เวลาบอกใครต่อใครว่ากำลังจะไปฝรั่งเศส ทุกคนจะถามกลับมาเหมือนเตี๊ยมคำถามกันมาว่า “ปารีสหรอ?” เพราะมันดูเป็น Destination หลักอย่างเดียวของคนไทยเวลาพูดถึงฝรั่งเศส แต่รอบนี้ขอเปลี่ยนค่ะ! เราจะเริ่มเที่ยวฝรั่งเศสจากเมืองรองลงมาที่สวยและแตกต่าง สงบ ไม่วุ่นวายกับเมืองริมทะเลที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนให้แดดอ่อนๆ ยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงฉาบหน้า กับลมทะเลอ่อนๆ ที่โชยมาไกลๆ ก็รู้สึกดี จนอยากจะคว้าผู้ชายแถวนั้นมากอด เรากำลังพูดถึง Marseille เมืองท่าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหมาะแก่การไปใช้ชีวิตเอื่อยๆ พักผ่อนให้ชีวิตเบาลงในช่วงสิ้นปีแบบนี้ นี่ไม่ใช่ทริปลุยๆ แต่เป็นทริปไปทำสวยให้จิตใจเบิกบาน เอาหน่า คนเรามันต้อง Treat ตัวเองบ้าง จริงมะ!
Going Places Together
เราออกเดินทางกับ Qatar Airways สายการบินที่ดีที่สุดของโลกประจำปี 2017 แถมพ่วงมาด้วยรางวัล World’s Best Business Class ก็ไม่พลาดที่จะนั่งอะไรๆ ที่มันเป็น World’s Best อะเนาะ! Qatar Airways เป็นอีกหนึ่งสายการบินจากตะวันออกกลางที่บินตรงสู่ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน จนเรามั่นใจได้ว่าคุณภาพและการบริการนั้นต้องถูกอกถูกใจพี่ไทยแบบเราแน่ๆ
Qatar Airways บินตรงจากกรุงเทพทุกวันวันละ 5 เที่ยวสู่โดฮา เพียงแค่ 6 ชั่วโมงนิดๆ ทุกคนก็จะได้เอ็นจอยกับสนามบินใหม่ระดับโลก อย่าง Hamad International Airport เดินเล่นเบาๆ ซัก 2- 3 ชั่วโมงก่อนบินตรงไปต่อจุดหมายปลายทางในฝันแบบสวยๆ ไม่เหนื่อยเกินไปเพราะได้แวะลงมายืดเส้นยืดสาย
ทริปนี้เราบินตรงจากโดฮาไปลงที่เมืองนีซ เมือกตากอากาศระดับโลกที่ควรมาเยือนซักครั้งในชีวิต แต่รอบนี้เราตกร่องปล่องชิ้นกับ Marseille ไปแล้ว เลยขอไปเยือนเมืองอื่นก่อน พับนีซเก็บไว้ในขั้วหัวใจรอมันเบิกบานแล้วจะกลับมาใหม่ อิอิ เวอร์มะ พูดจาอย่างกะนิยายฝรั่ง ที่เดินทางจากบ้านเกิดในชนบทไปเป็นแรงงานสาวในเมืองหลวง
Marseille อ่านว่า มาร์กเซย เมืองนี้เป็นเมืองท่าริมทะเลแถมยังเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของฝรั่งเศสรองจากปารีส ความดีงามของเมืองนี้อย่างนึงที่เห็นได้ชัดคือวุ่นวายน้อยกว่าปารีสเยอะ เป็นเมืองสำหรับมาเดินเล่นและใช้ชีวิตชิวๆ ริมชายทะเล ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในแคว้นโพรวองซ์แห่งนี้ เดินผ่านไปผ่านมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมทุกคนหอบหนังสือมานั่งอ่านกลางแจ้งริมทะเล หรือนั่งชิทแชทกับเพื่อน เพราะอากาศมันดี แสงก็สวย เพลินตาเพลินใจมากกก ทริปนี้เป็น Shortbreak สั้นๆ ที่มาพักแค่ประมาณ 3 คืนเลยยังไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ ขอเมาท์ให้เพื่อนๆ ฟังเป็น Checklist เป็นไกด์ไลน์ไว้ว่าตรงไหนมันเดินไปต่อกันได้บ้าง และมาที่นี่มันชิวแค่ไหน เฮ้
ทอดน่องรับแดดริมทะเล เดินชิวๆ จาก Le Vieux Port ถึง MUCEM
เค้าว่ากันว่าที่ Marseille เป็นเมืองแห่งแดดทำให้มีอากาศอบอุ่นตลอด ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป แต่มันสำหรับฝรั่งอะแก ขนาดอากาศแบบที่คนบ้านเราถอดเสื้อนอนอ่านหนังสือริมทะเลชิวๆ เรากลับต้องรีบหาเสื้ออุ่นๆ มาใส่เพราะกลัวไม่สบาย
แต่อากาศที่นี่ยอมรับเลยว่าดีจริงๆ เราเดินจากย่าน Le Vieux Port เป็นท่าเรือหลักของเมืองริมทะเล ก่อนจะตรงเซาะแซะไปเรื่อยๆ จนถึง MUCEM เพื่อดูพระอาทิตย์ตกเย็น MUCEM เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีดีไซน์ค่อนข้างเก๋ คือเหมือนมีเหล็กที่เป็นเหมืองกรงมาครอบตัวอาคารไว้อีกที โครงสร้างเหล็กสีดำ กระทบกับแดดอ่อนๆ ยามเย็นเป็นอะไรที่ฟีล
กู๊ดมาก
ยิ่งตัวมิวเซียมมันเชื่อมกับป้อมปราการที่ด้านข้างอย่าง Fort Saint Jean ป้อมริมน้ำที่เราพึ่งเดินผ่านมา และย่าน Panier Areaย่านฮิปและชิคมากของเมือง ทำให้การเดินทางละแวกนี้สามารถเดินถึงกันได้หมดและสะดวกมากยิ่งขึ้น แถมผู้คนมากมายไม่ดูอันตราย และ… วิวเมืองมุมสูงที่เห็นท่าเรือ Le Vieux Port ชัดเจนและเต็มไปด้วยบ้านเรือนน้อยใหญ่
The epitome of luxury!
มาถึง Marseille เมืองแห่งมาดามและมองซิเออร์แบบนี้จะมานอนไก่กาไม่ได้นะคะ รอบนี้เราพักกันที่ Intercontinental Marseille – Hotel Dieu ที่นี่เป็นโรงแรมที่หันหน้าออกไปตรงท่าเรือ และตัวอาคารเป็นรูปตัว U เราขอแนะนำให้เลือกห้องมุมและห้องที่มีหน้าต่างหันออกไปทาง Port เพราะเธอจะมีความสุขมากในทุกๆ เช้าที่แดดอ่อนๆ เริ่มเลียอาคารบ้านเมือง
มันเป็นชีวิตดีๆ ที่ทุกคนควรแบ่งเงินเก็บไว้แล้วออกเดินทาง ค้นหาชีวิตบ้าง แต่ก็ต้องทรีตตัวเองด้วย นั่นแหละถึงจะถูก แถมตรงนี้ยังใกล้ย่านช๊อปปิ้งและตลาดปลาตอนเช้าทำให้เดินไปไหนมาไหนก็สะดวก หรือจะกลับมานอนชิวที่ห้อง เปิดหน้าต่างทิ้งไว้มองวิว พร้อมฟังเสียงระฆังตีบอกเวลาเง่งง่างเง่งง่างเหมือนรอเจ้าชายกลับจากไปรบ ฟินค่ะ มโนจนฟิน!
เอ้อออ! แล้วถ้าถามคน Marseiile ว่าน้ำมันมะกอกใช้ทำอะไร คำตอบแรกอาจไม่ได้ตอบว่าเอามาทำอาหารนะ เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันมะกอกทำสบู่ ด้วยวิธีโบราณดั้งเดิม ที่เมื่อก่อนถึงขั้นไปเอาน้ำทะเลมาเป็นส่วนผสม ร้านดังฮิตๆ ที่คนชอบไปทำกันอยู่ใกล้โรงแรมราพอดีคือ Grande Savonnerie เค้าจะทำออกมาให้เป็นก้อนแล้วเราก็เลือกตราปั้มได้เอง สบู่จะยังอุ่นๆ นิ่มๆ หรือถ้าไม่อยากปั๊มจะเขียนชื่อตัวเองเหมือนตอนเด็กๆ ที่ซ้อนมอไซค์ไปพ่นสีตามกำแพงก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ 5555
ร้านข้างๆ ที่ขายสบู่เนี่ยผลไม้สด สดมากและอร่อยด้วยแถมไม่แพงเลยอย่าลืมแวะชิม
ส่วนกิจกรรมที่เราตั้งหน้าตั้งตามากที่สุดคือการล่องเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พอถึงวันจริงฟ้าฝนไม่เป็นใจเลยจ้า แดดไม่มี เมฆครึ้มแถมล่องไปได้ซักพักฝนก็เหมือนจะเริ่มปรอยๆ ขึ้นมาอีก น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงเล่นน้ำใสๆ และเก็บภาพดีกว่านี้มาฝาก แต่ลักษณะของเกาะพวกนี้จะไม่ใช่เหมือนเกาะในป่าดิบชื้นแบบเรา มันจะเป็นเกาะหิน เป็นแอ่งน้ำ ให้เราสามารถพายเรือคายัคเข้าไปเล่นได้ เอาผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋วมาปูอาบแดดได้ อะไรทำนองนี้ แต่เรื่องน้ำเนี่ย ใสจนจะส่องกระจกได้อยู่แล้ว!
THE UNITÉ D’HABITATION ต้นแบบของการอยู่ร่วมกันของคนทั้งโลก!
THE UNITÉ D’HABITATION เค้าว่ากันว่าเป็นต้นแบบของการสร้างคอนโดทั่วโลกที่ต้องการให้มีพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับใช้สอยและง่ายต่อการจัดการมากที่สุด ที่นี่สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และประชาชนไม่มีที่อยู่อย่างเพียงพอ Le Corbusier (เลอกอร์บูซีเย) ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมจนใครหลายๆ คนยกย่องเป็นผู้ออกแบบอาคารแห่งนี้
สำหรับเรามันน่าทึ่งมากเลยนะ ที่นี่ทำออกมาได้อย่างเรียบง่าย รวดเร็ว ง่ายต่อการจัดการในอดีต ทำให้คนเป็นพันๆ คนที่ที่นอนอย่างอบอุ่นในตอนกลางคืน แถมยังมีดาดฟ้า มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับทำร้านค้า สวน ที่ออกกำลังกายและโรงเรียนหรือโรงพยาบาล เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ สมัยก่อนที่นี่จึงเป็นเหมือนเมืองๆ นึงขนาด 18 ชั้นที่อยู่ร่วมกัน
ส่วนปัจจุบันที่นี่ก็คล้ายๆ กัย PMQ ที่ฮ่องกงที่แปลงโฉมมาจากแฟลตตำรวจเก่าเป็นร้านค้าฮิปๆ ส่วนที่นี่ก็หลากหลายกว่าทั้งโรงเรียน ออฟฟิศ แกลลอรี่ต่างๆ รวมถึงดาดฟ้าที่ขึ้นไปดูวิวเมือง Marseille จากเมืองอื่นได้ด้วยเช่นกัน
เดินขึ้นมาสิ! แล้วขออะไรก็จะสำเร็จ
Marseille ก็เป็นอีกที่ ที่เหมือนหลายๆ เมืองใหญ่ที่ต้องมีวัดเด่น โบสถ์ดัง มัสยิคฮิต ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในพื้นที่ รวมถึงให้นักท่องเที่ยวขาจรเป็นที่เคารพสักการะ ที่Marseille มีโบสถ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อ Notre–Dame de la Garde ที่นี่เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว เหมือนมาถึงกรุงเทพต้องไปแวะวัดพระแก้ว จะเข้าไม่เข้าหรืออินไม่อินก็อีกเรื่อง แต่ต้องไปเพราะฮิต โบสถ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องขออะไรก็จะได้ถ้าเดินขึ้นมา แต่สำหรับเราก็กำหนดความเชื่อขึ้นมาใหม่ว่า “นั่งรถขึ้นมาขออะไรก็สำเร็จ!” เพราะถ้าเดินขึ้นเขานี่ขาลากและหอบแดกแน่นอน
ด้านในก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แต่เราเคยเห็นแบบที่เวอร์วังมากๆ อย่างรัสเซียมาแล้วที่นี่ก็เลยเฉยๆ แต่สวยมากเหมือนกัน
Half Day in Aix en Provence
ก่อนมานี่ก็เรียกเมือง อิ๊ก อิ๊ก ตลอดเวลา แต่พอมาถึงพึ่งจะรู้ว่าจริงๆ เค้าอ่านว่า เอ็ก หรือเมืองเอ็กซองค์โพรวองค์ เราก็ขอเรียกสั้นๆ ว่า เอ็ก นี่แหละนะ เมืองนี่เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่ถ้าตั้งใจจะอยู่เฉพาะในเมือง 1-2 วันก็เที่ยวหมดแล้วแบบชิวๆ เลย เอ็กเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำพุมากกว่าร้อยๆ แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองด้วยนะ
ถ้าเดินหลงๆ กันนัดกับเพื่อนก็ไม่รู้จะเริ่มจากนัดตรงไหนดี ให้จำน้ำพุขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่มีผู้หญิงยืนอยู่ปลายยอดสามคนไว้ ตรงนี้เรียกว่า La Rotonde (ลาโคตง) ก่อนจะแยกย้ายกันไปเดินทอดน่องสวยๆ
อย่างที่บอกว่าเรามีเวลาที่นี่แปปเดียวก่อนจะนั่ง TGV ไปปารีสต่อ เราเลยเลือกเดินเล่นตลาดรอบๆ วงเวียนน้ำพุนี่ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเริ่มเบื่อขนมปังและชีสที่กินติดต่อกันมา 4 วันแล้ว เลยเดินหาผลไม้สดๆ กินกัน จะบอกว่าตลาดที่นี่ผลไม้ถูกมาก แถมสดและอร่อย ที่นี่ก็มีของจุ๊กจิ๊กขายมากมายค่อยๆ ละเมียดเดินดูที่ละร้านอาจจะเจอของถูกใจก็ได้
เราแวะไปเดินเล่นมิวเซียม HÔTEL DE CAUMONT Centre d’Art ที่นี่เป็นทั้งมิวเซียมและคาเฟ่นั่งชิว ด้านบนตัวอาคารสามชั้นก็สลับสับเปลี่ยนงานศิลปะต่างๆ ของศิลปินมาโชว์ ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่อิ่มเอมกับงานศิลปะอยู่แล้ว พวกเค้าก็จะค่อนข้างใช้เวลาพินิจพิเคราะห์แต่ละภาพ เดินนวยนาดผ่านทีละรูป ทีละรูป ส่วนเราอะหรอ … เดินแว๊บไปแว๊บมาจนเกรงใจคนอื่นเลย 55555 เลยลงไปดูอย่างอื่นด้านล่างดีกว่า
นอกจากงานอาร์ตที่มีให้เสพแล้ว ที่นี่ยังมีคาเฟ่เก๋ๆ ที่แต่งตัวแบบเสื้อยืดกางเกงยีนส์มานั่งอาจจะอึดอัดนิดนึง เพราะดีไซน์และการตกแต่งนั้น อย่างกะอยู่ในวังเทพบุตรที่ไหนซักที่ หรูหรา สีสวยม๊ากกกกก เราชอบ The Lower Garden ด้านล่าง ที่ตัดแต่งกิ่งไม้ให้เป็นสวนที่สวยและละเมียดละไมดีเหลือเกิน ยืนซาบซึ้งอย่างกับเป็นบ้านตัวเองตั้งนานแหนะ
จริงๆ เมืองนี้มีขนมประจำเมืองเหมือนกำแพงเพชรมีกล้วยฉาบ เหมือนนครสวรรค์มีโมจิด้วยนะ ของเมือง เอ็ก ชื่อว่าขนม Calisson เค้าบอกว่าทำมาจากถั่วบด แล้วผสมส่วนผสมต่างๆ ให้ได้รสชาติ เช่น ขิง ส้ม สตรอเบอร์รี่ และมีน้ำตาลเคลือบกัดเข้าไปคำแรกก็ร้องโอ้โหเลย… อย่างกับกินน้ำตาลก้อน ไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ 5555
เรานั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากเมืองเอ็ก ไปปารีส โดยใช้เวลาประมาณ 3 -4 ชั่วโมงเท่านั้น จริงๆ สามารถขึ้นจากที่ Marseille ก็ได้ แต่รอบที่เมืองนี้สะดวกกว่า และ Aix ก็ห่างจาก Marseille ประมาณ 30-40 กิโลเท่านั้น เดินทางไม่นาน
นี่คือรีวิวแบบ Short break เล็กๆ พอหอมปากหอมคอ เที่ยวแบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมากไปกับบรรยากาศช่วงปลายปีแบบนี้ จริงๆ ถ้าใครสนใจเมืองที่มีเสน่ห์ของฝรั่งเศสอย่าง Marseille หรือ Aix สามารถแพลนมาลงที่สนามบินนีซ (Nice) ได้ง่ายๆ เดินทางมาสองเมืองนี้ด้วยรถไม่เกิน 1.30 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แถมยังสามารถนั่ง TGV กลับเข้าปารีสไปช็อปปิ้งต่อได้ด้วยนะ โดยเฉพาะถ้าเดินทางกับ Qatar Airways ชั้นธุรกิจซึ่งเส้นทางปารีสบินด้วยเครื่องใหญ่ ลำใหญ่อย่างเจ้าปลาวาฬ A380 ทำให้เพื่อนๆ สามารถเอ็นจอยกับ Bar in the Sky ที่เครื่องดื่มและของว่างจัดเต็มตั้งแต่สัญญาณรัดเข็มขัดดับลงยันเครื่องแลนด์ดิ้งกันไปเล้ยยย
ก่อนมาเราจินตนาการภาพ 2 เมืองนี้ไว้ว่ามันต้องแพ๊งแพง เดินไปทางไหนก็อึดอัดเพราะทำตัวไม่ถูก แต่บอกเลยว่าชิวมาก นี่คือเมืองที่ควรมาพักผ่อนแบบผ่อนคลายๆ มากกว่าปารีสซะอีก ถ้าเบื่อบรรยากาศแบบเมืองหลวง มาทำตัวตามสบายที่เมืองรองอย่าง Marseille ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ?