ประเทศเพื่อนบ้านที่เรารู้สึกมาเสมอว่าที่นี่มีอะไรที่น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนมีมนต์ขลังความน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา และรอให้เราเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง พม่าคือประเทศที่เหมือนผู้หญิงสวยหน้าคมเดินเฉี่ยวๆ แต่ด้านในเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่รอมอบให้คนที่พร้อมจะรู้จักและสัมผัสกับเธอจริงๆ!
Mystery Unlocked, Mandalay!"พม่า" ประเทศเพื่อนบ้านที่เหมือนคลานตามกันมาได้ยินชื่อก็อุทานเบาๆ เอามือป้องปากว่า 'อุ๊ปส์ ดีจัง'เริ่มตั้งแต่ควบรถม้าเที่ยวเมืองหลวงเก่าอย่าง อังวะแอคติ้งให้ชนะทุกคนที่ ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดีไปเดินเล่นสะพานไม้สักยาวที่สุดในโลกที่ อูเบ็งยืนสวยจนน้ำตาไหลที่ พุกามกับวิวทะเลเจดีย์ยามเช้าและกลับมาไขความลับและมีเสน่ห์ของมัณฑะเลย์ที่ทุกคนจะต้องหลงรักความธรรมดาๆ แต่จริงใจมาเที่ยวมัณฑะเลย์ แบบคูลๆ ให้สวยหรู สุดเท่ทำทริปนี้ให้เหมือนงบสามแสน แต่จริงๆ ตั๋วแค่ 990คอสตูมต้องมา ซิ่นและสะโหร่งต้องพร้อม หรือจะแต่งเป็นเจ้าปี้ เจ้าน้อง เจ้าน้อยเมืองมัณฑ์ก็แล้วแต่!!ทาแป้งทานาคา ถือร่มกระดาษที่บังฝนบังแดดไม่ได้ตะโกนโบกมือให้ทุกคนแล้วยิ้มแย้มว่า "มิงกะลาบา" มาสัมผัสผู้คนที่น่ารัก วัฒนธรรมและมิตรภาพที่ดีเที่ยวมัณฑะเลย์กับไปไง มาไง ผ่านวิดีโอนี้กัน ;)อ่านรีวิวมัณฑะเลย์แบบ 4 คืน 5 วัน ตามรอยได้เลย!LINK : https://goo.gl/ygEH9C*อย่าลืมกด HD เพื่ออรรถรสในการดูแบบคมชัดสุดๆ #wdwg2017 #ไปมัณฑะเลย์ไปกับแอร์เอเชีย
Posted by ไปไง มาไง on 5 ຕຸລາ 2017
นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาพม่าและออกนอกเส้นทางเมืองยอดฮิตอย่างย่างกุ้ง เพราะรอบนี้เราตั้งใจแวะมาดูสะพานไม้สักที่ยาวสวยติดอันดับโลก มนต์ขลังของเมืองหลวงเก่า นั่งรถม้าแบบคลาสสิค และแวะไปดูทะเลที่ไม่มีน้ำ แต่เป็นเจดีย์ที่สวยและเยอะสุดลูกหูลูกตา 5 วัน 4 คืนสำหรับทริปนี้ในมัณฑะเลย์และพุกาม สวยและเป็นตัวของตัวเองจนอยากกลับไปซ้ำ
เราออกเดินทางกับแอร์เอเชียเพราะบินตรงจากกรุงเทพถึงมัณฑะเลย์มากที่สุดถึง 2 เที่ยวต่อวัน ทำให้สามารถเลือกได้ว่าจะบินไปเช้า หรือ บ่าย ส่วนขากลับก็เลือกได้ว่าอยากกลับตอนบ่ายหรือตอนหัวค่ำ เพิ่มเวลาเที่ยวได้มากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มวัน แถมบินตรง งีบเดียวซัก 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
Good To Know : สกุลเงินพม่าเรียกว่าเงินจั๊ด หรือเงินจ๊าด ซึ่งค่าเงินออกกว่าเรา 1000 จั๊ด จะเท่ากับประมาณ 25 บาท หาแลกยากมากในไทย แนะนำให้แลกเงินดอลลาร์แบงก์ใหม่ ห้ามพับ ห้ามยับ และห้ามมีรอยปั๊ม ไปแลกเป็นเงินพม่าที่สนามบินและควรแลกแค่พอใช้เพราะถ้าจริงๆ หลายๆ ร้านเราสามารถขอจ่ายเป็นเงินดอลลาร์ได้ ส่วนซิมโทรศัพท์นั้นสามารถเปิด Roaming แบบ Unlimited จากไทยได้เลย หรือจะหาซื้อซิมที่สนามบินมัณฑะเลย์ก็มีให้เลือกหลายแพ็คเกจเช่นกัน
เราออกจากสนามบินเข้าตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเช็คอินเข้าโรงแรม อากาศที่นี่คล้ายกับบ้านเราหน้าฝนนี่แหละ ร้อนบ้าง ฝนบ้าง แต่ก็ยังเที่ยวได้สบาย วันแรกก็ทำตัวชิวๆ Refresh ตัวเองที่โรงแรม ออกไปหาอาหารพม่าทานแล้วค่อยเริ่ม!
จุดแรกที่เราแวะไปสำหรับการเริ่มต้นทริปนี้คือ Shwenandaw Monastery หรือ วิหารชเวนันดอว์ ที่นี่แนะนำให้มาช่วงเย็น หลัง 4 โมงเย็นเป็นต้นไปเพราะสวยมาก ที่นี่เป็นไม่กี่วัดในมัณฑะเลย์ที่สมัยสงครามโลกรอดพ้นจากการโดนระเบิดอย่างหนัก ทำให้มันยังคงความเป็นต้นฉบับและของเดิมจนมาถึงปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมการแกะสลักไม้ของตัววิหารก็เท่มาก ละเอียดยิบ ไหว้พระเสร็จแล้วก็สามารถแอคติ้งท่าสวยๆ เก๋ๆ เดินเล่นรอบวิหารได้เยอะเลย เพราะมันสวยมากจริงๆ จนรู้สึกอยากกลับไปซื้อซิ่น นุ่งโสร่งมาอีกรอบถ้าเวลายังเหลือ 55555
เดินเลยเข้าไปอีกนิดประมาณ 300 เมตรจะเจอวัดอีกวัดนึง ชื่อ Atumashi Kyaugdawgyi หรือ วัดอทูมาชิ ที่ถ้าเวลาเหลือก็แวะไปซะหน่อย เพราะที่นี่เค้าเก็บพระไตรปิฏกหลวงของพม่าไว้ ที่นี่จะเป็นเจดีย์แบบปูนยกสูงขึ้น ทำให้มีทางเดินรอบๆ ด้านบนก็สวยไปอีกแบบยามเย็นวันแรกแบบนี้อะเนอะ
วัดสุดท้ายของวันแรกคือ Kuthodaw Pagoda หรือ เจดีย์วัดกุโสดอร์ ที่นี่สร้างเลียนแบบมหาเจดีย์ชเวชิกองที่พุกาม เป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 4 ของโลก ความเล่นใหญ่คือรอบๆ มหาเจดีย์จำลองนี้เต็มไปด้วย มณฑปที่สลักแผ่นจารึกพระไตรปิฏกไว้รอบๆ ตัวเจดีย์ เค้าว่ากันว่านี่คือแผ่นจารึกพระไตรปิกฏที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนะ ซึ่งมันใหญ่จริงๆ แผ่นเบ้อเร่อ ล้อมรอบเจดีย์อยู่สวยงามมากค่ะยามเย็นแบบนี้ ประชันกับหน้าพวกเรากันไปเล๊ย 555
ที่นี่ก็จะมีหนูน้อยพม่าเทินของไว้บนหัว มาขายดอกไม้ พวงมาลัยให้เรานำไปถวายพระ เด็กพวกนี้น่ารักมากๆ สำหรับเรา ไม่ได้น่ากลัวหรือคอยตามตื้อตลอดเวลาเหมือนบางที่ ขอถ่ายรูปก็ให้ถ่าย สุดท้ายก็ทนความน่ารักไม่ไหวต้องช่วยซื้ออยู่ดี
บางคนอาจจะคิดว่าเที่ยวแต่วัดไม่เบื่อหรอวะ 555 จริงๆ ก็มีบ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจวัฒนธรรมของคนที่นี่ว่าเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากขนาดไหน และแต่ละสถานที่ก็มีเรื่องราวแตกต่างกันไป มันทำให้เราเข้าใจและอินไปมันมากกว่าว่าเรามาที่นี่มาเพื่อดูและเที่ยวอะไร
วันที่ 2 ในพม่าเราออกไปเที่ยวเมืองรอบๆ มัณฑะเลย์อย่าง เมืองมินกุน เมืองสะกาย และเมืองอังวะ แต่คำนวณเวลาแล้ว เราไม่อยากไปแบบชะโงกทัวร์ อยากมีเวลาหยุดเดินดูรอบๆ ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เลยตัดเมืองสะกายออกใช้เป็นที่แวะกินข้าวเฉยๆ ก่อนตรงไปเมืองอังวะ เพราะมิชชั่นวันนี้คืออยากนั่งรถม้าเที่ยวเมืองเก่า 5555
เราแนะนำให้เช่ารถสำหรับวันนี้ ติดต่อกับโรงแรมได้โดยตรงเลยว่าอยากจะไปตรงไหนบ้าง เราออกกันตั้งแต่เช้าเพราะอยากไปถึง Hsinbyume Pagoda หรือ เจดีย์ชินพิวเม ก่อนเที่ยงเพราะไม่งั้นจะถ่ายรูปกันไม่สวย อิอิ และรถที่นี่ก็ขับกันช้าแบบเนิบนาบมากๆ กว่าจะเคลื่อนไปได้แต่ละจุดก็ทำใจและใช้เวลากันนิดนึง
เจดีย์นี้ใครๆ ก็บอกว่าเป็นทัชมาฮาลของพม่า ทัชมาฮาลของอิรวดี เพราะกษัตริย์ที่สร้างขึ้นเนี่ย สร้างให้พระมเหสีที่ด่วนจากไป
เค้าออกแบบให้เจดีย์อยู่ตรงกลาง แล้วมีทางเดินเป็นขั้นๆ ล้อมรอบ เป็นคลื่นที่ถ่ายรูปเข้ามาก็สวยมาก โฟโตจีนิกมากค่ะ เราว่าวิธีการสร้างของที่นี่น่าจะอิงตามหลักไตรภูมิจักรวาล ให้เขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลาง มีน้ำ มีฟ้า มีมหาสมุทรและอะไรอยู่ล้อมรอบก็ว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ที่นี่สวยมาก สวยมากจริงๆ แต่ควรมาก่อนเที่ยง หรือออกแต่เช้าได้ยิ่งดี เพราะพื้นวัดทุกวัดที่พม่าไม่ให้ใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าเข้าไป มันก็จะลวกเท้าหน่อยๆ เนอะ 5555
ต่อมาเราแวะไปดูซากเจดีย์ที่หากสร้างเสร็จจะเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในโลก กษัตริย์สมัยนั้นพยายามจะสร้างเจดีย์ให้ใหญ่โตที่สุดเพื่อแผ่บารมีให้มากกว่าเดิม แต่ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างทั้งสงคราม กบฏ ทาสลุกฮือหนีไป ทำให้เจดีย์นี้สร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนที่เห็นในปัจจุบันจึงเป็นแค่ฐานเจดีย์เท่านั้น แต่ใหญ่มากกกก!
ใกล้ๆ กันขับรถไม่ถึง 3 นาทีจะเจอระฆังมินกุน นี่คือระฆังที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากระฆังที่เครมลินในกรุงมอสโกที่เราพึ่งไปมา แต่ระฆังตรงนั้นแตกแล้ว ระฆังมินกุนจึงเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังส่งเสียงได้อยู่
เราแวะกินข้าวเที่ยงที่ Minn Wun Valley Cafe & Restaurant เป็นร้านที่ดีงามอีกร้านนึงที่ซ่อนตัวอยู่ย่านเมืองเก่าแบบนี้ มีทั้งอาหารไทย อาหารพม่า และอาหารแบบตะวันตก รสชาติใช้ได้เลยแหละ มาเที่ยวนอกเมืองแบบนี้ตัวเลือกไม่เยอะ เจอแบบนี้ก็แฮปปี้ไปทั้งบ่ายแล้วจ้า เราออกจากร้านอาหารประมาณบ่าย 2 นั่งกินข้าว กินกาแฟเพลินๆ ให้แดดคล้อยไปก่อนนิดนึงก่อนออกเดินทางกันต่อ บ่ายๆ แบบนี้เราจะไปเมืองอังวะกัน
จริงๆ แล้วอังวะเคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อนเช่นกัน แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากที่ยังมีเอกลักษณ์และสวยงามอยู่จนทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อีกที่ ที่ใครมาเที่ยวมัณฑะเลย์ก็มักจะพ่วงเมืองนี้เข้ามาด้วย เราเข้าเมืองอังวะด้วยการนั่งเรือจากอีกฟากนึงใช้เวลาแค่ประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้ว
เสน่ห์ของที่นนี่คือการนั่งรถม้าเที่ยวโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกับ 4 สถานที่ ราคาคันละประมาณ 10,000 – 15,000 จ๊าด ซึ่งบางที่ก็จะคล้ายๆ กับเมืองพุกามที่เราจะไป หรือหอคอยที่ขึ้นไปไม่ได้อีกแล้ว เราเลยเลือกไปหลักๆ แค่ 2 ที่เพราะกลัวไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานอูเบ็ง รถม้าจะขับไปเรื่อยๆ คันนึงจะนั่งได้ไม่เกิน 3 คนเท่านั้นและควรทิ้งของชิ้นใหญ่ๆ ไว้ในรถเพราะทางแบบดิน ขรุขระพอสมควรแต่ก็มันส์ดีจ้า 55555
เราแวะที่ วิหารบากะยา ที่สร้างจากไม้สักทั้งหลังและมีเสาเยอะมากๆ ภายในวัดก็มีพระพุทธรูปที่ใครไปใครมาก็ต้องแวะไว้ ความเก๋าของที่นี่คือต้องเดินด้วยความระมัดระวังเพราะพื้นผุไปเยอะแล้วพอสมควรเลย
แต่ที่เราชอบมากที่สุดของเมืองอังวะคือ หมู่เจดีย์ยะดานาซีมี มันเหมือนเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีเจดีย์น้อยใหญ่อยู่ในนั้น ไม่สูงมากทำให้เราแหงนดูความสวยงามของมันได้ แถมรอบๆ ยังเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวๆ ดูแล้วสบายตา และที่นี่คนก็ยังไม่เยอะมากด้วยนะ ถ่ายรูป แอคติ้งกันสนุกค่า
เรารีบนั่งรถม้าออกจากเมืองอังวะไปขึ้นเรือแล้วบึ่งไปที่ที่ไฮไลท์ยามเย็นของเราอีกที่ กับ U Bein Bridge หรือ สะพานอูเบ็ง
จุดชมวิวยอดนิยมที่มาถึงมัณฑะเลย์แล้วจะไม่ไปที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ที่นี่ต้องมา เพราะมันคือจุดดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดที่นึงของการเดินทางของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลยแหละ
อูเบ็งเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก สร้างจากไม้เก่าที่รื้อวังของกรุงอังวะก่อนย้ายเมือง เป็นสะพานที่ใช้สัญจรไปมาของคนสองฝั่งแม่น้ำนี่แหละ ช่วงที่เราไปเดือนกันยายนที่ผ่านมาจะเป็นช่วงที่น้ำในทะเลสาบนี้สูงที่สุดเลยนั่งเรือดูพระอาทิตย์ตกดินกันเพลินมากเลย
ค่าเรือสำหรับล่องดูพระอาทิตย์ตกดินจะตกประมาณลำละ 10,000 จั๊ด แต่จริงๆก็ต่อได้อีกนะ แล้วแต่ความสามารถกันเลย
Good To know : คืนที่ 2 เราเลือกนอนกันในรถเพื่อที่จะถึงพุกามตอนเช้ามืดเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย
เราเดินทางกัน 8 คนเลยเช่ารถตู้จากมัณฑะเลย์มาเลย แต่ถ้าเพื่อนๆ ไปกันไม่เยอะก็สามารถหาบัสจากมัณฑะเลย์มาพุกามได้เลยเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 5 -6 ชั่วโมง เจ้าที่ฮิตๆ กันก็เห็นจะเป็น OK Bus สามารถจองผ่านเว็บไซต์และนัดแนะให้เค้าไปรับที่โรงแรมในมัณฑะเลย์หรือพุกามได้ทางเมล์หรือโทรไปก็ได้ และต้องจองก่อนเดินทางล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันนะ http://myanmarbusticket.com/
เช้ามืดวันที่ 3 เรามาถึงพุกามและบอกให้รถตู้ไปจอดรอแถว Shwesandaw Pagoda หรือ เจดีย์ชเวซานดอว์ ที่นี่เป็นชุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ฮิตที่สุด เพราะเราจะเห็นทะเลเจดีย์กว้างใหญ่มากๆ จนต้องทึ่งในความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของชาวพม่ามากๆ ที่นี่เป็น Destination ที่ฝรั่งจากทั่วโลกอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองกันมากๆ แต่พวกเราอยู่กันใกล้แค่นี้เอง แถมบางทีค่าตั๋วแอร์เอเชียมามัณฑะเลย์ก็หลักร้อย เพิ่มไว้ใน Bucket List เถอะว่าห้ามพลาดจริงๆ
ด้านล่างของเจดีย์มีวิหาร Shinbinthalyaung Temple หรือ ชบินตาเลียว เป็นพระนอนที่ซ่อนอยู่ในวิหารเล็กๆ ด้านหน้าเจดีย์อย่าลืมแวะเข้าไปดูกันด้วยนะ
ลงจากเจดีย์ตอนเช้าเราไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านกันที่ Nyang U Market หรือ ตลาดยองอู ตอนแรกตั้งใจว่าจะว่าหาข้าวเหนียวสังขยา หรือหมูปิ้งข้าวเหนียวกินเหมือนตลาดเช้าตามต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ที่นี่มันเป็นตลาดแบบแบกะดิน ขายผักสด เนื้อสด เน้นให้เอากลับไปทำกินที่บ้าน เลยต้องไปหาร้านอาหารเช้าแบบสภากาแฟนั่งสั่งข้าวผัดไข่เจียวกินคนละจานแทน
เราคุยกันว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่แต่อยากเที่ยวหลายที่และกลัวอากาศตอนกลางวันจะร้อนและอยากนอนพักเลยกลายเป็นเที่ยววัดที่อยากไปให้ให้เสร็จซัก 2 วัดในช่วงเช้า ก่อนเข้าโรงแรมไปพักผ่อน และออกมาช่วงบ่ายแก่ๆ อีกรอบตอนแดดเริ่มคล้อย 55555
ไอเดียนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก แนะนำเลยเพราะพุกามถ้าร้อนจะร้อนกว่ามัณฑะเลย์อีก เพราะไม่ค่อยมีที่ร่ม แต่ยังเที่ยวได้สบายๆนะ
Ananda Temple หรือ วิหารอนันดา ใครๆ ก็บอกว่าที่นี่สวยที่สุดในพุกาม แต่ความคิดเห็นส่วนตัวของเรา เราชอบสีแบบธรรมชาติของวัด วิหาร เจดีย์ที่เสื่อมไปตามกาลเวลามากกว่าแบบที่ขัดสีแบบนี้ แต่ถามว่าสวยมั้ยก็สวยนั่นแหละ
ด้านหน้าทางเข้าวัดจะมีน้าๆ ขายทานาคาอยู่ ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เค้าทาแป้งให้เฉยๆ แล้วค่อยคิดเงิน เพราะตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็มีค่าทำต่อคนแน่นอน พอทำเสร็จปุ๊ปจะจ่ายเงิน น้าแกบอกไม่เป็นไร ทำให้ฟรี โอยยยยย ใจดีขนาดนี้เราก็เลยช่วยซื้อแป้งทานาคามา 1 กระปุกถ้วน น่ารัก ?
Shwezigon Pagoda หรือ มหาเจดีย์ชเวสิกอง เป็น 1 ใน 5 ศาสนบูชาสถานสูงสุดของชาวพม่า ที่นี่รองจากชเวดกองที่ย่างกุ้ง ความสวยงามก็สวยไม่แพ้ชเวดากองเลย แต่อาจจะเล็กกว่านิดหน่อย เป็นอีกที่ ที่ยังไงก็ต้องแวะมาเมื่อมาถึงมัณฑะเลย์แล้ว
ความเก๋ของที่นี่คือโถงทางเดินด้านหน้าวัดที่เราเห็นตามเว็บถ่ายรูปฝรั่งบ่อยๆ นั่นแหละของจริงก็สวยแบบในรูป มาแอ๊บเดินได้สวยๆ ใส่ซิ่น กางร่มกระดาษสา ทาแป้งทานาคาแล้วทำหน้าแบ๊วๆ สวยจ้า
ช่วงบ่ายเราออกมาเที่ยวกันต่อหลังจากได้พักผ่อนก็พร้อมแอคท่าสวยๆ สู้กับเจดีย์ต่างๆ ในพุกาม 5555
เราแวะไป Dhammayan Gyi Pagoda หรือ วิหารธรรมยันจี ที่ได้ชื่อว่าใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม จริงๆ ด้านบนสามารถปีนขึ้นไปได้ด้วย แต่เราหาทางขึ้นไม่เจอเลยไม่ได้แวะขึ้นไป ช่วงเย็นๆ อากาศไม่ร้อนมาก แดดส่องลอดกิ่งไม้ลงมาคือดี
และอีกที่ถ้าเวลาเหลือหรือไม่เหนื่อยเกินไปควรแวะไปคือ Htilominlo Pagada หรือ เจดีย์ติโลมินโล ที่สวยงามไม่แพ้กันเด้อ
ทุกๆ โรงแรมในเขตเมืองเก่าพุกามส่วนใหญ่จะมีจักรยานให้ยืมปั่นฟรีๆ ถ้าช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงเย็น อยากปั่นจักรยานเที่ยวทะเลเจดีย์ก็ทำได้นะ ได้ฟีลลิ่งปั่นเที่ยวเมืองเก่าเก๋ไปอีกแบบ
วันที่ 4 ของทริปเราตื่นกันสายๆ และทำธุระให้เรียบร้อยก่อนออกจากโรงแรมประมาณ 10 โมงขับรถกันตรงเข้ามัณฑะเลย์ ขากลับใช้เวลานานกว่าขามานิดนึงเพราะฝนตกหนักมาก และรถก็ขับได้ช้าไปอีก ถึงบ่ายๆ ก็หิวข้าวกันสาหัส เลยเลือกร้านที่เป็น Top of Myanmar Food กันมาร้านนึง ชื่อร้าน Unique Myanmar Restaurant
ร้านนี้มีเป็นเซตด้วยนะ เพราะเค้ารู้ว่าบางคนไม่รู้จะเลือกกินยังไงดี นางก็จัดเป็นเซตๆ ให้ว่าซุปแบบไหน ผัดแบบไหน ต้มแบบไหน ทอดแบบไหน หรือจะสั่งหลายๆ แบบมากินแบบเราก็ได้ อาหารพม่าจะทำมาแบบไม่เผ็ดอยู่แล้ว ถ้าอยากได้เผ็ดๆ ก็บอกได้
ปกติเราเป็นคนไม่ชอบอาหารพม่าเลย เพราะรู้สึกว่าไม่อร่อย น้ำมันเยิ้มและเครื่องเทศเยอะ แต่ร้านนี้ถือว่าผ่านนนน
อีกร้านที่อยากแนะนำคือร้านของฝากคิ้วท์ๆ ที่มีกลิ่นอายความเป็นพม่าอยู่เยอะ แต่เห็นแล้วรู้สึกว่าขลัง คูลและน่าซื้อ คือร้าน Yangoods เป็นการเล่นคำจากคำว่าย่างกุ้ง มีพวกของสวยๆ กระเป๋า หมอน ปฏิทิน ทุกอย่างเป็นเอกลักษณ์และหาได้เฉพาะที่นี่แน่นอน
คืนสุดท้ายในมัณฑะเลย์พวกเราขึ้นไปดูวิวด้านบน Mandalay Hills หรือ Su Taung Pyae Pagoda (วัดซูตองพญา) คือที่เดียวกัน ด้านบนลมก็จะเย็นๆ หน่อย ตอนเย็นผนังของวัดก็จะส่องแสงยิบยับๆ กับไฟ เห็นแล้วก็รู้สึกสงบ จบทริปได้อย่างสวยงาม อิอิ
วันสุดท้ายในมัณฑะเลย์เราเลือกที่จะตื่นสายๆ แล้วเตรียมกลับกรุงเทพ ไฟลท์ของแอร์เอเชีย ออกประมาณ 12.50 น. ทำให้มีเวลานอนพักผ่อน ทานอาหารเช้า นอนเล่นมือถือ ก่อนเตรียมตัวไปสนามบิน ไม่ต้องรีบตื่น รีบกลับ เป็นช่วงเช้าชิวๆ ในโรงแรม
ก่อนสั่งอาหารบนเครื่องไว้เป็น ลาซานญ่าไก่ ที่ภาพตรงปกและอร่อยมาก ไม่หวานและไม่เลี่ยนเกินไป แฮปปี้ค่า!
หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่ามีแต่วัดมันจะสนุกจริงๆ หรอ? บอกเลยว่าเราไม่รู้สึกว่าเบื่อหรือไม่อยากไป แต่กลับกันมันทำให้เราสงสัยว่าแต่ละวัดต่างกันยังไง ทำไมถึงสร้างกันเยอะแยะและดังๆ ทั้งนั้น 5555 มัณฑะเลย์เป็นเมืองที่กำลังโต เหมือนย่างกุ้งที่เรารู้สึกว่ามากี่ครั้งทุกอย่างก็เริ่มศิวิไลซ์ขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ สะดวกมากในการเดินทางและมาเที่ยว
ลองมาซึมซับวัฒนธรรมเพื่อนบ้านที่มีมนต์เสน่ห์ไม่เหมือนที่ไหนๆ ดูซักครั้ง มาลองให้รู้ด้วยตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่สำหรับเรา เราชอบที่นี่ไม่แพ้ย่างกุ้งเลย <3