล้ว ฮ่าๆ ดูยังไงก็ปลอมเพราะใหม่แบบไม่น่าเชื่อ หินบางก้อนเหมือนพึ่งหล่อปูนเสร็จ
เราไปต่อกันที่ Neak Pean หรือคนไทยเรียกว่าปราสาทนาคพันธุ์ เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นกลางน้ำ โดยสมมติให้เป็นเหมือนสระอโนดาตที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทั้งหมด ไกด์บอกเราว่าสมัยก่อนที่นี่ใช้เป็นโรงพยาบาลด้วยนะ เหมือนเป็นที่ๆ เอาไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยส่วนนึง ด้านในมีปราสาทอยู่สี่หลังกลางน้ำ เป็นสัญลักษณแทนธาตุทั้งนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ช่วงบ่ายเราออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อเที่ยวใน Beng Melea บอกเลยว่าเราชอบที่นี่พอๆ กับนครวัดหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะความดิบและยังไม่บูรณะทำให้ที่น่าสนใจและดูขลังขึ้นมากๆ Beng Melea ที่นี่มีลักษณะใกล้เคียงกับนครวัดทั้งหมด เพียงแต่โดยทำลายช่วงสงครามโดยทำให้ยอดปราสาทต่างๆ ถล่มลงมาทั้งหมด แต่ยังคงเหลือเค้าโครงเดิมให้ได้ศึกษากันอยู่บ้าง เค้าเรียกกันว่านี่คือนครวัดตะวันออก
เราชอบที่นี่มากเพราะไม่สามารถลงไปเดินหรือสัมผัสโบราณวัตุได้มากนัก ที่นี่จะทำทางเดินบันไดขึ้นมาให้เดินดูจากด้านบนและสลับลงไปด้านล่างบ้าง ทำให้เห็นภาพมุมกว้างของที่นี่ ผสมกับสีเขียวของตะไคร่น้ำและความร่มรื่นทำให้บรรยากาศมันชวนให้คิดตาม นึกภาพและสงสัยเกี่ยวกับความเป็นมามากขึ้นเรื่อยๆ
ที่นี่คืออีกที่นึงเลยที่อยากให้ใส่ในแพลนไว้แล้วจะประทับใจ
เราเที่ยวกันจนถึงช่วงบ่ายๆ แล้วก็กลับเข้าไปพักในโรงแรมกันต่อ ความชิลของการเที่ยวที่นี่คือออกเช้า พักบ่าย แล้วกลับมาเที่ยวต่อช่วงเย็นใหม่อีกรอบ ทำให้มีเวลา Refreshment ตัวเองระหว่างวันเพิ่มขึ้นซักหน่อย นี่คือเหตุผลนึงที่ควรหาโรงแรมดีๆ พักระหว่างการเดินทางของเรา
ช่วงเย็นเราไปดูการแสดงกายกรรม ที่ขอชมด้วยความจริงใจว่านี่คือโชว์ที่ดีที่สุดในอาเซียนตั้งแต่เคยดูมา ไม่ได้ฉากอลังการ ไม่ใช่แสงสีเสียงที่เวอร์วัง แต่เป็นความทุ่มเทและเอ็นเตอเทนผู้ชมเก่งกว่าที่ไหนๆ Phare Circus คือการแสดงกายกรรมของชาวกัมพูชา ที่สอดแทรกมุขตลก และเสียงเพลงเข้าไปในการแสดง พร้อมทั้งโชว์ศักยภาพของนักแสดงที่น่าทึ่งมากๆ
เราชอบความสนุกสนานที่ดูได้ไม่น่าเบื่อตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงนิดๆ นั่งดูไปแล้วอมยิ้มบ้าง หัวเราะบ้างตลอดการแสดงเป็นโมเม้นท์ที่มีความสุขมากๆ เลย อย่าลืมนะ ขอเลยจริงๆ สำหรับที่นี่เว้นไว้ซักคืนนึง ย้ำว่าต้องมาดู!
ตกดึกเลยขอออกไปเดินดูบรรยากาศความรื่นเริงของถนนที่ขึ้นชื่ออย่าง Pub Street ซะหน่อยที่นี่มีทั้งอาหารท้องถิ่น อาหารหลากหลายชาติ และผับที่เปิดเพลงกันดังสนั่น เต้นกันให้มันส์กระจาย ความเก๋ของที่นี่คือระหว่างทางตามถนนจะไม่ค่อยมีเสียงดังโหวกเวกเท่าไหร่ แต่พอไปในร้านเท่านั้นแหละ โอ้โห แตกแตนมากค่า
Pub Street ยังเป็นถนนที่มีสีสันและคึกคักตลอดทั้งคืน แถมราคายังไม่แพงด้วย เธอสามารถหาข้าวราคาเท่าไทยได้ในแถวนี้แหละ หรือเบียร์แก้วละ 1 USD ก็หาได้ที่นี่แทบทุกร้านเหมือนกัน และมีงูทอด แมงป่องทอดขายด้วยนะ
ชิลที่สุดในเสียมราฐ!
วันสุดท้ายในเสียมราฐเราเว้นไว้ให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้างเหมือนทุกทริปที่ผ่านมา แต่ทริปนี้พิเศษหน่อยคือเราจะได้พักทั้งวันเต็มๆ ตื่นสาย หาคาเฟ่ จิบชายามบ่าย แล้วกลับตอนกลางคืน เป็นชีวิตที่ง่ายๆ และอยากมีทุกวันแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้จริงๆ
ใครบอกว่าที่นี่มีแต่วัด วัด วัดและก็วัด ขอบอกว่าไม่จริงเลย! เพราะในส่วนของเมืองนั้นเจริญ และมี Vibes ดีๆ เยอะมาก แค่ไปให้ถูกย่าน ชีวิตในเสียมราฐก็มีสีสันขึ้นเยอะ เพราะนอกจาก Pub Street ตอนกลางวันที่เราสามารถไปขลุกตัวอยู่ได้ทั้งวัน ยังมีอีกย่านนึงคือย่านถนน Hap Guan St. เป็นย่านชิค ย่านหลักเลยแหละของเสียมราฐ มันมีความเก๋แต่ไม่วุ่นวาย ไม่พลุกพล่านแต่มีเสน่ห์ ร้านแต่ละร้านย่านนี้มีสไตล์ที่ต่างกัน เราแนะนำให้ไปกินกาแฟสดหอมๆ ที่ร้าน The Little Red Fox Espresso เป็นร้านกาแฟสดหอม อร่อย และมีเมล็ดพันธุ์ที่เลือกมาแล้วอย่างดี บรรยากาศในร้านก็เหมือน Community ของชาวต่างชาติที่มาอยู่ที่นี่ นั่งคุยกัน สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเราไปแจมได้ด้วยนะ
ถ้าชอบแนวดิบๆ หน่อยตกแต่งร้านเหมือนผ่านสมรภูมิอะไรมามากมาย อยากนั่งหลบมุมจากความวุ่นวายในเมือง เราแนะนำให้ไปชิลที่ Crane Siem Reap a Clubhouse that Cares ร้านน่ารักๆ ที่กาแฟดี และที่ดีกว่าคือบราวนี่ โอ้โห.. อร่อยมาก ลองมาชิมกันดูเด้อ
ส่วนถ้าใครชอบอาหารแบบเฮลท์ตี้ๆ หน่อย มี Vibe Café อยู่ใกล้ๆ ระยะเดินห่างกัน 3 นาที ร้านน่ารักที่ตกแต่งได้สะอาดสะอ้านเหมาะสมกับอาหารที่ขายประเภท สมูธตี้ โบลว์ / น้ำผลไม้สกัดเย็นต่างๆ กินไปคำนึงรู้สึกผอมไปสิบโลเด้อ สีสันสวยงามแต่ดีต่อสุขภาพ Galaxy Note9 ก็ยังทำหน้าที่เพื่อนคู่ใจชอบถ่ายรูปให้เราได้ดีเสมอ แม้จะเป็นอาหาร Scene Optimizer ของ Galaxy Note9 ก็ยังรู้ว่านี่คืออาหาร ช่วยปรับโทนสีของภาพ และโหมดต่างๆ ให้เราถ่ายอาหารได้สด สวย น่ากิน
ละแวกนั้นก็มีร้านดีไซน์เก่ ขายของแฮนด์เมดเต็มไปหมด แนะนำว่าเผื่อเวลาไว้ซักครึ่งวันค่อยๆ เดินดูของร้านนั้น ออกร้านนี้ ที่สำคัญที่นี่รับบัตรเครดิต และสามารถจ่ายเป็นเงินดอลลาร์ได้ทุกร้าน ทำให้ไม่ต้องปวดหัวคิดเงินสลับไปสลับมาด้วย
ส่วนร้านเบเกอรี่ที่เราชอบมากๆ ชื่อร้าน The Glass House เป็นร้านที่อยู่เชื่อมกับ Park Hyatt Siem Reap ตกแต่งร้านได้น่ารักออก ออกแนวโปร่งๆ ด้วยกระจก ตัดกับสีเหลืองอ่อนๆ ร้านนี้เบเกอรี่อร่อย โดยเฉพาะครัวซองค์เนย หรือถ้าใครแฮงค์เหล้าจาก Pub Street ตื่นเช้าไม่ทันอาหารฟรีของโรงแรม ก็เรียกรถมาที่นี่เลยค่ะ The Glass House รับรองว่าหลงรัก ทั้งน้ำผลไม้ปั่นสดๆ อาหารจานร้อนที่ดีไซน์เก๋ หิวอย่างเดียวสั่งไม่ได้นะจ้ะ ต้องมีสไตล์ด้วย และรักสุขภาพด้วยนะจ้ะ
ที่พักรอบนี้เราพักที่ Park Hyatt Siem Reap โรงแรมนี้เราตั้งใจมาอย่างดีว่าถ้ามาเสียมราฐต้องพักที่นี่เท่านั้น เพราะมันอยู่กลางใจเมืองใกล้กับ Pub Street ระยะเดินถึงภายใน 5 นาทีเท่านั้น ความแกรนด์ของโรงแรมนี้คือการตกแต่งที่พอเดินเข้ามาแล้วเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง มันทั้งสงบ สะดวก สะอาดและสบาย
Park Hyatt Siem Reap เป็นโรงแรมแรกของเครือ Hyatt ในกัมพูชาเพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ตามนางทำได้เรียบร้อยที่สุด แถมยังได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยม โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ดีของชาวกัมพูชา ทำให้กลมกลืนกับธรรมชาติโดยใช้สีของโรงแรมและห้องพักให้ดูสบายหูสบายตาดูสะอาดสะอ้านที่สุด
ในห้องพักก็มี Complimentary Fruits and Wine ให้ดื่มพอกรึ่มๆ กันด้วยนะ ที่นี่เพียบพร้อมและสะดวกสบายมาก ทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำที่มีมากถึง 2 สระทั้งสระน้ำปกติ และสระน้ำเกลือ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางให้เราเดินถ่ายรูปได้สวยๆ เลย อย่างที่เมาท์ไว้ตอนแรกว่าที่นี่แนะนำว่าให้เที่ยวตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วพอบ่ายๆ ให้กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมเพราะอากาศร้อนและฝุ่นเยอะ สำหรับเราการกลับมา Park Hyatt ตอนกลางวันแดดแรงๆ คือสวรรค์มาก มันได้พักผ่อนและรีเฟรชเต็มที่เหมือนได้เกิดใหม่ในทุกๆ บ่าย 5555
ถ้าพักที่นี่หรืออยากแวะมาทานอาหาร เราแนะนำว่าอาหารกลางวันแบบท้องถิ่นเลิศที่สุด หลายๆ ร้านทำไม่ถูกปากเราแต่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะทำเอาใจแบบรสชาตินักท่องเที่ยวรึเปล่านะ แต่อร่อยจริงๆ เป็นอาหารกัมพูชาที่กินแล้วไม่รู้สึกฝืนเลย รวมไปถึงเซท Afternoon Tea ยามบ่ายก็เก๋จนทนไม่ได้ที่ต้องถ่ายรูปกันอีกแล้ว Galaxy Note9 มีจุดเด่นที่เราชอบมากอีกเลยคือปากกา S Pen หลายๆ คนชอบถามว่า Galaxy Note9 ดีมั้ย แล้วจะถามต่อทันทีว่าแล้วได้ใช้ปากกาบ้างมั้ย? หลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันคงไม่ได้ใช้เท่าไหร่หรอก แต่จะบอกว่ามีปากกาแล้วชีวิตดีขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคนชอบจด ชอบถ่ายรูปมันมีประโยชน์มากๆ เราสามารถถ่ายรูปแล้วเขียนตัวหนังสือสวยๆ ลงในรูปทันที หรือเดินเที่ยวอยู่เห็นอะไรน่าสนใจก็จดไว้ได้ก่อน หรือเขียนใส่โน้ตไว้บันทึกเป็นไดอารี่ได้เช่นกันว่าวันนี้เราเจออะไรกันมาบ้าง
Galaxy Note9 เป็นมือถือที่พวกเราใช้กันเองจริงๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็ตามเพราะมันสะดวกและทำอะไรได้มากกว่าเดิมและมากกว่าที่พวกเราทุกคนคิดไว้ซะอีก ขากลับเราก็เดินทางกลับกับบางกอกแอร์เวย์สเหมือนเดิม ความเก๋และ Priority ที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวคือ บางกอก แอร์เวย์สเป็นสายการบินเดียวที่มีเลาจน์เป็นของตัวเองในสนามบินโดยแยกใช้ไม่ต้องรวมกับใคร แถมผู้โดยสารทุกคนยังสามารถเข้าใช้เลาจน์ได้เหมือนเดิม เข้าไปนั่งกินน้ำ กินขนมสวยๆ รอขึ้นเครื่องกลับบ้านได้เลย
เสียมราฐ หรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่าไปเที่ยวนครวัด-นครธม เป็นเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีเอกลัษณ์ วัฒนธรรมและความขลังอยู่ในตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะอยู่ใกล้ไทยแค่ปลายจมูกแต่ทำให้เราได้สัมผัสกับมรดกโลกที่ยิ่งใหญ่ เราขอเวลาให้ที่อย่างน้อยซัก 3 วัน ถ้ามีประเทศที่ต้องไปซักครั้งก่อนตายเต็มแพลนไปหมดแล้ว ปีหน้าอยากให้ลองเพิ่มเป้าหมายให้ตัวเองอีกซักอย่างนึงคือ “เที่ยวประเทศเพื่อนบ้านให้ครบทุกประเทศ’ ขอให้นึกถึงที่นี่เป็นอันดับต้นๆ แล้วพวกแกจะขอบคุณเรา ที่ทำให้ทริปนครวัดนั้นน่ารัก มีเสน่ห์จนไม่อยากลืมเลย